เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ "จุดจบของมวยคาดเชือก"

4 ม.ค. 53 15:00 น. / ดู 6,643 ครั้ง / 6 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ ไม่รู้จะอวยพรช้าไปหน่อยหรือเปล่า เพราะนี่ล่วงเข้ามาวันที่ 4 แล้ว เพิ่งจะมีเวลาและไอเดียมาเขียนกระทู้นี่แหละครับ
จากกระทู้ที่แล้ว ผมได้นำเสนอเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ มวยไทยปะทะมวยจีน ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทำลายสติถิผู้ชมมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งผลของการชกในครั้งนั้นก็ทำให้ประชาชนรู้สึกภาคภูมิใจในศิลปะแม่ไม้มวยไทยของเรามากยิ่งขึ้น

ถ้าใครยังไม่ได้อ่านกระทู้เก่า ก็สามารถเข้าตามลิ๊งค์นี้ได้นะครับ
http://www.siamzone.com/board/view.php?sid=1187352

และในวันนี้ ผมจะมาเล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ครั้งที่สำคัญไม่แพ้กัน หรือเผลอๆจะสำคัญกว่าเสียอีก เพราะว่ามันคือ..

เหตุการณ์อันไม่คาดฝัน นำมาสู่จุดจบของมวยคาดเชือก!!

จากกระทู้ที่แล้ว ถ้ายังจำกันได้ ในสมัยของนายยัง หาญทะเล พระเอกของเราที่ขึ้นชกบนสังเวียนสวนกุหลาบ สมัยนั้นนักมวยยังคาดเชือกที่ทำจากด้ายดิบ หรือผ้าพันมืออยู่ ยังไม่มีการใช้นวมแต่อย่างใด

แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ผมจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้ ทำให้วงการหมัดมวยของเราต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล หมัดที่เคยถักด้ายก็เปลี่ยนมาใช้นวมแบบฝรั่ง และเมื่อใส่นวมก็ทำให้การตั้งท่า แม่ไม้ลูกไม้ต่างๆ เปลี่ยนแปลงเลอะเทอะไปหมด เพราะเนื่องจากพอใส่นวมแล้วทำให้จับร่างคู่ต่อสู้ไม่ถนัด แถมการตั้งท่าแบบมวยไทยคาดเชือกก็ทำไม่ได้ เพราะนวมจะบังตา เลยต้องเปลี่ยนมาเป็นตั้งการ์ดแบบที่เราเห็นในปัจจุบันแทน

คงอยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ผมจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละครับ...

แต่ก่อนอื่น ผมขอเล่าเหตุการณ์ที่สำคัญๆในสมัยนั้นเสียก่อน โดยเริ่มจากการสิ้นสุดของเวทีสวนกุหลาบ สนามมวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น


นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่นายยัง หาญทะเล ชกกับจี๊ฉ่าง บนเวทีสวนกุหลาบ กาลเวลาผ่านพ้นไป จนกระทั่งสิ้นสุดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๖) มาถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็กพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.๗)แทน

แน่นอนครับ เมื่อสิ้นสุดรัชสมัยของพระองค์ท่าน สนามมวยที่พระองค์ท่านทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯให้จัดตั้งขึ้น ก็เป็นอันสิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน

แต่สนามมวยแห่งใหม่กำลังถือกำเนิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด ที่น่าจะมาเป็นรายแรกก็คือ สนามมวยท่าช้าง ซึ่งพลโทพระยาเทพหัสดิน เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น ณ สถานที่ซึ่งปัจจุบันก็คือโรงละครแห่งชาตินั่นเอง สำหรับบรรยากาศในสนามมวยท่าช้าง จะใกล้เคียงกับสนามมวยสวนกุหลาบในเมื่อครั้งอดีตเป็นอย่างยิ่ง

และสนามมวยแห่งนี้นี่แหละ ที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของมวยไทยไปตลอดกาล!!
แก้ไขล่าสุด 30 ธ.ค. 53 00:24 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | trapizius | 4 ม.ค. 53 16:03 น.

หลังจากแกล้งยั่วให้ท่านผู้อ่านอดรนทนไม่ไหวซักพัก ผมก็จะเล่าให้ฟังต่อ...

