[REVIEW] Hugo "คารวะ Melies ตำนานภาพยนตร์เล่าเรื่อง" (★★★★)

16 ก.พ. 55 20:39 น. / ดู 1,774 ครั้ง / 11 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
Hugo  ย้อนรอย Melies ตำนานภาพยนตร์เล่าเรื่อง

ก่อนอื่นขอบอกเลยว่าตอนดูตัวอย่างหนังเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว แทบจะไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงมากนักกำหนังสไตลล์ที่ไม่ค่อยได้เห็นจากฝีมือการกำกับของ Martin Scorsese ผู้กำกับที่คนส่วนใหญ่ขนานนามว่า สุดยอดผู้กำกับหนังมาเฟีย แต่พอหนังได้รับกระแสวิจารณ์ในแง่ดีมากมายอีกทั้งยังส่งชิงรางวัลต่างๆได้อย่างมากมาย ทำให้ผมมีความสนใจในตัวหนังเรื่องนี้มากพอสมควร ถึงกับนับวันเวลารอที่จะชมภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทีเดียว และวันนี้หลังจากพึ่งได้ดูหนังเรื่องนี้มา ความคิดของผมที่มีต่อภาพยนตร์ของ Martin เรื่องนี้กับดีขึ้นมากมายหลายเท่าตัวนัก หนังอาจจะดูเด็กในตัวอย่างและการโฆษณา แต่แท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่หนังสำหรับเด็กเลย แต่แค่มีตัวละครผูกเรื่องเป็นเด็กเท่านั้นเอง



จุดมุ่งหมายที่สำคัญของการสร้างเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การไขปริศนาของเด็กแต่อย่างใด แต่กลับอยู่ที่การเชิดชูและเทิดทูน ผู้กำกับผู้บุกเบิกภาพยนตร์เล่าเรื่อง หลังจากได้แรงบันดาลใจอันล้ำค่ามาจากสองพี่น้อง Lumiere ผู้ประดิษฐ์และผู้กำกับภาพยนตร์แนว Realism หรือสารคดี หรือภาพยนตร์ข่าว ชื่อดัง ทำให้ ผู้กำกับภาพยนตร์เล่าเรื่องที่เป็นผู้บุกเบิกมันคือมาชื่อว่า George Melies มีความหลงใหลในศาสตร์ภาพยนตร์อย่างสูง เริ่มทำภาพยนตร์ขึ้นมา Martin Scorsese ต้องการเชิดชูเกียรติ และเทิดทูน Melies ในหนังเรื่องนี้ โดยมีตัวละครเด็กที่ชื่อว่า Hugo เป็นตัวผูกเรื่องราว โดยประเด็นที่น่าสนใจของหนังที่เน้นเป็นพิเศษคือประเด็นเรื่อง "กำพร้า" ผู้กำกับอาจต้องการสื่อว่า ถึงแม้ว่าหนังของ Melies จะกำพร้าคนดูในปัจจุบัน หรือชีวิตเขาอาจจะไม่มีใครสนใจ แต่ในที่สุดจะมีที่หนึ่งที่เหมาะสำหรับงานของเขา มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงเชิดชูบูชางานของเขาอย่างหมดหัวใจ



สิ่งแรกที่ผมคิดว่าทุกคนที่ได้เข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วรู้สึกเหมือนกันว่าเป็นด้านชั้นยอดด้านหนึ่งตั้งแต่ได้สัมผัสมัน คืองานด้านภาพทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น กำกับศิลป์ กำกับภาพ หรือแม้แต่เทคนิคพิเศษก็ตาม รวมทั้งงานต่างๆทางด้านการควบคุมสี และแสง ในตัวหนังพยายามจะสื่อถึงความยิ่งใหญ่ของ ต้นกำเนิดภาพยนตร์ และตำนานผู้กำกับแนวเล่าเรื่องอย่าง Melies ด้วยการใช้ภาพที่เป็นลักษณะ Extreme Long Shot หรือภาพมุมกว้างบ่อยมาก และภาพมุมสูง เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ โดยสิ่งที่ Martin ต้องการจะสะท้อนตัวหนังออกมาจากความคิด ความฝัน และความชื่นชมของเขาทั้งหมด โดยมีการควบคุมโทนแสงให้เป็นแสงสว่าง และทิศทางของแสงเป็นแบบ sihouette หรือย้อนแสง ทำให้หนังแทบทั้งเรื่องเหมือนกับท่องอยู่ในโลกความคิด ความฝันของ Martin  ส่วนภาพอีกแบบหนึ่งที่สังเกตได้ชัดคือ ภาพในลักษณะ Medium Shot ที่ก็เน้นในมุมสูงนิดหน่อย เพื่อที่จะโฟกัสไปที่ตัวดำเนินเรื่องต่างๆ อีกทั้งภาพที่สังเกตได้ ที่มีลักษณะเหมือนฉากของหนังในยุคก่อนๆที่เป็นลักษณะของภาพ Long Shot เสียส่วนมาก คือ เห็นตัวละครทั้งตัว โดยใช้มุมกล้องแบบ Eye Level shot ซึ่งสามารถเห็นได้บ่อยๆในหนังยุคก่อนๆ ที่ทำให้มีลักษณะแบบการเล่าเรื่อง เพื่อปล่อยให้มีความเป็นกลางทางความคิดและไม่มีการชี้นำ



