วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์
25 มี.ค. 55 08:01 น. /
ดู 2,013 ครั้ง /
3 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
โดย กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน
ลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนถึงนักวิจารณ์เอาไว้ในหนังสือ ศิลปะคืออะไร ว่า นักวิจารณ์ก็คือคนโ ง่ที่มาถกเถียงกันถึงเรื่องของคนฉลาด
เป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ศิลปิน ผู้สร้างงานศิลปะ จะพากันมีความคิดความเห็นเช่นนี้ต่อนักวิจารณ์และการวิจารณ์ เหมือนๆ กันมาทุกยุคทุกสมัย เคยมีคำพูดคล้ายกันในวงการดนตรี กระทบกระเทียบนักวิจารณ์ว่าเป็น คนหูหนวกที่ทะลึ่งมาตั้งเสียงเปียโน และที่โด่งดังมากในวงการหนังไทย คือคำท้าทายจากผู้กำกับมาถึงนักวิจารณ์ว่า แน่จริง (มึ ง) ก็มาสร้างหนังเองสิวะ
แต่ไม่ว่าศิลปินจะคิดอย่างไร การวิจารณ์ก็มีบทบาทอยู่คู่ศิลปะทุกแขนงตลอดมา ในแง่หนึ่ง การวิจารณ์เป็นธรรมชาติของคนเรา ซึ่งมีความคิดความเห็นเป็นของตัวเอง เมื่อมารวมเข้ากับความรู้ความเข้าใจในศิลปะแขนงต่างๆ ก็ได้ก่อให้เกิดการวิจารณ์ขึ้นมา
ในขณะที่ตอลสตอยมีความเห็นต่อนักวิจารณ์และการวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องของคนโง่ที่มาถกเถียงกันในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ไม่เข้าใจ สิ่งที่ตอลสตอยทำไปในหลายๆ บทของหนังสือ ศิลปะคืออะไร ก็คือการวิจารณ์และการวิจารณ์ซ้อนวิจารณ์
ศิลปินอาจจะไม่ชอบใจที่มีผู้มาประเมินค่าผลงานของเขา แต่ผู้รับสื่อศิลปะแต่ละแขนงต้องการ งานวิจารณ์เป็นส่วนประกอบหนึ่งในการกลั่นกรอง-ตัดสินใจของผู้รับสื่อ ก่อนที่จะเลือกรับหรือไม่รับงานชิ้นใดๆ โดยไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องเห็นตามไปกับนักวิจารณ์ ยิ่งในงานศิลปะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพาณิชย์ศิลป์ เช่น ภาพยนตร์ หรือดนตรี บทบาทและความต้องการงานวิจารณ์ยิ่งมีสูง เพราะมีจำนวนผลงานหลั่งไหลออกมามากมาย ในขณะที่ผู้รับสื่อมีข้อจำกัดในเรื่องของกำลังซื้อและเวลา
พอล แกมบาคชินี ซึ่งเป็นผู้รวบรวมนักวิจารณ์ดนตรีและนักจัดรายการวิทยุมาช่วยกันคัดเลือกแผ่นเสียงยอดเยี่ยมตลอดการของวงการเพลงร็อคเมื่อปี 1977 และมีการทบทวนผลกันใหม่อีกครั้งในปีนี้ (1987) อาจจะเป็นคนที่เขียนถึงบทบาทของนักวิจารณ์ในงานพาณิชย์ศิลป์ยุคใหม่ได้อย่างชัดเจนที่สุดคนหนึ่ง เขาบอกว่า ไม่ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับนักวิจารณ์อย่างรุนแรงหรือมากครั้งเพียงไร เราก็ยังคงอ่านงานของเขา เพราะเราเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง ความคิดเห็นของเราอาจผิดพลาดได้ และเราก็ต้องการการชี้นำสิ่งซึ่งจะตรงตามรสนิยมและงบประมาณของเรา นักวิจารณ์ก็เป็นปุถุชนเช่นเดียวกับเรา ความคิดเห็นของเขาอาจผิดพลาดได้เหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ถ้าหากไม่มีนักวิจารณ์ เราก็จะตกอยู่ภายใต้ระบอบอนาธิปไตยของการโหมโฆษณาชวนเชื่อจากบริษัทแผ่นเสียง
