[REVIEW] Hugo "คารวะ Melies ตำนานภาพยนตร์เล่าเรื่อง" (★★★★)
จุดมุ่งหมายที่สำคัญของการสร้างเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การไขปริศนาของเด็กแต่อย่างใด แต่กลับอยู่ที่การเชิดชูและเทิดทูน ผู้กำกับผู้บุกเบิกภาพยนตร์เล่าเรื่อง หลังจากได้แรงบันดาลใจอันล้ำค่ามาจากสองพี่น้อง Lumiere ผู้ประดิษฐ์และผู้กำกับภาพยนตร์แนว Realism หรือสารคดี หรือภาพยนตร์ข่าว ชื่อดัง ทำให้ ผู้กำกับภาพยนตร์เล่าเรื่องที่เป็นผู้บุกเบิกมันคือมาชื่อว่า George Melies มีความหลงใหลในศาสตร์ภาพยนตร์อย่างสูง เริ่มทำภาพยนตร์ขึ้นมา Martin Scorsese ต้องการเชิดชูเกียรติ และเทิดทูน Melies ในหนังเรื่องนี้ โดยมีตัวละครเด็กที่ชื่อว่า Hugo เป็นตัวผูกเรื่องราว โดยประเด็นที่น่าสนใจของหนังที่เน้นเป็นพิเศษคือประเด็นเรื่อง "กำพร้า" ผู้กำกับอาจต้องการสื่อว่า ถึงแม้ว่าหนังของ Melies จะกำพร้าคนดูในปัจจุบัน หรือชีวิตเขาอาจจะไม่มีใครสนใจ แต่ในที่สุดจะมีที่หนึ่งที่เหมาะสำหรับงานของเขา มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงเชิดชูบูชางานของเขาอย่างหมดหัวใจ
สิ่งแรกที่ผมคิดว่าทุกคนที่ได้เข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วรู้สึกเหมือนกันว่าเป็นด้านชั้นยอดด้านหนึ่งตั้งแต่ได้สัมผัสมัน คืองานด้านภาพทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น กำกับศิลป์ กำกับภาพ หรือแม้แต่เทคนิคพิเศษก็ตาม รวมทั้งงานต่างๆทางด้านการควบคุมสี และแสง ในตัวหนังพยายามจะสื่อถึงความยิ่งใหญ่ของ ต้นกำเนิดภาพยนตร์ และตำนานผู้กำกับแนวเล่าเรื่องอย่าง Melies ด้วยการใช้ภาพที่เป็นลักษณะ Extreme Long Shot หรือภาพมุมกว้างบ่อยมาก และภาพมุมสูง เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ โดยสิ่งที่ Martin ต้องการจะสะท้อนตัวหนังออกมาจากความคิด ความฝัน และความชื่นชมของเขาทั้งหมด โดยมีการควบคุมโทนแสงให้เป็นแสงสว่าง และทิศทางของแสงเป็นแบบ sihouette หรือย้อนแสง ทำให้หนังแทบทั้งเรื่องเหมือนกับท่องอยู่ในโลกความคิด ความฝันของ Martin ส่วนภาพอีกแบบหนึ่งที่สังเกตได้ชัดคือ ภาพในลักษณะ Medium Shot ที่ก็เน้นในมุมสูงนิดหน่อย เพื่อที่จะโฟกัสไปที่ตัวดำเนินเรื่องต่างๆ อีกทั้งภาพที่สังเกตได้ ที่มีลักษณะเหมือนฉากของหนังในยุคก่อนๆที่เป็นลักษณะของภาพ Long Shot เสียส่วนมาก คือ เห็นตัวละครทั้งตัว โดยใช้มุมกล้องแบบ Eye Level shot ซึ่งสามารถเห็นได้บ่อยๆในหนังยุคก่อนๆ ที่ทำให้มีลักษณะแบบการเล่าเรื่อง เพื่อปล่อยให้มีความเป็นกลางทางความคิดและไม่มีการชี้นำ