ในสนามมวยท่าช้าง หรือบางทีก็เรียกว่าสนามมวยหลักเมือง(คิดว่าคงเป็นคนละที่กับสนามมวยหลักเมืองที่สวนเจ้าเชตุละมั้งครับ หรือยังไงก็แน่? อันนี้ก็ไม่แน่ใจนะครับ ผิดถูกยังไงขออภัยด้วย ) ถึงแม้จะล่วงเลยยุครุ่งโรจน์ที่สุดของมวยคาดเชือกมาแล้ว แต่ก็ยังคงมีนักมวยเก่งๆ มาชกกันให้เป็นขวัญตาประชาชนอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ นายเจีย นักมวยชาวเขมรจากเมืองพระตะบอง

นับว่า เป็นปรากฏการณ์ที่หาดูไม่ง่ายนักในสมัยก่อน ที่นักมวยจากประเทศเพื่อนบ้านของเราจะมาชกมวยบนเวทีของเรา แล้วมีชื่อเสียงเลื่องลือแบบนี้ แต่ชาวเขมรอย่างนายเจีย ก็แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถทำได้ ด้วยฝีมือกันแกร่งกล้า และประสบการณ์การชกอย่างโชกโชน เคยถล่มมาแล้วทั้งอีสานและตะวันออกของไทย ปราบนักมวยไทยเสียหมอบราบคาบแก้วมาแล้วนับไม่ถ้วน ยิ่งกว่านั้นยังมีข่าวลือที่สร้างความน่าสะพรึงกลัวให้นายเจียผู้นี้อีก นั่นคือ..

นายเจีย มีวิชาอาคม!! แถมเคยชกคนตายมาแล้วด้วย!!

เจออวดอ้างสรรพคุณแบบนี้ ถ้าใครรู้ตัวว่าต้องชกกับอีตานี่ ก็คงหนาวๆร้อนๆไปตามๆกันแหละครับ

ยิ่งเรื่องคาถาอาคม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะปกติพวกเขมรเขาก็เก่งทางนี้กันอยู่แล้ว กล่าวกันว่านายเจียผู้นี้ อยู่ยงคงกระพัน หนังเหนียว เพราะฉะนั้นเวลาโดนหมัดโดนศอกจะไม่แตกแน่ๆ แถมว่ากันว่านายเจียยังมีคาถาลับอีกอย่าง คือโดยปกติเนี่ยเขาจะเป็นคนตัวเตี้ยๆตันๆ ดูๆแล้วก็ไม่เห็นน่าหวาดกลัวอะไร แต่พอจะขึ้นสังเวียนแต่ละครั้ง เขาจะบริกรรมคาถานี้ ด้วยเดชะอาคมศักดิ์สิทธิ์ ร่างเล็กของนายเจียจะดูสูงใหญ่อย่างน่าเกรงขาม ในสายตาของคู่ต่อสู้ ดังนั้นถ้าคู่ต่อสู้เจอแบบนี้เข้า ก็ขวัญหนีดีฝ่อไปตั้งแต่ยังไม่ทันชกแล้วล่ะครับ

ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับ นายเขมรคนนี้แกคว่ำนักมวยทางภาคตะวันออกภาคอีสานของเรามาแล้วนับไม่ถ้วน แถมมีข่าวลือว่าชกคนตายอีก ดังนั้นพอนายเจียแกเข้ากรุงเทพฯ มาชกที่สนามมวยท่าช้าง แน่นอนว่าจะหาคนธรรมดา เอาไปให้แกฆ่าเล่นก็ใช่ที่ ดังนั้นจึงต้องมีการเปรียบมวยกันขึ้น เพื่อเลือกเฟ้นหานักมวยที่พอจะต่อกรกับนักมวยเขมรรายนี้ได้

และในที่สุดก็ได้มาคนหนึ่ง เป็นนักมวยจากจังหวัดอุตรดิษถ์ นามว่า "นายแพ เลี้ยงประเสริฐ"

ประวัติของนายแพ เลี้ยงประเสริฐ นี่ก็ใช่ย่อย แม้ว่าเขาจะเป็นมวยใหม่ ประสบการณ์บนสังเวียนอาจจะยังไม่มากนัก แต่ด้วยความที่ถือกำเนิดจากบ้านท่าเสา จังหวัดอุตรดิษถ์ ซึ่งถ้าใครเคยอ่านประวัติศาสตร์ไทยสมัยช่วงกรุงศรีอยุธยาแตกก็คงจะต้องร้องอ๋อทันที