งานวิจารณ์ซึ่งจะแสดงบทบาทอย่างนั้นได้ อย่างน้อยที่สุดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดอิสระของนักวิจารณ์ ไม่ใช่งานเขียนซึ่งอาศัยรูปแบบการวิจารณ์บังหน้าเพื่อหวังผลประโยชน์ทั้งที่แอบแฝงและชัดเจน ซึ่งเห็นกันได้มากมาย คงไม่จำเป็นที่จะต้องยกตัวอย่างในที่นี้
แต่ตรงจุดของความคิดอิสระ ก็อาจนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้เหมือนกันขอบเขตของความคิดอิสระน่าจะอยู่ที่ การมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง แต่ไม่ได้กินความกว้างไปถึงการใช้รสนิยม-ความชอบส่วนตัวเป็นบรรทัดฐานในการประเมินค่างานศิลปะ หรือใช้งานวิจารณ์เป็นเครื่องระบายอารมณ์ส่วนตัว ความชอบ-ไม่ชอบของตัวนักวิจารณ์
การวิจารณ์งานศิลปะแขนงต่างๆ จะมีหลักกว้างๆ ในการพิจารณาใกล้เคียงกัน คือ ในเรื่องของรูปแบบหรือสไตล์ เนื้อหา อารมณ์ จุดมุ่งหมาย และเทคนิค งานศิลปะหรือพาณิชย์ศิลป์แต่ละชิ้นที่ออกมา อาจจะเด่นหรือด้อยในบางด้าน เป็นสิ่งที่นักวิจารณ์ต้องพิจารณาแยกแยะ ถ้านักวิจารณ์ดนตรีจะไม่ชอบอัลบั้ม Thriller ของไมเคิล แจ็คสัน เพราะเขาไม่ชอบเพลงเต้นรำ และเห็นว่าเพลงอย่างนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดคุณค่าทางศิลปะขึ้นมาเลย สิ่งที่น่าคำนึงถึงก็คือ งานชิ้นนี้ออกมาด้วยจุดมุ่งหมายอย่างไร ตอบสนองจุดมุ่งหมายเหล่านั้นได้หรือไม่ องค์ประกอบของงานสอดคล้องกับจุดหมายนั้นและได้ผลเพียงไร ถ้าคนเกือบ 40 ล้านซื้อแผ่นเสียงชุดนี้ไปและสนุกกับมันได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าผลงานชิ้นนี้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายของมัน และคุณค่าทางความบันเทิงต่อคนหลายสิบล้าน หรืออาจจะมากกว่านั้น ก็ไม่อาจมองข้ามไปได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงความบันเทิงชั่วครู่ชั่วยามก็ตาม
***นักวิจารณ์ไม่ใช่พระเจ้าที่จะยกรสนิยมตัวเองขึ้นมาสูง และกดรสนิยมความคิดเห็นของคน 40 ล้านลงไปจมดิน ความสำเร็จของงานในเชิงพาณิชย์ศิลป์อาจมีกลวิธีทางธุรกิจเกื้อหนุนอยู่มาก แต่มันก็ไม่ถึงกับช่วยให้สินค้าที่หาค่าอะไรไม่ได้เลย กลายเป็นสินค้าที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งในตลาดไปได้แน่ๆ
นอกเหนือไปจากการประเมินค่า บทบาทสำคัญอีกทางหนึ่งของงานวิจารณ์ ซึ่งบางครั้งมักจะถูกมองข้ามกันไป ก็คืองานวิจารณ์มีฐานะเป็นสื่อถ่ายทอดความเข้าใจด้วย งานศิลปะอาจจะเป็นสื่อแสดงความคิด เจตนา และสิ่งต่างๆ ที่ผู้สร้างงานต้องการนำเสนอออกมาสู่ผู้รับสื่อของเขาในตัวเองอยู่แล้ว แต่โดยกลวิธี-เทคนิคทางศิลปะ โดยข้อจำกัดทางการรับรู้ของผู้รับที่มีพื้นฐานทางศิลปะแขนงนั้นๆ แตกต่างกันอยู่ งานวิจารณ์สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อเชื่อมได้อีกทอดหนึ่ง เพื่อสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น ในฐาะนี้เองที่งานวิจารณ์สามารถเป็นงานสร้างสรรค์ได้ในตัวของมันเองเช่นเดียวกัน
