โลกหลังความตาย(ศาสนาอิสลาม)

6 มิ.ย. 55 21:26 น. / ดู 3,848 ครั้ง / 11 ความเห็น / 2 ชอบจัง / แชร์
อัสลามุอาลัยกุม วาเราะมาตุลลอฮ(ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่าน)
ขอนำเสนอเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากคุณ ด้วยความจริงใจดังนี้ครับ

หลุมฝังศพ...

โดย อะมะตุ้ลญะลิ้ล




        “ ความตาย ” สัจธรรมอันจริงแท้ที่ไม่อาจปฏิเสธ  ภาวะความจริงที่มนุษย์หวาดกลัวและคิดว่าห่างไกลจากตนที่สุด ทั้งที่ความจริงแล้ว มันใกล้ชิดและตามติดกระชั้น ยิ่งกว่าเงาที่ตามติดร่างกาย  เลขอายุที่เดินไปข้างหน้า กำลังบอกกล่าวตัวเลขแห่งเวลา ที่นำพามนุษย์ก้าวเท้าเข้าหาอ้อมแขนของ      “ ความตาย ”ในทุกขณะ เมื่อทุกชีวิตล้วนมีความตาย เป็นสิ่งสุดท้ายที่ให้ลิ้มลองรสชาติ  จะเร็วหรือช้ารสชาตินั้นย่อมเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่สุดเสมอ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความตายเป็นอย่างไร มีรูปร่างหน้าตาเช่นไร หากแต่ภาวะก่อนก้าวสู่ประตูแห่งความตาย และภาวะหลังจากเป็นสมาชิกหนึ่งในหมู่ผู้ไร้วิญญาณต่างหาก ที่สำคัญและจำเป็นที่มนุษย์พึงพิจารณา


อิสลาม เป็นศาสนาหนึ่งที่สอนให้ตระหนักถึงความตายเสมอ พระคัมภีร์ได้ย้ำถึงสัจธรรมข้อนี้ว่า
 
"ทุกชีวิตย่อมลิ้มรสความตาย"        ( อัล-อัมบิยาอ์ 21/35 )

        อิสลามปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ปฏิเสธความเชื่อเรื่องชาติภพ เมื่อผ่านพ้นจากโลกนี้ไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนจบสิ้น มีเพียงแต่วิญญาณและการงานของมนุษย์เท่านั้นที่จะยังคงอยู่เพื่อรอรับการพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้าในโลกหน้า

        หากแต่อิสลามมีคำสอนที่ให้รายละเอียดในช่วงเวลาอันลี้ลับที่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์เพื่อยืนยันในข้อเท็จจริงได้ นอกจากผู้ที่เข้าไปสัมผัสอย่างไม่มีวันถอนตัวกลับมาได้อีกอย่างเด็ดขาด  ซึ่งอิสลามถือเป็นหลักศรัทธา ที่มุสลิมจำเป็นต้องเชื่อมั่นโดยปราศจากการสงสัยใดๆ  อิสลามไม่เคยวางบทบัญญัติใดที่สติปัญญาไม่ยอมรับ แต่สามารถมอบสิ่งที่เกินกว่าสติปัญญามนุษย์จะหยั่งถึง เพื่อเป็นการทดสอบและประเมินผู้ศรัทธา

        บทความนี้เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงตามนัยอิสลามเกี่ยวกับภาวะมนุษย์หลังความตาย โดยประมวลไว้ด้วยเรื่องของความหมาย และรายละเอียดในโลกหลังความตาย สภาพวิญญาณและการตอบแทนที่ผู้ตายจะต้องประสบ ตามตัวบทและหลักฐานที่ถูกต้องชัดเจนของศาสนา

        ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อความถัดจากนี้ไป จะทำให้ท่านรู้จักและรับทราบถึงทัศนะของอิสลามที่มีต่อชีวิตหลังความตายได้ดียิ่งขึ้น อินชาอัลลอฮ



