งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ ม.3

28 ธ.ค. 54 20:17 น. / ดู 6,992 ครั้ง / 2 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
ใครพอจะมีตัวอย่างบ้างอ่ะ งานเขียนเขิงสร้างสรรค์ ซัก 5-10 บรรทัด ช่วยตอบหน่อย เราต้องใช้พรุ่งนี้แล้ว ใครมีบอกเหอะ กราบงามๆคนตอบเลยล่ะ
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | KymBerLeY (ไม่เป็นสมาชิก) | 29 ธ.ค. 54 08:54 น.

มาช่วยตอนนี้ทันไหมล่ะเนี่ย 

ถ้าได้แวะเข้ามาก็อย่าลืมมากดดูนะคะ เราจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ (ทัน) ก็แล้วกันค่ะ

ตัวอย่างใช่ไหมคะ? ได้ค่ะ

V
V

ตัวอย่างการเขียนเชิงสร้างสรรค์ เรื่องดอกไม้เพื่อนฉัน

        ทุกเช้าผีเสื้อจะบินมาที่หน้าต่างห้องนอนของหนูนา สวัสดีกับหนูนา แล้วบินร่อนไปมาอย่างร่าเริง
แต่วันนี้ผีเสื้อบินมาเกาะนิ่งร้องไห้น้ำตาเป็นทาง หนูนาเห็นแล้วสงสารจับใจ
        \"ผีเสื้อ เธอเป็นอะไรจ๊ะ\"
        \"ดอกไม้เพื่อนรักของฉันน่ะสิ ดอกไม้ที่ฉันเคยดูดน้ำหวานกินทุกวัน เหี่ยวเฉาตายไปแล้ว
ฉันไม่มีน้ำหวานดอกไม้กิน อีกหน่อยก็คงถึงคราวของฉันบ้างเหมือนกัน\"
        น้ำเสียงใสๆ ของผีเสื้อนั้นฟังดูเศร้าสร้อย
        \"แล้วจะให้ฉันช่วยเธอยังไงดีล่ะผีเสื้อ\"
        \"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ\" ผีเสื้อทอดถอนใจ
        หนูนาเกิดความคิดบางอย่าง
\"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอลองคิดดูสิว่า ดอกไม้มาจากไหน เผื่อชั้นจะไปหามาให้เธอได้\"
        \"เอ!...\" ผีเสื้อทำท่านึกแล้วบอกว่า
\"ฉันก็เคยถามดอกไม้เหมือนกันว่า มาจากไหนแต่มันนานมาเเล้วขอทบทวนดูหน่อย...
วันนั้นลมพัดเย็นสบายดี ฉันบินไปหาสบายดี ฉันบินไปหาดอกไม้เพื่อนฉัน
พอฉันดูดน้ำหวานอิ่มเเล้ว เราก็คุยกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
        ฉันเอ่ยถามว่า ดอกไม้มาจากไหน ดอกไม้ตอบว่า ฉันมาจากกลีบเลี้ยงจ้ะ
เมื่อตอนดอกไม้เด็กๆ ยังไมม่บานนั้นซุกอยู่ในลกีบเลี้ยง...\"
        \"อ้อ! ดอกไม้มาจากกลีบเลี้ยงหรือจ้ะ ผีเสื้อ\" หนูนาซัก
        \"เปล่าจ๊ะ ตอกเเรกฉันก็เข้าใจอย่างนั้น แต่กลีบเลี้ยงบอกว่า
ตัวเองงอกออกมาจากก้านจ้ะ\"
        \"ถ้าเช่นนั้นดอกไม้ก็มาจากก้านนั่นเอง\"
        \"เปล่าจ๊ะ เพราะก้านก็บอกว่า มันงอกเงยออกมาจากลำต้น ฉันจึงต้องตะโกนถามลำต้น
ซึ่งออกจะอยู่ไกลกันว่า ดอกไม้มาจากลำต้นใช่ไหม...\" ผีเสื้อเล่าต่อ
        \"ลำต้นตะโกนออกมาว่า เปล่าจ๊ะ ลำต้นยังอายุน้อย ไม่รู้หรอก ให้ผีเสื้อไปถามรากที่อายุมากที่สุด
รากคงบอกผีเสื้อหรือตัวฉันนี้ได้กระมังว่า ดอกไม้มาจากนี้\"
        \"แหม! แล้วรากน่ะอยู่ใต้ดิน จะได้ยินเหรอ ฉันจึงบินลงไปที่พื้นดินตรงโคนต้น
เคาะพื้นดินก๊อกๆ ถามรากผู้อาสุโสว่า ดอกไม้มาจากเธอหรือเปล่าจ๊ะ
        รากตอกกลับมาเสียงอู้อี้ๆ แทบไม่ได้ยินว่า \"โอ้! ไม่หรอก ดอกไม้มาจากเมล็ดจ๊ะ
แล้วผีเสื้อรู้ไหมพวกเราต้นไม้ท้งต้น ราก ลำต้น ก้าน กลีบเลี้ยง มาจากเมล็ดทั้งนั้น\"
        ผีเสื้อเล่าจบเเล้ว หนูนาจึงถามว่า \"อ๋อ! ถ้าอย่างนั้น ดอกไม้ก็มาจากเมล็ดใช่ไหมผีเสื้อ\"
        หนูนาดีใจมาก \"ผีเสื้อ ฉันคิดออกเเล้วเธอพาฉันไปที่กอดอกไม้เพื่อนรักของเธอ
เราไปค้นหาเมล็ดดู เราอาจทำให้ดอกไม้ของเธอเกิดขึ้นอีกได้
เพราะดอกไม้มาจากเมล็ดนี่นา\"
        แล้วผีเสื้อก็บินนำหนูนาไปที่สวนดอกไม้ โชคดีจริงที่พบเมล็ดหล่นอยู่ตรงพื้นดิน
หนูนาขุดดินเอาเมล็ดปลูก และรดน้ำให้
        ส่วนผีเสื้อกระชิบเบาๆ กับเมล็ดว่า
\"ดอกไม้จ๊ะ งอกออกมาเร็วๆ นะ ฉันกำลังคอยเธออยู่\"

(ที่มาจาก :
เอกรินทร์ สี่มหาศาล และคณะ. ภาษาไทย ป.3. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์.)