งานวิจารณ์จึงไม่ใช่เพียงข้อเขียนบอกเล่าเรื่องราวที่ปรากฎในงานศิลปะ แสดงความคิดเห็น ติชม หรือแสดงความเก่งกาจของนักวิจารณ์โดยการจ้องจับผิด หาข้อบกพร่อง แต่เป็นงานเชิงสร้างสรรค์ที่จะช่วยขยับขยาย สร้างความเข้าใจของผู้อ่านงานวิจารณ์ที่จะมีต่องานศิลปะ ให้เข้าถึงจุดมุ่งหมายและสิ่งแอบแฝงที่ศิลปินต้องการจะสื่อแสดงออกมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมองทะลุเทคนิค วิธีการ และองค์ประกอบทางศิลปะต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้รองรับสิ่งที่ต้องการเสนอ งานวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ยังจะมีส่วนช่วยพัฒนางานศิลปะต่อไปได้ด้วยตัวมันเอง เพราะงานวิจารณ์ที่ดีสามารถปูพื้นฐานความเข้าใจให้กับผู้รับสื่อ และเมื่อผู้รับพัฒนาความรับรู้ ความเข้าใจในงานศิลปะ งานศิลปะก็สามารถพัฒนาต่อไปได้โดยที่ผู้รับสามารถตามทันและเข้าใจ
เมื่อเดือนกันยายน (2530) มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจสำหรับบรรยากาศการวิจารณ์งานศิลปะในบ้านเรา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ได้จัดสัมมนาการวิจารณ์งานศิลปะ ไล่ๆ กับที่ภาควิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดงานการวิจารณ์งานศิลปะขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งสองงานนี้ทั้งศิลปินและนักวิจารณ์ต่างก็ได้ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับงานวิจารณ์จากจุดที่แต่ละฝ่ายยืนอยู่ ให้ผู้สนใจได้ฟังกัน ทั้งสองงานนี้อาจจะยังไม่ได้ก่อผลให้เห็นกันได้ชัดเจนเดี๋ยวนี้ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการขยายขอบข่ายความคิด ความเข้าใจเกี่ยวกับงานวิจารณ์ ซึ่งอาจจะมีส่วนพัฒนาการวิจารณ์งานศิลปะในบ้านเราต่อไป ทั้งในส่วนของคนทำงานวิจารณ์เอง และอาจกระตุ้นให้เกิดนักวิจารณ์รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาในโอกาสต่อไป
คนเราทุกคนมีพื้นฐานของการเป็นนักวิจารณ์ในตัวเองอยู่แล้ว เหมือนกับที่ปรัชญาการเมืองสมัยกรีกเคยมีคำเปรียบเปรยเอาไว้ว่า โดยไม่ต้องเป็นช่างก่อสร้าง เราก็สามารถบอกได้ว่าบ้านหลังนี้ดีหรือไม่ดี เพราะเราเป็นคนอยู่ จุดประสงค์เดิมของเขาใช้ในความหมายเชิงวิจารณ์สังคม แต่ในแวดวงศิลปะ คำนี้ก็สามารถใช้ได้ดี เพราะเราทุกคนเป็นคนรับสื่อศิลปะนั้นๆ ถึงตรงนี้อาจจะมีคนแย้งว่า การวิจารณ์งานศิลปะต้องมีความรู้ในศิลปะแต่ละแขนงด้วย ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ผมก็ยังเห็นว่าความรู้เป็นสิ่งที่ศึกษาเล่าเรียนกันได้ตามความสนใจเฉพาะตัว แต่ความคิดเห็น วิจารณญาณของตัวเอง คือพื้นฐานแรกสุดที่จะนำไปสู่การวิจารณ์งานศิลปะ เป็นสิ่งที่สร้างที่สอนกันไม่ได้ แต่จะต้องพัฒนากันเองในแต่ละคนจากพื้นฐานที่มีอยู่
เคยมีนิตยสารฉบับหนึ่งมาสัมภาษณ์ ถามความรู้สึกของผมเกี่ยวกับการเป็น เอ็นไซโคลปีเดียภาพยนตร์ ซึ่งผมไม่ยอมรับ เพราะเอ็นไซโคลปีเดียนั้นมีก็แต่ความรู้ ไม่มีความคิด แต่นักวิจารณ์จำเป็นต้องมีความคิด และเป็นความคิดในทางสร้างสรรค์ด้วย