อย่างที่บอกไปแล้วคือ โทนของภาพจะเป็นโทนสว่างเสียส่วนมาก แต่ก็พยายามสอดแทรกสีโทนเย็นๆลงไป ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางเสื้อผ้า ของตัวแสดง หรือฉากบางฉาก เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดเกินไป โดยสิ่งที่ต้องขอชมสำหรับหนังของ Martin เรื่องนี้คือ ผู้กำกับไม่พยายามยัดเยียด ชีวิตของ Melies มากจนเกินไป แต่เน้นไปที่การสอดแทรก และเล่าเรื่องราว ผ่านการแก้ปัญหาของตัวละครอย่าง Hugo มากกว่า ซึ่งทำให้คนดูรู้สึกไม่อึดอัดและเอียนกับตัวหนัง อีกหนึ่งสิ่งที่น่าชื่นชมคือเรื่องการลำดับของภาพที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่ได้ฉับไวเหมือนหนังหลายๆเรื่อง (EX. The Social Network) แต่ก็ทำได้ดี และสิ่งที่ทำให้หนังดูไม่น่าเบื่อหน่ายในการดำเนินเรื่อง คือการแทรงฉาก แต่ไม่ขัดการดำเนินเรื่อง โดยเป็นฉากที่แทรกอารมณ์ขันลงไปได้อย่างไม่มากจนเสียหนัง และไม่น้อยจนทำให้หนังอืด เพื่อดึงคนดูให้สนใจในหนังต่อได้เรื่อยๆ



ส่วนในด้านเสียงก็เช่นกันเรียกว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้ด้านอื่นๆเลย ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อเสียง ที่ดูต่อเนื่อง มีความสมเหตุสมผล อีกทั้งยังช่วยให้หนังมีความลื่นไหลได้อย่างดี ไม่มีช่วงไหนที่ดูโดนแปลกแยกไปจากฉากอื่นๆมากนัก และด้านผสมเสียงก็เช่นเดียวกัน ในการผสมเสียงต่างๆเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบฉาก หรือเสียงที่ถูกสร้างขึ้นเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว สามารถแยกความแตกต่าง และเข้าใจในเสียงต่างๆรวมทั้งสามารถตีความ และแยกออกมาเป็นอารมณ์ต่างๆที่คนดูรู้สึกได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกด้านที่น่าสนใจคือ เสียงดนตรี (Score) ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียง Score มากมายนัก แต่เสียงที่มีอยู่ก็สามารถตอบโจทย์ของอาณาจักรไขลานได้อย่างดึ ถึงแม้ว่านาฬิกามันจะเดินเชื่องช้า แต่ทุกชีวิตต้องเดินต่อ ถึงแม้ว่าคนเราจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเวลากันทุกคน แต่คนเราก็ต้องมีเวลาที่จะใช้หายใจ และสิ่งสำคัญที่สุดถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่ให้ความสำคัญกับเรา แต่ถ้าเราให้ความสำคัญกับตัวเอง ซักวันหนึ่งก็ต้องมีคนมาเห็นความสำคัญของเรา



นี่คือหนังที่สมบูรณ์ที่สุดของปีเลยก็ว่าได้ (ดีแทบทุกด้าน) ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีด้านโดดเด่นสุดโต่งอะไรมากมายแต่มันก็ลงตัว  และสร้างความประทับใจได้ไม่ยาก แนะนำครับ



GIVE : A

ปล ที่หายไปนานคือ เซ็งมากๆๆๆ ขี้เกียจ รีวิว เพราะหน้าแหกจากออสการ์ หงุดหงิดมาก อย่างตอนนั้นว่าจะรีวิว We Need to Talk About Kevin กับ Moneyball ก็เลยไม่ทำเลยเซ็งมาก เดี๋ยวรอลุ้นประกาศผลออสการ์อีกที


สปอยล์
.
.
.
.
.
.
ไม่รู้ใครเป็นเหมือนผมบ้างน่ะ แต่ผมร้องไห้ ตรงที่ Melies นึกถึงผลงานของเขาที่เขาคิดว่าไม่มีใครจดจำแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคิดจะลืมมัน แต่พอเขารู้ว่ายังมีคนจดจำอยู่ เขาก็ภูมิใจ อยู่ดีๆน้ำตาผมก็ไหลซะงั้นทั้งๆที่ไม่ได้เศร้ามาก่อนหน้าเลย งงมาก
แก้ไขล่าสุด 16 ก.พ. 55 22:43 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | filmalmost | 16 ก.พ. 55 21:18 น.