เพราะบ้านท่าเสา สมัยนั้นเคยเป็นสำนักของครูเมฆ ปรมาจารย์ของวีรบุรุษไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดท่านหนึ่ง นั่นคือ พระยาพิชัยดาบหัก

ความเก่งกล้าของพระยาพิชัยดาบหัก ผมคงไม่ต้องบรรยายนะครับ คาดว่าท่านผู้อ่านที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ไทยคงพอรับรู้มาบ้าง

อย่าว่าแต่คน ซึ่งเป็นสัตว์ตัวเล็กหนังบางเลย แม้แต่เสือลายพาดกลอน ท่านก็ฆ่ามาแล้ว ด้วยมีดเพียงเล่มเดียว!!

และนายแพ เลี้ยงประเสริฐ สืบทอดวิชามาจากครูบาอาจารย์ของท่านโดยตรง แบบนี้ลูกไม้ก็คงไม่หล่นไกลต้นนักหรอกครับ

ตระกูลเลี้ยงประเสริฐ ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลแห่งนักมวยโดยแท้จริง พี่น้องของนายแพ เลี้ยงประเสริฐ อีก 5 คน คือนายแก้ว นายโต๊ะ นายโพล้ง นายฤทธิ์ และนายพลอย ล้วนแต่เป็นนักมวยมีชื่อทั้งสิ้น

จนสมัยนั้นจึงได้มีคำกล่าวกันว่า "ห้าเสือท่าเสา" ซึ่งก็คือพี่น้องตระกูลนี้แหละครับ(นับยังไงก็ได้ 6)

สำหรับประวัติของนายแพ เลี้ยงประเสริฐ เท่าที่สืบค้นมาได้ก็เห็นว่า พอเรียนมวยจากอุตรดิษถ์จบ ก็เดินทางลงมากรุงเทพฯ พร้อมด้วยพี่น้องเพื่อชกมวยหาเลี้ยงชีพ และได้เข้าไปอยู่ในอุปการะของพระชลัมภ์พิสัยเสนีย์ ซึ่งสมัยนั้นจะเรียกกันว่า "คุณพ่อชลัมภ์" ที่นั่นเขาก็ได้เรียนมวยเพิ่มจากคุณพ่อชลัมภ์อีก จนมีวิชาเก่งกาจมากขึ้น และเมื่อคุณพ่อชลัมภ์ได้ทราบข่าวว่า ทางสนามมวยท่าช้างต้องการหาคู่ชกในนายเจีย ท่านจึงได้เสนอนายแพ เลี้ยงประเสริฐ ไปเป็นคู่ชก เพราะใจหนึ่งก็อยากจะดูด้วยว่า ลูกศิษย์ของท่านฝีมือพัฒนาไปไกลแค่ไหน

อีกอย่าง ถ้านายแพชกชนะ ก็จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แถมยังได้ประกาศเกียรติคุณของมวยท่าเสา บ้านเกิดพระยาพิชัยดาบหักอีกด้วย


มาเอาใจช่วยกันว่า นายแพ นักมวยหนุ่มน้อยหน้าละอ่อน จะรอดพ้นจากหมัดกระชากวิญญาณของนายเจีย เขมรจอมอำมหิตหรือไม่?

พักสักครู่..เดี๋ยวกลับมาชมกันต่อ



ไม่รู้จะเอาอะไรมาคั่นรายการดี เลยเอาภาพโรงละครแห่งชาติมาให้ดูละกันครับ

สถานที่นี้แหละครับ เคยเป็นสนามมวยมาก่อน ไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนนี้จะกลายเป็นโรงละครไปแล้ว สงสัยคนสมัยหลังๆคงเริ่มมีเมตตาธรรมมากขึ้นละมั้งครับ(ฮา) คงเห็นว่ามาดูละครดีกว่ามาดูเขาต่อยกัน

---------

ตัดกลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบันกันอีกครั้ง หลังจากการเปรียบมวยเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะได้ชกกันเสียที

เมื่อมาถึงวันชก ฝูงชนต่างพากันมาดูอย่างคับคั่ง โดยหมายใจจะได้เห็นนักมวยฝีมือดีสองคน ห้ำหั่นกันอยู่บนเวที สมกับที่รอคอยมานาน