การศรัทธาในสิ่งเร้นลับ

        การศรัทธาในสิ่งเร้นลับ เป็นหลักของทุกศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ทั้งนี้ก็เพราะข้อจำแนกระหว่างผู้ที่นับถือศาสนากับผู้ที่ไม่นับถือศาสนานั้นอยู่ที่การศรัทธาในสิ่งเร้นลับ และศรัทธาว่าเบื้องหลังเเห่งวัตถุนั้นมีพลังอื่นอยู่ นอกเหนือจากวัตถุ

        ดังนั้น ผู้ที่ศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ ถือว่าเป็นผู้รับนับถือศาสนา ตรงกันข้าม ผู้ที่ปฏิเสธหรือไม่ศรัทธาในสิ่งเร้นลับ ก็ถือว่าปฏิเสธศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงไม่พบว่าศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ปราศจากการศรัทธาในสิ่งเร้นลับ  หมายถึงศรัทธาในพลังซึ่งอยู่เบื้องหลังแห่งวัตถุ ดังนั้น การมีศรัทธาในอัลลอฮ  โดยปราศจากการมีศรัทธาในสิ่งเร้นลับ จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ในการนี้อัลลอฮ์  ได้ทรงระบุลักษณะของบรรดาผู้ศรัทธาไว้ดังต่อไปนี้

"คือบรรดาผู้ศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ  และพวกเขาดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยแก่เขานั้น พวกเขาก็บริจาค * และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า และสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนหน้าเจ้า และต่อวันปรโลกนั้น พวกเขาเชื่อมั่น"  ( อัล-บะเกาะเราะฮ์ 2 / 3-4 )

        การศรัทธาในสิ่งเร้นลับนั้น ทำให้จำเป็นต้องศรัทธาในบรรดาเทวทูต(มะลาอิกะฮ์ )ซึ่งเป็นวิญญาณอันบริสุทธิ์ และศรัทธาในสิ่งที่ถูกบังเกิด อันพ้นญาณวิสัย และจะต้องศรัทธาว่า ชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้ เป็นชีวิตที่ไม่ยั่งยืน ส่วนชีวิตอันยั่งยืนนิรันดรนั้น คือชีวิตความเป็นอยู่ในปรโลก ( อาคิเราะฮ์ )

        อิสลามจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการศรัทธาในปรโลก เพราะเมื่อศรัทธาในปรโลกย่อมหมายรวมถึง การศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับทั้งมวล และเน้นย้ำว่ามนุษย์ทุกคนจะต้องฟื้นคืนชีพเพื่อรับการตอบแทนอย่างแน่นอน

"พวกเจ้าคิดว่า  แท้จริงเราได้ให้พวกเจ้าบังเกิดมาโดยไร้ประโยชน์ และแท้จริงพวกเจ้าจะไม่กลับไปหาเรากระนั้นหรือ ? "  ( อัล-มุมินูน 23 /  115)

        หลักฐานการศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ มาจากการรับฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงมีชื่อเรียกว่า “ ซัมอียาต” หมายถึง บรรดาสิ่งที่ได้รับฟัง เพราะสิ่งเหล่านั้นมาถึงเราได้ด้วยคำบอกเล่าจากพระคัมภีร์และวจนะศาสดาเท่านั้น  อันได้แก่เรื่องเร้นลับที่เกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์จะเข้าใจได้ด้วยผัสสะ อาทิเช่น เรื่องเทวทูต ซาตาน วิญญาณ การทรมานในหลุมฝังศพ การฟื้นคืนชีพ ตลอดจนสวรรค์และนรก

        ซึ่งในการศรัทธาของมุสลิมในสิ่งเร้นลับเหล่านี้ จำเป็นต้องยึดหลักการที่ถูกต้อง จากหลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งก็คือ อัลกุรอาน และวจนะศาสดา ( ที่ถูกรายงานต่อเนื่องกันมาโดยผู้รายงานจำนวนมาก )เพื่อป้องกันความผิดพลาดและห่างไกลจากการหลงผิด




เรื่องของวิญญาณ

        ไม่มีใครหยั่งรู้สภาพของวิญญาณ ว่ามีลักษณะ รูปร่าง แก่นแท้ เป็นเช่นไร นอกจากผู้สร้างวิญญาณเท่านั้นที่ทรงทราบดีที่สุด เรื่องของวิญญาณจึงจัดเป็นเรื่องเร้นลับที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งพระองค์ได้ทรงห้ามการเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า