#
(ตีพิมพ์ในนิตยสาร สีสัน ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2530)
ลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนถึงนักวิจารณ์เอาไว้ในหนังสือ ศิลปะคืออะไร ว่า นักวิจารณ์ก็คือคนโ ง่ที่มาถกเถียงกันถึงเรื่องของคนฉลาด
เป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ศิลปิน ผู้สร้างงานศิลปะ จะพากันมีความคิดความเห็นเช่นนี้ต่อนักวิจารณ์และการวิจารณ์ เหมือนๆ กันมาทุกยุคทุกสมัย เคยมีคำพูดคล้ายกันในวงการดนตรี กระทบกระเทียบนักวิจารณ์ว่าเป็น คนหูหนวกที่ทะลึ่งมาตั้งเสียงเปียโน และที่โด่งดังมากในวงการหนังไทย คือคำท้าทายจากผู้กำกับมาถึงนักวิจารณ์ว่า แน่จริง (มึ ง) ก็มาสร้างหนังเองสิวะ
แต่ไม่ว่าศิลปินจะคิดอย่างไร การวิจารณ์ก็มีบทบาทอยู่คู่ศิลปะทุกแขนงตลอดมา ในแง่หนึ่ง การวิจารณ์เป็นธรรมชาติของคนเรา ซึ่งมีความคิดความเห็นเป็นของตัวเอง เมื่อมารวมเข้ากับความรู้ความเข้าใจในศิลปะแขนงต่างๆ ก็ได้ก่อให้เกิดการวิจารณ์ขึ้นมา
ในขณะที่ตอลสตอยมีความเห็นต่อนักวิจารณ์และการวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องของคนโง่ที่มาถกเถียงกันในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ไม่เข้าใจ สิ่งที่ตอลสตอยทำไปในหลายๆ บทของหนังสือ ศิลปะคืออะไร ก็คือการวิจารณ์และการวิจารณ์ซ้อนวิจารณ์
ศิลปินอาจจะไม่ชอบใจที่มีผู้มาประเมินค่าผลงานของเขา แต่ผู้รับสื่อศิลปะแต่ละแขนงต้องการ งานวิจารณ์เป็นส่วนประกอบหนึ่งในการกลั่นกรอง-ตัดสินใจของผู้รับสื่อ ก่อนที่จะเลือกรับหรือไม่รับงานชิ้นใดๆ โดยไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องเห็นตามไปกับนักวิจารณ์ ยิ่งในงานศิลปะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพาณิชย์ศิลป์ เช่น ภาพยนตร์ หรือดนตรี บทบาทและความต้องการงานวิจารณ์ยิ่งมีสูง เพราะมีจำนวนผลงานหลั่งไหลออกมามากมาย ในขณะที่ผู้รับสื่อมีข้อจำกัดในเรื่องของกำลังซื้อและเวลา
พอล แกมบาคชินี ซึ่งเป็นผู้รวบรวมนักวิจารณ์ดนตรีและนักจัดรายการวิทยุมาช่วยกันคัดเลือกแผ่นเสียงยอดเยี่ยมตลอดการของวงการเพลงร็อคเมื่อปี 1977 และมีการทบทวนผลกันใหม่อีกครั้งในปีนี้ (1987) อาจจะเป็นคนที่เขียนถึงบทบาทของนักวิจารณ์ในงานพาณิชย์ศิลป์ยุคใหม่ได้อย่างชัดเจนที่สุดคนหนึ่ง เขาบอกว่า ไม่ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับนักวิจารณ์อย่างรุนแรงหรือมากครั้งเพียงไร เราก็ยังคงอ่านงานของเขา เพราะเราเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง ความคิดเห็นของเราอาจผิดพลาดได้ และเราก็ต้องการการชี้นำสิ่งซึ่งจะตรงตามรสนิยมและงบประมาณของเรา นักวิจารณ์ก็เป็นปุถุชนเช่นเดียวกับเรา ความคิดเห็นของเขาอาจผิดพลาดได้เหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ถ้าหากไม่มีนักวิจารณ์ เราก็จะตกอยู่ภายใต้ระบอบอนาธิปไตยของการโหมโฆษณาชวนเชื่อจากบริษัทแผ่นเสียง