ไม่ช้า นายแพ เลี้ยงประเสริฐ ในกางเกงสีน้ำเงิน สวมมงคลที่หัว ถักหมัดกระชับครึ่งแขนตามแบบฉบับของมวยอุตรดิษถ์ ก็ปรากฏกายออกมา เขาย่างขึ้นเวที แล้วพนมมือไหว้ผู้ชมรอบๆสนาม สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม ไม่ยิ้มแย้มเลย(เป็นธรรมดาแหละครับ ประสบการณ์ก็ยังน้อยแถมต้องมาเจอกับตัวประหลาดอะไรไม่รู้ เป็นใครก็ต้องเครียดกันทั้งนั้นแหละน่า)

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็ปรากฏร่างของคู่ต่อสู้ในกางเกงสีแดง ตามนายแพออกมาติดๆ เผยให้เห็นร่างกายกำยำล่ำสัน แต่ออกจะเตี้ยๆตันๆซักหน่อย ใบหน้าเคร่งขรึม ดูท่าทางเอาจริงเอาจังมาก ถักหมัดด้วยด้ายดิบเพียงนิดหน่อย คือเอามาพันๆมือ กันนิ้วและข้อมือซ้นเท่านั้นแหละ ไม่ได้ถักสวยงามรัดกุมเหมือนนายแพ และก็ไม่สวมมงคลหรือผ้าประเจียดด้วย แต่ที่ต้นแขนซ้ายอันล่ำสันนั้นคาดผ้ายันต์มาด้วย(จะอาคมแกร่งกล้าไปถึงไหนเนี่ย )

ตรงจุดนี้ ขอให้สังเกตนิดหน่อยนะครับ ว่านักมวยในสมัยสังเวียนท่าช้างแห่งนี้ จะเริ่มมีการแบ่งฝ่ายแดง-น้ำเงินกันแล้ว ซึ่งนี่เป็นกติกาที่เพิ่งมาใหม่ เพราะถ้าใครอ่านกระทู้เก่าของผม ที่เล่าถึงสนามมวยสวนกุหลาบนั้น จะเห็นว่ายังไม่มีการแบ่งสีให้ชัดเจน

ขณะนี้ ประชาชนพากันเงียบ จ้องดูนายแพแล้วหันไปดูนายเจีย ดูนายเจียเสร็จก็หันกลับมาดูนายแพอีก พร้อมปรึกษากันอื้ออึงไปมา

หลังจากที่ทั้งสองไหว้ครูเสร็จ ต่างก็เข้ารับฟังคำชี้แจงของกรรมการ และต่างถอยเข้ามุมของตน ต่างฝ่ายต่างเงียบขรึมด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีการยิ้มทักทาย แตะหมัดจับมือหรือไหว้กันเลย

ในตอนนี้ ไม่รู้ว่านายเจียแอบไปบริกรรมคาถาขยายร่างตอนไหน แต่ดูเหมือนสีหน้านายเจียจะออกเครียดๆอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่า เจ้าหนุ่มที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขานั้น ก็น่ากลัวไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

แก๊ง!!!

เสียงระฆังดังขึ้น อันเป็นสัญญาณให้เริ่มชก

แก้ไขล่าสุด 4 ม.ค. 53 17:20 | ไอพี: ไม่แสดง

#2 | trapizius | 4 ม.ค. 53 18:07 น.

(รูปนี้ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องนะครับ เอามาประกอบเฉยๆ เห็นว่าเท่ดี )

นักมวยทั้งสองออกจากมุมของตนเอง ตรงเข้าหากันอย่างไม่รีรอ...

นายเจียวาดแขนแบมือหมุนเวียนผ่านหน้า หลอกล่อไปมาแล้วย่างเข้าหานายแพ พยายามหาโอกาสโจมตีอย่างใจเย็น

ส่วนนายแพ เลี้ยงประเสริฐ จรดมวยอย่างรัดกุมมั่นคง คุมข้อศอกปิดชายโครงไว้ หงายหมัดทั้งสองป้องกันคาง ก้มหน้าลงเล็กน้อย จนหน้าผากตัวเองย่นเป็นรอย สายตามองนายเจียอย่างระมัดระวัง โดยเตรียมตัวจะตอบโต้ทันทีที่นายเจียพุ่งเข้าหา เท้าหน้ากระดิกๆด้วยกำลังนิ้วเท้า โดยไม่ก้าวย่าง ตั้งรับนายเจียอย่างไม่ประมาทเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายดูเชิงกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่นายเจียจะจู่โจมลองเชิงไปบ้าง ซึ่งนายแพก็โต้กลับบ้างตามประสา ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครรีบร้อน

จนกระทั่งหมดยกที่ 1...