อย่างที่บอกไปแล้วคือ โทนของภาพจะเป็นโทนสว่างเสียส่วนมาก แต่ก็พยายามสอดแทรกสีโทนเย็นๆลงไป ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางเสื้อผ้า ของตัวแสดง หรือฉากบางฉาก เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดเกินไป โดยสิ่งที่ต้องขอชมสำหรับหนังของ Martin เรื่องนี้คือ ผู้กำกับไม่พยายามยัดเยียด ชีวิตของ Melies มากจนเกินไป แต่เน้นไปที่การสอดแทรก และเล่าเรื่องราว ผ่านการแก้ปัญหาของตัวละครอย่าง Hugo มากกว่า ซึ่งทำให้คนดูรู้สึกไม่อึดอัดและเอียนกับตัวหนัง อีกหนึ่งสิ่งที่น่าชื่นชมคือเรื่องการลำดับของภาพที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่ได้ฉับไวเหมือนหนังหลายๆเรื่อง (EX. The Social Network) แต่ก็ทำได้ดี และสิ่งที่ทำให้หนังดูไม่น่าเบื่อหน่ายในการดำเนินเรื่อง คือการแทรงฉาก แต่ไม่ขัดการดำเนินเรื่อง โดยเป็นฉากที่แทรกอารมณ์ขันลงไปได้อย่างไม่มากจนเสียหนัง และไม่น้อยจนทำให้หนังอืด เพื่อดึงคนดูให้สนใจในหนังต่อได้เรื่อยๆ
ส่วนในด้านเสียงก็เช่นกันเรียกว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้ด้านอื่นๆเลย ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อเสียง ที่ดูต่อเนื่อง มีความสมเหตุสมผล อีกทั้งยังช่วยให้หนังมีความลื่นไหลได้อย่างดี ไม่มีช่วงไหนที่ดูโดนแปลกแยกไปจากฉากอื่นๆมากนัก และด้านผสมเสียงก็เช่นเดียวกัน ในการผสมเสียงต่างๆเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบฉาก หรือเสียงที่ถูกสร้างขึ้นเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว สามารถแยกความแตกต่าง และเข้าใจในเสียงต่างๆรวมทั้งสามารถตีความ และแยกออกมาเป็นอารมณ์ต่างๆที่คนดูรู้สึกได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกด้านที่น่าสนใจคือ เสียงดนตรี (Score) ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียง Score มากมายนัก แต่เสียงที่มีอยู่ก็สามารถตอบโจทย์ของอาณาจักรไขลานได้อย่างดึ ถึงแม้ว่านาฬิกามันจะเดินเชื่องช้า แต่ทุกชีวิตต้องเดินต่อ ถึงแม้ว่าคนเราจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเวลากันทุกคน แต่คนเราก็ต้องมีเวลาที่จะใช้หายใจ และสิ่งสำคัญที่สุดถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่ให้ความสำคัญกับเรา แต่ถ้าเราให้ความสำคัญกับตัวเอง ซักวันหนึ่งก็ต้องมีคนมาเห็นความสำคัญของเรา
นี่คือหนังที่สมบูรณ์ที่สุดของปีเลยก็ว่าได้ (ดีแทบทุกด้าน) ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีด้านโดดเด่นสุดโต่งอะไรมากมายแต่มันก็ลงตัว และสร้างความประทับใจได้ไม่ยาก แนะนำครับ
GIVE : A
ปล ที่หายไปนานคือ เซ็งมากๆๆๆ ขี้เกียจ รีวิว เพราะหน้าแหกจากออสการ์ หงุดหงิดมาก อย่างตอนนั้นว่าจะรีวิว We Need to Talk About Kevin กับ Moneyball ก็เลยไม่ทำเลยเซ็งมาก เดี๋ยวรอลุ้นประกาศผลออสการ์อีกที
สปอยล์
.
.
.
.
.
.