งานวิจารณ์ซึ่งจะแสดงบทบาทอย่างนั้นได้ อย่างน้อยที่สุดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดอิสระของนักวิจารณ์ ไม่ใช่งานเขียนซึ่งอาศัยรูปแบบการวิจารณ์บังหน้าเพื่อหวังผลประโยชน์ทั้งที่แอบแฝงและชัดเจน ซึ่งเห็นกันได้มากมาย คงไม่จำเป็นที่จะต้องยกตัวอย่างในที่นี้
แต่ตรงจุดของความคิดอิสระ ก็อาจนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้เหมือนกันขอบเขตของความคิดอิสระน่าจะอยู่ที่ การมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง แต่ไม่ได้กินความกว้างไปถึงการใช้รสนิยม-ความชอบส่วนตัวเป็นบรรทัดฐานในการประเมินค่างานศิลปะ หรือใช้งานวิจารณ์เป็นเครื่องระบายอารมณ์ส่วนตัว ความชอบ-ไม่ชอบของตัวนักวิจารณ์
การวิจารณ์งานศิลปะแขนงต่างๆ จะมีหลักกว้างๆ ในการพิจารณาใกล้เคียงกัน คือ ในเรื่องของรูปแบบหรือสไตล์ เนื้อหา อารมณ์ จุดมุ่งหมาย และเทคนิค งานศิลปะหรือพาณิชย์ศิลป์แต่ละชิ้นที่ออกมา อาจจะเด่นหรือด้อยในบางด้าน เป็นสิ่งที่นักวิจารณ์ต้องพิจารณาแยกแยะ ถ้านักวิจารณ์ดนตรีจะไม่ชอบอัลบั้ม Thriller ของไมเคิล แจ็คสัน เพราะเขาไม่ชอบเพลงเต้นรำ และเห็นว่าเพลงอย่างนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดคุณค่าทางศิลปะขึ้นมาเลย สิ่งที่น่าคำนึงถึงก็คือ งานชิ้นนี้ออกมาด้วยจุดมุ่งหมายอย่างไร ตอบสนองจุดมุ่งหมายเหล่านั้นได้หรือไม่ องค์ประกอบของงานสอดคล้องกับจุดหมายนั้นและได้ผลเพียงไร ถ้าคนเกือบ 40 ล้านซื้อแผ่นเสียงชุดนี้ไปและสนุกกับมันได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าผลงานชิ้นนี้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายของมัน และคุณค่าทางความบันเทิงต่อคนหลายสิบล้าน หรืออาจจะมากกว่านั้น ก็ไม่อาจมองข้ามไปได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงความบันเทิงชั่วครู่ชั่วยามก็ตาม
***นักวิจารณ์ไม่ใช่พระเจ้าที่จะยกรสนิยมตัวเองขึ้นมาสูง และกดรสนิยมความคิดเห็นของคน 40 ล้านลงไปจมดิน ความสำเร็จของงานในเชิงพาณิชย์ศิลป์อาจมีกลวิธีทางธุรกิจเกื้อหนุนอยู่มาก แต่มันก็ไม่ถึงกับช่วยให้สินค้าที่หาค่าอะไรไม่ได้เลย กลายเป็นสินค้าที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งในตลาดไปได้แน่ๆ
นอกเหนือไปจากการประเมินค่า บทบาทสำคัญอีกทางหนึ่งของงานวิจารณ์ ซึ่งบางครั้งมักจะถูกมองข้ามกันไป ก็คืองานวิจารณ์มีฐานะเป็นสื่อถ่ายทอดความเข้าใจด้วย งานศิลปะอาจจะเป็นสื่อแสดงความคิด เจตนา และสิ่งต่างๆ ที่ผู้สร้างงานต้องการนำเสนอออกมาสู่ผู้รับสื่อของเขาในตัวเองอยู่แล้ว แต่โดยกลวิธี-เทคนิคทางศิลปะ โดยข้อจำกัดทางการรับรู้ของผู้รับที่มีพื้นฐานทางศิลปะแขนงนั้นๆ แตกต่างกันอยู่ งานวิจารณ์สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อเชื่อมได้อีกทอดหนึ่ง เพื่อสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น ในฐาะนี้เองที่งานวิจารณ์สามารถเป็นงานสร้างสรรค์ได้ในตัวของมันเองเช่นเดียวกัน