ประชาชนต่างนั่งดูสองนักมวย ต่อสู้กันแบบลองเชิงอยู่ ก็ชักจะเบื่อๆ ง่วงนอนบ้าง แต่ก็ไม่มีใครกล้าโห่ หรือต่อว่าต่อขาน ขว้างขวดน้ำขวดโซดาขึ้นไปบนเวทีเหมือนสมัยนี้ เนื่องจากรู้ว่านี่เป็นการพบกันของยอดมวยโดยแท้ ซึ่งจะผลีผลามเข้าต่อยตีกันไม่ได้

เสียงระฆังยกที่สองดังขึ้นอีก นายเจียและนายแพ ก็ยังคงสู้กันด้วยทีท่าดังเดิม คือคนหนึ่งหลอกล่อหาโอกาสเข้าโจมตี อีกคนก็ปักหลักมั่นคงเตรียมตอบโต้ทุกขณะ

ในยกสองนี้ นายเจียเริ่มออกอาวุธหนักขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะการป้องกันอย่างรัดกุมของนายแพแล้ว นายเจียจะต้องพิชิตคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่ยากนัก

แต่นายแพเป็นศิษย์แห่งสำนักท่าเสา ถึงแม้จะถูกต่อยตี หรือเตะบ้าง ก็อาศัยการป้องกันที่รัดกุมนั้นทำให้ตนเองเจ็บตัวน้อยที่สุด

นายเจียเองก็ไม่ค่อยกล้าจะลงมือเด็ดขาดกับนายแพ เพราะหลังจากลองเชิงกันมานาน นายเจียก็รู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขา ไม่ใช่ขนมที่จะหยิบใส่ปากเคี้ยวได้ง่ายๆ

จนกระทั่งหมดยกที่ 2..ท่ามกลางเสียงหาวหวอดๆ ของคนดู

และพอเริ่มยกที่ 3 การต่อสู้ก็ยังดำเนินไปตามครรลองของทั้งสอง นายเจียยังคงหลอกล่อไปมาเพื่อให้นายแพสับสน และเกิดความกดดัน

นายแพเองก็ใจเย็นเหลือเกิน ไม่ยอมบ้าจี้ทำตามลูกไม้ของนายเจีย การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเงียบเชียบ..ทว่าเอาเป็นเอาตาย!!

นายเจียพยายามหาช่องจัดการนายแพ ซึ่งตอนนี้หงายหมัดทั้งสองเตรียมกระแทกสวน พลางขยับขาพร้อมจะเหวี่ยงได้ทุกเมื่อ

และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง...

นายเจีย เห็นนายแพเปิดช่องว่างบริเวณกกหู

ไม่ต้องเสียเวลาพูดพล่ามทำเพลงใดใดทั้งนั้น หมัดเหวี่ยงของนายเจีย ก็หวดเข้าใส่กกหูของนายแพอย่างรวดเร็ว!!

และแล้ว สิ่งมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น!!

รวดเร็วเกินกว่าที่สายตาของใครจะมองได้ทัน นายแพซึ่งคอยท่าอยู่แล้ว เมื่อกำปั้นของนายเจียเหวี่ยงเข้ามา ฉับพลันตัวของเขาก็รีบสืบเท้าเข้าประชิดทันที

พร้อมกันนั้น หมัดที่หงายอยู่นั้น ก็ยิงตูมเข้าไปที่ลูกกระเดือกของนายเจีย ราวกับกระทุ้งด้วยท่อนซุง

ซึ่งถ้าใครเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวมาบ้าง ย่อมจะรู้ว่าลูกกระเดือกนั้นเป็นจุดอ่อน หากถูกควักอาจถึงตายได้

ยิ่งกว่านั้นถ้าถูกต่อยเสยแรงๆแบบนี้ จะเกิดอาการเจ็บปวดจนสุดจะทนทาน เสมือนดังกลืนถ่านไฟร้อนๆลงไปในลำคอเลยทีเดียว