"และพวกเขาจะถามเจ้า เกี่ยวกับวิญญาณจงกล่าวเถิดว่า เรื่องวิญญาณนั้นเป็นไปตามพระบัญชาของพระเจ้าของฉัน และพวกท่านจะไม่ได้รับความรู้ใดๆ เว้นแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น"  ( อัลอิสรออ์17/ 85 )

        พอเพียงแล้วสำหรับมนุษย์ ที่จะรู้ว่า การมีอยู่ของวิญญาณคือการมีอยู่ของชีวิต และการจากไปของวิญญาณคือการสิ้นสุดชองชีวิต เพราะการที่มนุษย์พยายามจะไขว่คว้าในสิ่งที่พระองค์ทรงเก็บไว้เป็นเรื่องลับเฉพาะของพระองค์ เท่ากับกำลังดิ้นรนหาคำตอบในสิ่งที่พ้นญาณวิสัย ซึ่งไม่ว่าจะพยายามสักเท่าใดก็ยังคงไร้ความสามารถอยู่นั่นเอง

    วิญญาณเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบังเกิด วิญญาณไม่ใช่สิ่งดั้งเดิม แต่เมื่อถูกบังเกิดแล้ว จะมีสภาพเป็นอมตะ ไม่สูญสลายอีกต่อไป

        และสิ่งหนึ่งที่เรารับรู้จากเรื่องของวิญญาณ คือ เมื่อวิญญาณออกจากร่าง วิญญาณยังคงรับรู้ ได้ยิน จำผู้มาเยี่ยม ตอบรับสลาม ( คำทักทาย ) และได้รับผลานิสงค์จากผลกรรมที่ได้ประกอบไว้

        ท่านอิบนุ ก็อยยิม -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ- กล่าวว่า จากการตรวจสอบในวจนะของท่านศาสดา  พบว่า วิญญาณนั้น รู้ถึงความเป็นไปของญาติมิตรที่ยังมีชีวิตอยู่ วิญญาณเห็น วิญญาณรับรู้ วิญญาณมีความพึงพอใจและทุกข์ใจกับการกระทำของเขาเหล่านั้น

      จากมุสลิมะฮ์ผู้ศรัทธา

    ในแต่ละสภาวะมีความแตกต่าง ดังนั้นกฎเกณฑ์ตลอดจนการดำรงอยู่ของมนุษย์ในช่วงระยะเวลาทั้งสาม ย่อมแตกต่างกัน และไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกันได้  ตัวอย่างเช่น พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดให้การมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ในโลกนี้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดเฉพาะแก่โลกนี้ มนุษย์มีความสามารถเฉพาะที่จะหยั่งรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงขีดกรอบไว้สำหรับโลกนี้เท่านั้น สติปัญญาจะไร้ความสามารถทันทีในส่วนที่นอกเหนือกรอบของพระองค์ที่ได้ทรงขีดเอาไว้ เพราะในเมื่อทั้ง 3 โลกมีสภาวะที่ต่างกัน กฎเกณฑ์ และสภาพความเป็นอยู่ก็ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน

        ในสภาวะแห่งโลกนี้ พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดสภาพกฎเกณฑ์แก่ร่างกาย โดยมีวิญญาณเป็นผู้ตามส่วนสภาพกฎเกณฑ์ในโลกหลังความตาย ได้ถูกกำหนดแก่วิญญาณ โดยมีร่างกายเป็นผู้ตาม และสำหรับ สภาพกฎเกณฑ์แห่งปรโลก พระองค์ได้ทรงวางไว้เพื่อร่างกายและวิญญาณโดยพร้อมเพรียง

        หากพิจารณาระหว่างร่างกาย กับ วิญญาณ มีความเกี่ยวพันในช่วงใด อย่างไรบ้าง ก็จะพบระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองดังนี้


1. ความสัมพันธ์ของวิญญาณต่อร่างกายขณะเป็นทารกในครรภ์มารดา

2. ความสัมพันธ์ของวิญญาณต่อร่างกายเมื่อพ้นจากครรภ์มารดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