งานวิจารณ์จึงไม่ใช่เพียงข้อเขียนบอกเล่าเรื่องราวที่ปรากฎในงานศิลปะ แสดงความคิดเห็น ติชม หรือแสดงความเก่งกาจของนักวิจารณ์โดยการจ้องจับผิด หาข้อบกพร่อง แต่เป็นงานเชิงสร้างสรรค์ที่จะช่วยขยับขยาย สร้างความเข้าใจของผู้อ่านงานวิจารณ์ที่จะมีต่องานศิลปะ ให้เข้าถึงจุดมุ่งหมายและสิ่งแอบแฝงที่ศิลปินต้องการจะสื่อแสดงออกมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมองทะลุเทคนิค วิธีการ และองค์ประกอบทางศิลปะต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้รองรับสิ่งที่ต้องการเสนอ งานวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ยังจะมีส่วนช่วยพัฒนางานศิลปะต่อไปได้ด้วยตัวมันเอง เพราะงานวิจารณ์ที่ดีสามารถปูพื้นฐานความเข้าใจให้กับผู้รับสื่อ และเมื่อผู้รับพัฒนาความรับรู้ ความเข้าใจในงานศิลปะ งานศิลปะก็สามารถพัฒนาต่อไปได้โดยที่ผู้รับสามารถตามทันและเข้าใจ
เมื่อเดือนกันยายน (2530) มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจสำหรับบรรยากาศการวิจารณ์งานศิลปะในบ้านเรา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ได้จัดสัมมนาการวิจารณ์งานศิลปะ ไล่ๆ กับที่ภาควิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดงานการวิจารณ์งานศิลปะขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งสองงานนี้ทั้งศิลปินและนักวิจารณ์ต่างก็ได้ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับงานวิจารณ์จากจุดที่แต่ละฝ่ายยืนอยู่ ให้ผู้สนใจได้ฟังกัน ทั้งสองงานนี้อาจจะยังไม่ได้ก่อผลให้เห็นกันได้ชัดเจนเดี๋ยวนี้ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการขยายขอบข่ายความคิด ความเข้าใจเกี่ยวกับงานวิจารณ์ ซึ่งอาจจะมีส่วนพัฒนาการวิจารณ์งานศิลปะในบ้านเราต่อไป ทั้งในส่วนของคนทำงานวิจารณ์เอง และอาจกระตุ้นให้เกิดนักวิจารณ์รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาในโอกาสต่อไป
คนเราทุกคนมีพื้นฐานของการเป็นนักวิจารณ์ในตัวเองอยู่แล้ว เหมือนกับที่ปรัชญาการเมืองสมัยกรีกเคยมีคำเปรียบเปรยเอาไว้ว่า โดยไม่ต้องเป็นช่างก่อสร้าง เราก็สามารถบอกได้ว่าบ้านหลังนี้ดีหรือไม่ดี เพราะเราเป็นคนอยู่ จุดประสงค์เดิมของเขาใช้ในความหมายเชิงวิจารณ์สังคม แต่ในแวดวงศิลปะ คำนี้ก็สามารถใช้ได้ดี เพราะเราทุกคนเป็นคนรับสื่อศิลปะนั้นๆ ถึงตรงนี้อาจจะมีคนแย้งว่า การวิจารณ์งานศิลปะต้องมีความรู้ในศิลปะแต่ละแขนงด้วย ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ผมก็ยังเห็นว่าความรู้เป็นสิ่งที่ศึกษาเล่าเรียนกันได้ตามความสนใจเฉพาะตัว แต่ความคิดเห็น วิจารณญาณของตัวเอง คือพื้นฐานแรกสุดที่จะนำไปสู่การวิจารณ์งานศิลปะ เป็นสิ่งที่สร้างที่สอนกันไม่ได้ แต่จะต้องพัฒนากันเองในแต่ละคนจากพื้นฐานที่มีอยู่
เคยมีนิตยสารฉบับหนึ่งมาสัมภาษณ์ ถามความรู้สึกของผมเกี่ยวกับการเป็น เอ็นไซโคลปีเดียภาพยนตร์ ซึ่งผมไม่ยอมรับ เพราะเอ็นไซโคลปีเดียนั้นมีก็แต่ความรู้ ไม่มีความคิด แต่นักวิจารณ์จำเป็นต้องมีความคิด และเป็นความคิดในทางสร้างสรรค์ด้วย
#
(ตีพิมพ์ในนิตยสาร สีสัน ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2530)
แก้ไขล่าสุด 25 มี.ค. 55 08:08 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google