นายเจีย หน้าหงาย ลำตัวเกร็ง ตากลับ แต่แทนที่จะหงายหลังล้มไป เขากลับโซเซพยายามจะไปพิงเชือก

นายแพ จึงรี่ตามเข้าไป แล้วกระหน่ำต่อยใส่ใบหน้าของนายเจียไม่เลี้ยง นายเจียเซถลาถอยหลังไปนั่งพิงเชือก เลยโดนนายแพกระหน่ำหมัดอย่างบ้าเลือด ชกเข้าไปไม่นับหัวหูอะไรทั้งสิ้น กว่ากรรมการจะหายตกตะลึง แล้วเข้ามาแยก(ซึ่งในสมัยนั้น การถอยหลังไปนั่งพิงเชือก อนุญาตให้ซ้ำได้)

พอนายแพ ผละออกจากนายเจียแล้วนั้น นายเจียก็ล้มลงคว่ำหน้า แขนขากางหมดสติไป

ผู้ตัดสินเริ่มนับ...

1..

2..

3..

นับจนถึง 10 ก็ไม่มีท่าทีว่านายเจียจะลุกขึ้นได้ เลยตัดสินให้นายแพชนะไป

พี่เลี้ยงของนายเจียรีบขึ้นเวที และพยุงนายเจียไปปฐมพยาบาลอย่างเร่งด่วน

แต่นายเจีย ไม่ยอมฟื้น!!

สถานการณ์โกลาหลทันที ทางสนามมวยท่าช้าง ต้องรีบนำนายเจียส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

แต่สุดท้าย ก็พบว่าความพยายามนั้นเปล่าประโยชน์ เพราะนายเจีย เขมรใจกล้า ได้เหลือแต่ร่างไร้วิญญาณเสียแล้ว

แก้ไขล่าสุด 4 ม.ค. 53 19:11 | ไอพี: ไม่แสดง

#3 | trapizius | 4 ม.ค. 53 19:30 น.

(ภาพ หนุมานถวายแหวน คือท่าที่นายแพ เลี้ยงประเสริฐ ต่อยนายเจียจนกระเดือกแตก)

กลับมาที่สนามมวยท่าช้างอีกครั้ง หลังจากเหตุไม่คาดฝันจบลง นายแพ เลี้ยงประเสริฐ ก็ถูกควบคุมตัวไปสอบสวนที่โรงพัก ซึ่งนายแพอาจถูกติดคุกในข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาทก็ได้

พลโทพระยาเทพหัสดิน ผู้เป็นเจ้าของสนาม พยายามวิ่งเต้นช่วยเหลือนายแพอย่างสุดความสามารถ เนื่องจากเห็นว่านายแพนั้นไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำให้นายเจียถึงแก่ความตายแต่อย่างใด

พอผ่านไป จนกระทั่งถึงเวลาสี่ทุ่มของวันนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็อนุญาตให้นายแพ กลับบ้านได้

ซึ่งถ้าจะว่ากันตามกฏหมาย ก็ไม่อาจเอาผิดนายแพได้ เพราะว่ามีพระธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า..

"...ชนทั้งสองเป็นเอกจิตเอกฉันตีมวยด้วยกัน  และผู้หนึ่งต้องเจ็บปวดหักโข้นถึงแก่มรณะภาพ  ท่านว่าหาโทษมิได้ตลอดจนผู้ยุยงตกรางวัลเพราะเหตุจะได้มีจิตเจตนาให้สิ้นชีวิตก็หามิได้ เพียงใคร่จะดูเล่น  เป็นกรรมของผู้ถึงมรณะภาพเองแล..."

แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป รัฐบาลในสมัยนั้น ได้ประกาศยกเลิกการคาดเชือกชก ให้เปลี่ยนมาใส่นวมแทน ดังที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้

ส่วนนายแพ เลี้ยงประเสริฐ ก็ได้เดินทางกลับอุตรดิษถ์ และไม่กลับมาที่กรุงเทพฯอีกเลยนับจากนั้น

และนี่ก็คือ จุดจบของมวยคาดเชือกในบ้านเรา ซึ่งตอนนี้มวยคาดเชือกก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ โดยกลุ่มคนที่มีจิตใจรักในศิลปะวัฒนธรรมของชาติ พยายามที่จะฟื้นคืนชีวิตให้กับศาสตร์แห่งการต่อสู้นี้ แม้ว่าจะไม่เหมือนเดิม 100% แต่ยังไงเสีย ก็ยังดีกว่าเหลือแต่มวยกอดปล้ำเอาเข่าตะกายสีข้างกัน อย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ใช่ไหมครับ?