ไม่รู้ใครเป็นเหมือนผมบ้างน่ะ แต่ผมร้องไห้ ตรงที่ Melies นึกถึงผลงานของเขาที่เขาคิดว่าไม่มีใครจดจำแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคิดจะลืมมัน แต่พอเขารู้ว่ายังมีคนจดจำอยู่ เขาก็ภูมิใจ อยู่ดีๆน้ำตาผมก็ไหลซะงั้นทั้งๆที่ไม่ได้เศร้ามาก่อนหน้าเลย งงมาก
มุมสมาชิก กระทู้ล่าสุดโดย -FaMMusIClE
- Man of Steel ทุบสถิติ! ฮีโร่ภาคแรกเปิดตัววันแรกสูงสุดตลอดกาล (บันเทิง)
- [REVIEW] "Man of Steel" อภิมหาความมันส์ระดับ Avengers (บันเทิง)
- [REVIEW] "ฤดูที่ฉันเหงา" เมื่อร่มหักท่ามกลางสายฝน (บันเทิง)
- [REVIEW] คู่กรรม - ศิลปะภาษาภาพ คำพูดที่ไร้ความหมาย (บันเทิง)
- [New Single] Anniversary เจ้าของเพลงฮิต มุม ,ขาด Playground (บันเทิง)
- [POLL] ตั้งแต่ต้นปี หนังไทย เรื่องไหนเยี่ยมที่สุด (บันเทิง)
- กระทู้โดย -FaMMusIClE ทั้งหมด
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
3D เยี่ยมเลยครับ ตั้งใจทำมาก แบบว่า หน้าคนทะลุออกมา แล้วก็พวกเท้า หรือสิ่งของทะลุออกมา เหมือนกับที่ James Cameron ชมไว้เลยครับ
เปนหนัง 3D ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลยค่ะ Avatar ยังชิดซ้าย
มีหลายฉากที่ทำน้ำตาคลอ แต่ไม่ได้เพราะเศร้าแต่มันรู้สึกประทับใจอ่ะค่ะ
ให้ตายเถอะ เห็นพูดกันขนาดนี้ แทบจะรอดูไม่ไหวแล้ว!!!
ความจริงอยากดูแบบธรรมดานะ แต่มันมีแต่แบบ 3D แล้วยิ่งหลายคนบอกว่าเป็น 3D ที่สุดยอดแล้ว โอ้พระเจ้า!! นับนาทีรอวันเวลาที่จะไปดู
ก็เพราะว่าหนงดีไงครับเลยต้องจำกัดโรงฉาย เพราะโรงพี่ไทยไม่ชอบหนังดี
ในที่สุดก็ได้ไปดู ดูแบบ3Dด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกเหมือนกันว่า นี่คือหนังที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
@คห.7 ครับ ..ผมไม่เห็นด้วยทั้งหมดที่คุณพิมพ์เลย
เรื่องที่สงสัยว่าหนังดีจริงทำไมต้องจำกัดโรง...นั่นข้อแรก
สำหรับที่นี่ประเทศไทย ATM ไงครับ...หนังที่ดี ตรงจริตคนไทย
ที่ไม่เพียงไม่ได้ฉายจำกัดโรง..แต่ไปดูกันถึงกับถล่มทลาย
และกลิ่นมีกลิ่นอายมาเฟีย...นั่นคือข้อสอง ที่ไม่เห็นด้วย
มันอยู่ที่ยุคสมัยของการแต่งกายครับ...ไม่ใช่แต่งแบบนี้คือหนังมาเฟีย
ยก ตย. คุณว่า Public Enemy กับ Departed โทนเหมือนกันตรงไหน
ถ้าความเห็นผมเป็นการถากถาง หรืออคติ ต้องขอโทษจากใจด้วยนะครับ
เพราะส่วนตัวต้องการแสดงความเห็นแบบ เน้นๆ เนื้อๆ
ลองดูครับผม...ลองดู ลองดู
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google