3.  ความสัมพันธ์ของวิญญาณต่อร่างกายขณะหลับ มีช่วงที่ข้องเกี่ยวและแยกจาก

4.  ความสัมพันธ์ของวิญญาณต่อร่างกายในโลกหลังความตาย

5. ความสัมพันธ์ของวิญญาณต่อร่างกายในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ อันเป็นสัมพันธภาพที่สัมบูรณ์  ปราศจากการแยกจาก ไม่สิ้นสุดด้วยความตายหรือการทำลาย 


ความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณกับร่างกาย


อิสลามจำแนกโลกที่มนุษย์จำเป็นต้องพำนักอาศัยออกเป็น  3 ช่วงเวลาด้วยกันคือ

  1. โลกดุนยา ( โลกนี้ )

  2. โลกหลังความตาย

  3. โลกอาคิเราะฮฺ (ปรโลก) โลกแห่งความนิรันดร์กาล
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | Sunshine*Rick | 6 มิ.ย. 55 21:29 น.



มะลาอิกะฮ์  ผู้ปลิดชีวิต

    มุสลิมจำเป็นต้องศรัทธาว่า เมื่อความตายมาถึง จะมีเทวทูตแห่งความตาย ถูกมอบหมายจากพระผู้เป็นเจ้าให้ทำหน้าที่ปลิดวิญญาณมนุษย์ ดังที่พระองค์ทรงตรัสยืนยันว่า


"(มุฮัมมัด ) จงกล่าวเถิด มะลัก( เทวทูต )ผู้ปลิดชีวิต ผู้ได้รับมอบหมายเกี่ยวกับพวกท่าน จะปลิดชีวิตของพวกท่าน แล้วพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าของพวกท่าน  "
( อัซซะญะดะฮ์  32 /11 )


        ท่านอิหม่าม กุรฏุบีย์ -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ- ซึ่งเป็นนักอรรถาธิบายอัลกุรอานอาวุโสที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอบรับอย่างสูงในวงการมุสลิม ได้อธิบายถึงลักษณะความน่าสะพรึงกลัวของเทวทูตแห่งความตายไว้ว่า :

“ - อัลลอฮ์ ทรงรู้ดียิ่ง -  ศรีษะของท่านจะอยู่ ณ ฟากฟ้า และเท้าของท่าน จะอยู่ ณ แผ่นดิน โลกดุนยาจะอยู่ในกำมือของท่าน เสมือนถ้วยชามที่อยู่ในมือของผู้ที่กำลังรับประทานอาหาร ท่านจะมองหน้ามนุษย์ 366 ครั้งต่อวัน ท่านจะยืนมองโลกใบนี้ เหมือนคนๆหนึ่งที่มองไข่ฟองหนึ่งที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองของเขา ซึ่งมลาอิกะฮ์ ( เทวทูต )แห่งความตายนั้น มีบริวารอยู่มากมาย มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทราบถึงจำนวนอันแน่นอน  เทวทูตท่านอื่นๆจะเกรงกลัวเทวทูตแห่งความตาย มากกว่าที่คนหนึ่งคนใดในพวกท่านหวาดกลัวเสือร้ายเสียอีก”


        คำอธิบายนี้เป็นเพียงบางส่วนของความน่าสะพรึงกลัวของเทวทูตแห่งความตาย ใครก็ตามที่เห็น ความหวาดกลัวจะเข้าไปสู่จิตใจของผู้นั้นทันที

        ลักษณะของเทวทูตแห่งความตายนั้น ไม่สามารถที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นบทสรุปจากตัวบทฮะดีสหลายๆบทด้วยกัน ซึ่งเป็นความจริงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน



สภาพผู้ที่วิญญาณจะออกจากร่าง

        ความตายจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด มึนงง และทุกข์ทรมานแก่ทุกคนที่ก้าวสู่ประตูแห่งความตาย

พระคัมภีร์ ระบุว่า

"และอาการมึนงงแห่งความตายได้ปรากฏขึ้นอย่างประจักษ์แจ้ง และนั่นคือสิ่งที่เจ้าจะหลีกเลี่ยงจากมันไปไม่ได้  " ( ก็อฟ 50 / 19 )