สวัสดีครับ

แก้ไขล่าสุด 4 ม.ค. 53 19:36 | ไอพี: ไม่แสดง

#4 | trapizius | 4 ม.ค. 53 19:52 น.

ว่าจะจบกระทู้นี้ ก็ดันไม่จบเสียนี่

หลายคนอาจจะค้างคาใจว่า "ก็ไหนว่าอีตาเจียแกมีวิชาอาคมไม่ใช่รึ ไหนว่าหนังเหนียวคงกระพันฟันแทงไม่เข้า แล้วทำไมมาโดนต่อยตายเอาง่ายๆแบบนี้ฟะ"

จริงๆแล้ว เรื่องนี้มีเรื่องเล่าของทางฝ่ายนายเจียด้วยครับ ว่ากันด้วยเรื่อง ลางร้ายของนายเจีย

ก็อย่างที่ทุกท่านทราบกันว่า นายเจียมีคาถาที่เวลาบริกรรมแล้ว ร่างกายจะดูขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งในวันนั้น นายเจียเองก็บริกรรมคาถานี้เช่นกัน แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จ ซึ่งเป็นเหตุให้นายเจียเครียดขึ้นมาทันที และก่อนหน้าที่จะขึ้นชกนั้นก็เกิดเหตุวิปริตหลายอย่างเป็นลางสังหรณ์ รวมถึงอาจารย์ของนายเจียเองก็ทักว่า อย่าขึ้นชกเลย แต่นายเจียก็หาได้เชื่อฟังไม่

ส่วนที่ว่าแกเป็นคนมีวิชาอาคม แต่ทำไมถึงโดนต่อยตายง่ายๆนั้น ผมไม่แน่ใจว่าวิชาอาคมของนายเจียนั้นเป็นประเภทใด แต่คาดว่าคงจะเป็นประเภทหนังเหนียว คือถูกปืนยิง ถูกของมีคมฟันแทงไม่เข้า แต่สามารถเจ็บขัดยอก บวม กระดูกหัก หรืออวัยวะภายในเสียหายได้

ดังนั้น เมื่อแกถูกหมัดของนายแพกระแทกกระเดือก กระเดือกแกเลยแตกได้ เพราะวิชาของแกมันไม่ได้คุ้มกันอวัยวะภายใน แถมยังโดนต่อยซ้ำๆหลายที อาจเป็นเหตุให้สมองกระทบกระเทือนจนเสียชีวิตได้(สังเกตว่า เลือดไม่ไหลเลย อาจเป็นเพราะแกหนังเหนียวนี่แหละ)

ก็เหมือนนายทองเหม็น ชาวบ้านบางระจัน ที่โดนดาบฟันไม่เข้า แต่เมื่อพม่าใช้ค้อนช่วยกันทุบ ก็ถึงแก่อนิจกรรมได้เหมือนกัน

สิ่งเหล่านี้ น่าจะเตือนสติบรรดานักเลงทั้งหลาย ที่ชอบเล่นของ เล่นไสยศาสตร์เพื่อให้ตัวเองคงกระพัน ว่าความจริงแล้วก็หาได้มีผู้ใดอยู่ค้ำฟ้า คนเราเมื่อถึงเวลาจะต้องตาย ต่อให้มีวิชาดีแค่ไหนก็ไม่รอดหรอก จริงไหมครับ?

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | ?iem้f0di3` | 27 ม.ค. 53 21:38 น.

จขกทพิมพ์เองหรอ
สุดยอด
นังอ่านอย่างเมามัน 5555555
ขอบคุณมากๆ สำหรับความรู้ -0-;

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | SZiDนี้ไร้การศึกษา | 24 ก.ย. 54 01:41 น.

สุดยอด กระเดือกนี้ทำให้เราเจ็บได้มากขนาัดนั้นเลยหรอ 

ศิษย์พระยาพิชัย

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google