หวังว่าจะช่วยเป็นแนวทางได้นะคะ เอาใจช่วยค่า~ 

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | EKI | 30 ธ.ค. 54 13:01 น.

คือเราก็ทำเรื่องนี้ส่งอาจารย์เหมือนกันน =='
ซึ้งนะเราชอบบบบบบบบบ

ความฝันโ.ง่ๆ

    วันที่ 8 มิถุนายน 1924 กลางม่านหมอกแห่งยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ชายสองคนเดินหายไปในความยะเยือก และฝันโ.ง่ๆ ของพวกเขา ไม่มีใครเห็นพวกเขาอีกเลย

    จอร์จ มัลเลอรี เป็นชาวอังกฤษ เกิดที่ม็อบเบอร์ลี เชเชียร์ ชอบปีนป่ายแต่เล็ก เขาปีนตั้งแต่ต้นไม้ เสา ไปจนถึงอาคาร เมื่ออายุ 8-9 ขวบ เขาปีนขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่ริมทะเลเมื่อน้ำลงเต็มที่ ด้วยความอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อน้ำขึ้น เขาเกือบตายเมื่อน้ำทะเลท่วมหินใหญ่ แม้รอดมาได้ เขาก็ไม่เลิกนิสัยปีนป่าย

    ในปี 1904 มัลเลอรีกับเพื่อนพยายามปีนเขาในเทือกเขาแอลป์ส แต่จำต้องเลิกกลางคันเพราะร่างกายไม่สามารถปรับตัวเข้ากับระดับความสูง เจ็ดปีถัดมา เขาก็พิชิตเขา มองท์ บลังค์

    มัลเลอรีมีเลือดผจญภัยเข้มข้นอย่างยิ่ง ชอบปีนทั้งเขาหินและเขาเย็นยะเยือก เมื่อเพื่อนร่วมทางบ่นท้อแท้ มัลเลอรีมักให้กำลังใจพวกเขา และเดินหน้าต่อไปถึงจุดหมายปลายทางที่แทบสามารถยื่นมือสัมผัสสวรรค์

    มัลเลอรีปีนป่ายภูเขาทั่วโลก บ่อยครั้งเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่ปรากฏในแผนที่ บางสายทางที่เขาปีนป่ายเป็นทางที่ยากเย็นที่สุดแม้กับนักปีนเขาที่มีอุปกรณ์ทันสมัยในปัจจุบัน บางครั้งก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้งหนึ่งหิมะถล่ม เพื่อนชาวเชอร์ป่าตายไปเจ็ดคน เขารู้สึกเศร้า แต่ก็ยังไม่เลิกปืน

แล้วเข็มทิศของเขาก็ชี้ไปยังยอดเขาสูงที่สุดในโลก



นักข่าวนิวยอร์กถามมัลเลอรีว่า ทำไมเขาต้องการปีนเขาเอเวอเรสต์ เขาตอบเรียบๆ ว่า "เพราะมันอยู่ที่นั่น"

การปีนเขาสำหรับบางคนเป็นกีฬา สำหรับบางคนเป็นความฝัน

    หลายคนมักบอกว่า การปีนป่ายสวนแรงดึงดูดของโลกสู่ชั้นบรรยากาศเบาบางเป็นกีฬาสำหรับคนโ.ง่ กระทั่งสมน้ำหน้าเมื่อพวกเขาตายไป พิพากษาเขาเหล่านั้นด้วยประโยคที่ขึ้นต้นว่า "อยู่ดีๆ ไม่ว่าดี..."

    ความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฝันของบางคนอาจดูโ.ง่และไร้สาระกว่าของบางคน แต่ฝันก็คือฝัน พวกเขาเชื่อว่าไม่สมควรปล่อยให้ความฝันดับหายไปโดยไม่ลงมือทำอะไร ก็อย่างที่มัลเลอรีบอกกับเพื่อน "การปฏิเสธการผจญภัยก็เช่นเม็ดถั่วที่เหี่ยวแห้งตายไปคาฝักของมันเอง"



      เจ็ดสิบห้าปีต่อมา นักปีนเขากลุ่มหนึ่งพบซากร่างของ จอร์จ มัลเลอรี กับเพื่อน ใกล้ยอดเขาเอเวอเรสต์ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาตายไประหว่างทางขึ้นไปถึงยอด หรือระหว่างทางลงจากเขา หากเป็นกรณีหลัง มัลเลอรีกับเพื่อนจะเป็นมนุษย์คู่แรกที่เหยียบยอดเขาเอเวอเรสต์

แต่บางทีสำหรับมัลเลอรี มันไม่สำคัญเลยที่จะเป็นคนแรก พวกเขาต้องปีนป่ายอยู่แล้ว "เพราะมันอยู่ที่นั่น"

พวกเขาเชื่อว่า ต่อให้เป็นฝันโ.ง่ๆ เพียงใด ก็เป็นความฝันที่ต้องทำให้สำเร็จ และราคาของความฝันโ.ง่ๆ นั้นคุ้มค่าเสมอ

วินทร์ เลียววาริณ

แก้ไขล่าสุด 30 ธ.ค. 54 13:02 | ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google