        ท่านอิหม่าม อิบนุกะซีร-ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ-  กล่าวว่า : “ เมื่อเทวทูตแห่งความตายบอกเขาถึงการทรมาน และความโกรธกริ้วของอัลลอฮ  ที่มีต่อเขาแล้ว เทวทูตก็จะกระชากวิญญาณออกจากร่าง แต่เขาจะขัดขืนไม่ยอมออกจากร่าง  เทวทูตแห่งความตายก็จะกระหน่ำตีร่างผู้นั้น จนกระทั่งวิญญาณยอมออกจากร่าง ”  พร้อมกับกล่าวดำรัสของพระองค์ที่ว่า     
   
"จงให้ชีวิตของพวกเจ้าออกมา วันนี้พวกเจ้าจะได้รับการตอบแทน ซึ่งโทษแห่งความต่ำต้อย เนื่องจากที่พวกเจ้ากล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮโดยปราศจากความจริง  "   (  อัล-อันอาม 6 / 93 )

ท่านอิหม่าม อิบนุกะซีร กล่าวต่ออีกว่า :  หลังจากที่วิญญาณออกจากร่างแล้ว ผู้ตายจะอยู่ในโลกหลังความตาย จนถึงวันฟื้นคืนชีพ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งเร้นลับ ที่มุสลิมจำเป็นต้องศรัทธาว่า สิ่งที่มีระบุไว้ในพระคัมภีร์และในวจนะของท่านศาสดา  นั้นเป็นความจริง ถ้าผู้ใดปฏิเสธเรื่องดังกล่าวว่าไม่จริงแล้ว ก็ถือว่าเขาได้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง



โลกหลังความตาย ( อาลัม บัรซัค )


ความหมายทางภาษา

“ บัรซัค ” เป็นภาษาอาหรับ หมายถึง สิ่งกีดกั้น ( a barrier )หรือ ที่จำแนกระหว่างสิ่งสองสิ่ง       

ความหมายทางศาสนา

- ช่วงเวลาอันเป็นที่พำนักของผู้ตายในหลุมฝังศพ ก่อนการฟื้นคืนชีพ

- เวลาคั่นกลางระหว่างโลกแห่งผัสสะทั้งสอง คือโลกนี้และโลกหน้า 

        และถือได้ว่าตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ยังเป็นที่พำนักแห่งการตอบแทนอันผาสุกหรือการลงทัณฑ์อันเจ็บปวดทรมานที่ถาวรอีกด้วย

พระคัมถีร์ระบุถึง บัรซัคว่า

       
"จนเมื่อความตายได้มาถึงใครคนหนึ่งของพวกเขา เขาได้กล่าวว่า โอ้ พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ได้โปรดให้ข้าพระองค์กลับไปมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งเถิด เพื่อว่าข้าพระองค์จะได้ทำความดี ในสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ละทิ้งไว้ เปล่าเลย มันเป็นเพียงถ้อยคำที่เขากล่าวมันไว้เท่านั้น  และเบื้องหลังพวกเขายังมีบัรซัคขวางกั้น อยู่จนถึงวันที่พวกเขาจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมา"  ( อัล-มุอฺมินูน23/ 99-100 )


        การที่พระคัมภีร์ ได้อรรถาธิบายเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตายไว้นั้น เป็นสิ่งที่สำนึกแห่งคุณธรรมของมนุษย์ต้องการ โดยแท้จริงแล้วในเรื่องชีวิตหลังความตายนั้น มีความสัมพันธ์กับการศรัทธาในพระเจ้า หรืออีกนัยหนึ่ง ถ้าเลือกศรัทธาเฉพาะเรื่องเดียว คือศรัทธาในพระเจ้า ก็ย่อมไม่เป็นการเพียงพอ

        การศรัทธาในชีวิตหลังความตาย ไม่เพียงแต่เป็นการประกันความสำเร็จแก่ชีวิตในโลกหน้าเท่านั้น แต่ยังทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสงบสุข ด้วยการทำให้มนุษย์รู้จักตระหนักในหน้าที่ และรับผิดชอบอย่างเต็มที่