ว่าจะไปดูเหมือนกันครับ  ในส่วน 3D เนี่ยเป็นอย่างที่เขาล่ำลือกันหรือเปล่าครับ

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | -FaMMusIClE | 16 ก.พ. 55 21:46 น.

3D เยี่ยมเลยครับ ตั้งใจทำมาก แบบว่า หน้าคนทะลุออกมา แล้วก็พวกเท้า หรือสิ่งของทะลุออกมา เหมือนกับที่ James Cameron ชมไว้เลยครับ 

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | Tee_und_Du (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ก.พ. 55 21:56 น.

เปนหนัง 3D ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลยค่ะ Avatar ยังชิดซ้าย
มีหลายฉากที่ทำน้ำตาคลอ แต่ไม่ได้เพราะเศร้าแต่มันรู้สึกประทับใจอ่ะค่ะ

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | AnotherA (ไม่เป็นสมาชิก) | 16 ก.พ. 55 22:57 น.

ให้ตายเถอะ เห็นพูดกันขนาดนี้ แทบจะรอดูไม่ไหวแล้ว!!!
ความจริงอยากดูแบบธรรมดานะ แต่มันมีแต่แบบ 3D แล้วยิ่งหลายคนบอกว่าเป็น 3D ที่สุดยอดแล้ว โอ้พระเจ้า!! นับนาทีรอวันเวลาที่จะไปดู

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | -Prince- | 17 ก.พ. 55 15:12 น.

อยากไปดูมากๆ เล็งไว้ตั้งนานละ เดี๋ยวต้องหาโอกาสไปดูให้ได้

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | ordinary. | 17 ก.พ. 55 15:59 น.

แปะไว้ เดี๋ยวผมมาอ่าน 
อยากดูมากๆเลยเรื่องนี้

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | yukinbc | 19 ก.พ. 55 12:28 น.

ถ้าหนังดีจริง ทำไมต้องจำกัดโรงฉายด้วยอ่ะ เท่าที่ตรวจสอบ เจอฉายแค่ที่ พารากอน ที่เดียวเองอ่ะ ถ้าไม่รวมพวกลิโด้นะ แล้วก็ดูจากตัวอย่างแล้ว มีกลิ่นอายของมาเฟียนะ ดูจากชุด Costume และฉาก

ไอพี: ไม่แสดง

#8 | bOaoun (ไม่เป็นสมาชิก) | 19 ก.พ. 55 14:44 น.

ก็เพราะว่าหนงดีไงครับเลยต้องจำกัดโรงฉาย เพราะโรงพี่ไทยไม่ชอบหนังดี 

ไอพี: ไม่แสดง

#9 | jillian | 19 ก.พ. 55 22:28 น.

คห 7 ที่ SF Central World และ SFX Cinema Pattaya Beach ก็ฉายด้วยนะ แต่ลิโด้ไม่ฉาย เพราะเป็นหนัง 3D
ส่วนเรื่องจำกัดโรง เป็นเหตุผลทางธุรกิจล้วนๆ บางครั้งหนังแบบนี้ฉายจำกัดโรงอาจให้กำไรมากกว่าเข้าทุกโรงอีก (รายได้น้อยกว่า แต่ทำกำไรมากกว่า)

ไอพี: ไม่แสดง

#10 | AnotherA (ไม่เป็นสมาชิก) | 21 ก.พ. 55 21:33 น.

ในที่สุดก็ได้ไปดู ดูแบบ3Dด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกเหมือนกันว่า นี่คือหนังที่สมบูรณ์แบบจริงๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#11 | Researcher | 23 ก.พ. 55 11:03 น.

@คห.7 ครับ ..ผมไม่เห็นด้วยทั้งหมดที่คุณพิมพ์เลย

เรื่องที่สงสัยว่าหนังดีจริงทำไมต้องจำกัดโรง...นั่นข้อแรก
สำหรับที่นี่ประเทศไทย ATM ไงครับ...หนังที่ดี ตรงจริตคนไทย
ที่ไม่เพียงไม่ได้ฉายจำกัดโรง..แต่ไปดูกันถึงกับถล่มทลาย

และกลิ่นมีกลิ่นอายมาเฟีย...นั่นคือข้อสอง ที่ไม่เห็นด้วย
มันอยู่ที่ยุคสมัยของการแต่งกายครับ...ไม่ใช่แต่งแบบนี้คือหนังมาเฟีย
ยก ตย. คุณว่า Public Enemy กับ Departed โทนเหมือนกันตรงไหน

ถ้าความเห็นผมเป็นการถากถาง หรืออคติ ต้องขอโทษจากใจด้วยนะครับ
เพราะส่วนตัวต้องการแสดงความเห็นแบบ เน้นๆ เนื้อๆ
ลองดูครับผม...ลองดู ลองดู

แก้ไขล่าสุด 23 ก.พ. 55 11:05 | ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google