        จากประวัติศาสตร์ในอดีต เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า ชาวอาหรับในยุคสมัยที่ยังไม่ยอมเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย จะเห็นได้ว่าวิถีชีวิตหลักๆของพวกเขาดำรงอยู่บนการพนัน สุรายาเมา การสู้รบระหว่างเผ่าพันธุ์ การปล้นสดมภ์ คดโกง และฆาตกรรม แต่เมื่อเขาเหล่านั้นยอมรับศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว และเรื่องชีวิตหลังความตายแล้ว พวกเขากลับกลายเป็นประชาชาติที่มีระเบียบวินัยที่สุดในโลก ทิ้งความชั่วร้ายเลวทราม มีการช่วยเหลือกันและกันในยามแห่งความต้องการ ยุติการโต้เถียงด้วยกับความยุติธรรม และความเสมอภาคกัน

        ดังนั้น จึงอาจประมวลถึงเหตุผลที่ทำให้สมควรเชื่อในเรื่องการศรัทธาเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายไว้ดังนี้คือ

1.  บรรดาศาสนทูตทุกท่าน ล้วนเรียกร้องเชิญชวนประชาชาติของท่านให้ศรัทธาในเรื่องนี้

2. คราใดที่สังคมมนุษย์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการศรัทธานี้ ย่อมจะก่อให้สังคมนั้น เป็นสังคมในอุดมคติที่มีแต่ความสงบสุขที่สุด ปลอดจากความชั่วร้ายทางสังคมและจิตใจ

3. ประจักษ์พยานในประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า คราใดที่กลุ่มชนตั้งป้อมปฏิเสธศรัทธาในข้อนี้ แทนที่จะน้อมรับคำตักเตือนของศาสนทูตที่ได้ประกาศครั้งแล้วครั้งเล่า ครานั้นบรรดาชนกลุ่มนั้นทั้งหมด จะต้องถูกลงทัณฑ์จากพระผู้เป็นเจ้า

4. คุณธรรม ความงาม และความมีเหตุมีผลของมนุษย์ได้เห็นสอดคล้องกันกับความเป็นไปได้ในเรื่องของชีวิตหลังความตาย

5. คุณลักษณะอันทรงเกียรติของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับความยุติธรรม และปรานีเสมอ ย่อมมีความหมายต่อเรื่องของชีวิตหลังความตาย 





การตอบแทนในหลุมฝังศพ


        การศรัทธาว่ามีการตอบแทนและการลงโทษในหลุมฝังศพนั้นเป็นความจริง ถือเป็นหนึ่งในหลักการศรัทธาที่มุสลิมทุกคนจำเป็นต้องเชื่อมั่น เพราะทั้งในพระคัมภีร์และในวจนะของท่านศาสดาได้ระบุยืนยันเอาไว้อย่างชัดเจน  มุสลิมเชื่อมั่นว่า ภายหลังจากแผ่นดินกลบใบหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ร่างกายจะไม่ไหวติง แต่วิญญาณของเขาจะยังคงรู้สึกและมีชีวิตเป็นนิรันดร์

        ก้าวแรกที่เข้าสู่โลกแห่งใหม่ ที่เรียกว่าโลกแห่งหลุมฝังศพ หรือโลกแห่งวิญญาณ เขาจะดำเนินตามกฎระเบียบโลกแห่งนี้ ด้วยการได้รับผลกรรมตามที่ได้ประกอบไว้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

        ฉะนั้น ชีวิตในหลุมฝังศพ ซึ่ง ณ ที่นี้ย่อมรวมถึง ผู้ตายในทุกสภาพ ไม่ว่าจะถูกเผาหรือถูกสัตว์ร้ายเขมือบจนกลายเป็นผุยผง ล้วนแล้วแต่ก้าวเท้าเข้าสู่โลกหลังความตายอย่างพร้อมเพรียงและได้รับการตอบแทนตามผลกรรมอย่างครบถ้วนเช่นกัน


        ท่านศาสดา  กล่าวว่า “ หลุมฝังศพนั้น คือบ้านหลังแรกของบ้านทั้งหลายในโลกหน้า ใครก็ตามที่ปลอดภัยในบ้านหลังนั้น  สิ่งที่ตามมาภายหลังย่อมง่ายดายสะดวกสบายยิ่งกว่า และใครที่ไม่ปลอดภัยในบ้านหลังนั้น  สิ่งที่ตามมาภายหลังย่อมรุนแรงยิ่งกว่านัก”    ( บันทึกโดย อิหม่าม ติรมีซียฺและ อิบนุมาญะฮฺ )

        หลุมฝังศพจึงเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งจากสรวงสวรรค์ หรือเป็นส่วนหนึ่งจากขุมแห่งเปลวเพลิงได้ในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นคนเช่นไร!!




ในหลุมฝังศพ

        ชีวิตในบ้านหลังใหม่ เริ่มต้นจากวินาทีแรกที่วิญญาณถูกนำออกจากร่าง ผู้ตายจะยังคงรู้สึก ยังคงมองเห็น และยังคงได้ยิน ความเปลี่ยนแปลงรอบกายของเขา การรับรู้ทุกอย่างยังคงเดิม ต่างแค่เพียงไม่มีใครจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปของเขาได้อีก

วจนะท่านศาสดา  ระบุว่า

“ แท้จริง บ่าวนั้น เมื่อเขาถูกวางลงในหลุมฝังศพของเขา และบรรดามิตรสหายได้ให้หลังจากเขาไป เขาจะได้ยินเสียงกระทบของรองเท้าของพวกเขา  แล้วจะมีเทวฑูตสองท่านมาหาเขา  ให้เขาลุกขึ้นนั่ง เทวทูตทั้งสองจะกล่าวว่า ท่านกล่าวเช่นไรถึงคนคนนี้ มุฮัมหมัด  ?  ผู้มีศรัทธาก็จะตอบว่า ฉันขอปฏิญาณว่า เขาเป็นบ่าว และทูตของอัลลอฮ  เทวทูตจะกล่าวกับเขาว่า : จงมองดูที่พำนักของท่านในสรวงสวรรค์เถิด แล้ว เขาได้เห็นมันทั้งหมด”  ( บันทึกโดย อิหม่าม บุคอรีและมุสลิม )

ศาสดา  กล่าวว่า

“ หลุมฝังศพ เปรียบได้กับส่วนหนึ่งของกลางคืนที่มืดสนิท หากท่านทั้งหลายรู้ดังที่ฉันรู้ ท่านทั้งหลายจะร้องไห้อย่างมาก และจะหัวเราะแต่น้อย ท่านทั้งหลาย จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ ให้พ้นจากการลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพ แท้จริง การลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพนั้น เป็นความจริง" ( บันทึกโดย อิหม่าม อะฮฺหมัด )

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | ____รักพี่มาร์ค<3 | 6 มิ.ย. 55 21:44 น.

ขอบคุณน้า แปะ.

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | สาธารณะ | 6 มิ.ย. 55 21:51 น.

น่ากลัว 

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | Sugar-plum:') | 7 มิ.ย. 55 04:37 น.

โห น่ากลัว

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | .bbluezircon | 7 มิ.ย. 55 16:32 น.

แปะ
ยาวมาก เดี๋ยวค่่อยอ่าน

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | `[]3ffy?- | 7 มิ.ย. 55 16:57 น.

ขอบคุณมากๆ
ปล.เราอิสลาม

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | {HC}เกิงลูบฮีเคลิ้ม | 7 มิ.ย. 55 18:40 น.

แปะ 

ไอพี: ไม่แสดง

#8 | .yui_ | 7 มิ.ย. 55 18:54 น.

ดิท อ่านจบแล้ว 
น่ากลัว ; [] ;)/

แก้ไขล่าสุด 7 มิ.ย. 55 19:13 | ไอพี: ไม่แสดง

#9 | ราชวงศ์ลิงสั่งลุย~!* | 7 มิ.ย. 55 21:47 น.

ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ 

ไอพี: ไม่แสดง

#10 | ทำไง | 8 มิ.ย. 55 00:27 น.

แปะไว้ค่ะ

ไอพี: ไม่แสดง

#11 | lllllllllll'''13:16" | 8 มิ.ย. 55 23:16 น.

ขอบคุณครับ แปลกใหม่ดี

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google