ดูมาแล้ว! วิจารณ์จัดเต็ม the amazing spider-man 2

The Amazing Spider-Man 2 : ผงาดจอมอสุรกายสายฟ้า�แมงมุมลายตัวนั้น ฉันเห็นมันดราม่าเหลือทนเรตติ้ง : 3.5 / 5� สนุก มันส์ หรรษาไปกับภาคต่อ "อภินิหาร**แมงมุม" ที่จัดหนัก จัดเต็มกว่าเดิม�หลังจากที่ภาคแรกปูเนื้อหาในส่วนของดราม่าเอาไว้ได้ค่อนข้างแข็งแรง ทั้งนี้ก็เพื่อเดินหน้าเข้าสู่ "ภาคบันเทิง" แบบเต็มเหนี่ยว ซึ่งนั่นจึงทำให้เราได้เห็น มาร์ค เว็บบ์ ผู้กำกับ นำพาพาเหรดกองทัพวายร้ายเข้ามาแบบไม่บันยะบังยังในภาคนี้�จากอภิมหาสปอตโปรโมตที่ปล่อยออกมาไม่เว้นวันหยุดราชการ The Amazing Spider-Man 2 อาจจะทำให้คุณได้เห็นฟุตเทจต่างๆมากมายหลากหลายรูปแบบที่ถ้าเอามาต่อกันแล้วก็คงจะได้หนังขนาดยาวเรื่องนึง แต่เอาเข้าจริง หนังเต็มๆความยาว 2 ชั่วโมงก็ยังมีอะไรที่ยังไม่ถูกนำมาบอกเล่าในฟุตเทจโปรโมตต่างๆ�ซึ่งก็มาพร้อมเซอร์ไพรส์ในแบบที่แฟนหนังอาจจะคาดคิดไม่ถึงด้วยเช่นกัน นับเป็นหนทางในการโปรโมตขายหนังของ "โซนี่" ที่รุกหนักและฉลาดพอสมควร�

ถ้าใครอ่านคอมิคมา คงจะรู้ดีว่า ภาคนี้หนังจะเป็นไปในทิศทางใด สไปดี้ของพวกเราจะต้องจมดิ่งสู่ด้านมืดมิดครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังจากในภาคที่แล้วก็ดาร์คอยู่พอสมควร ถือเป็นส่วนที่ชอบมากในภาคแรก เพราะรู้สึกว่าหนังแข็งแรงในแง่ของภาคดราม่ามาก�และเร้าให้อยากดูภาคต่อไปในแง่ของภาคบันเทิง - หนังจัดเต็มอิ่มหนำสำราญบานบุรีมณีนพเก้ามากๆ เห็นได้ชัดในการพัฒนางานด้านซีจีที่มีหลากหลายมุม และสร้างสรรค์ออกมาได้แตกต่างจากภาคก่อน เหมาะสำหรับคนที่ชอบเสพงานซีจี วิชวลตระการตา เกร็งหน้าท้องระหว่างดู เพราะหลายฉากที่ถูกยัดใส่เข้ามา�มีทั้งอารมณ์ลุ้นและแปลกตา แปลกใหม่ ตื่นเต้น เร้าใจ ครบถ้วน ยิ่งถ้าได้ดูแบบ�3D ภาพจะพุ่งตาทะลุขมับออกตับอ่อนกันเลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งงานหนังที่ใช้ประโยชน์จาก 3D ได้ดี และมีอะไรให้ตื่นตามากกว่าที่คาดไว้�ในแง่ของภาคดราม่า - ใครว่าไม่ต้องเน้นดราม่า ในภาคนี้ เพราะภาคที่แล้วเน้นหนักมาแล้ว ขอบอกเลยว่าผิด !! นี่เป็นอีกครั้งที่จำเป็นจะต้องขายอารมณ์ดราม่าขยี้จิตสะกิดใจให้คนดูมากกว่าครั้งไหนๆ เพราะจะเป็นการเปิดประเด็นที่เป็นความลับมาตลอดเวลาในหลายๆอย่าง รวมไปถึงซีนดราม่าขายอารมณ์ตัวละครต่างๆที่ต้องออกมาซัดกันนัวยิ่งกว่าแอ็คชั่นที่ได้ดูกัน เอาตรงๆแล้ว ในส่วนนี้ของหนัง โดนฉากแอ็คชั่นกลบหมดมิด บางฉากที่ควรจะจี๊ด ก็เลยทำได้ดีที่สุดแต่สะกิดใจเบาๆเท่านั้น อารมณ์ดูแห้งแล้งพิกล ไม่ว่าจะในฉากที่คาดถึงหรือคาดไม่ถึง หนังดูจะเน้นไปให้ความสำคัญในการโชว์ฉากแอ็คชั่นวินาศสันตะโรมากกว่า จนทำให้สองส่วนที่ว่านี้ไม่บาลานซ์กัน

ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากการยัดเอาตัวร้าย (และอีกหลากหลายตัวละคร) เข้ามาประดังประเดิดในภาคนี้ ใช่ว่าจะไม่ดีซะทีเดียว เพราะหนังก็สามารถเกลี่ยน้ำหนักเล่ารายละเอียดของตัวละครให้เท่ากันได้อย่างน่าประทับใจ และก็มีแง่มุมต่างๆที่เรามองเห็นได้จากการศึกษาตัวละครคร่าวๆ รวมไปถึงการแคสติ้งที่ช่วยส่งเสริมให้บทต่างๆดูน่าสนใจและน่าเชื่อถือเราจะไม่พูดถึงแอนดรูว์ การ์ฟีลด์และเอ็มม่า สโตน ที่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ครั้งนี้ต้องขอชมเชย เดน ดีฮาน แคแรกเตอร์ใหม่ที่เข้ามาเสริมทัพในมาด "ตัวร้าย" ได้อย่างมีมิติพุ่งทะลุจอมากๆ ดีฮานเป็นนักแสดงที่มีบางแง่มุมในตัวที่เหมาะในการเป็นตัวร้ายที่มีเรื่องราวเก็บกดในใจและปล่อยปะทุออกมาได้เป็นอย่างดี จากที่เราเห็นพัฒนาการทางด้านตัวละครเขามาจากในหนังฮีโร่ฮาร์ดคอร์เรื่อง Chronicle เรื่องนี้ก็เหมือนหลุดออกมาจากเรื่องเดียวกัน ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่พร้อมจะแจ้งเกิดแบบสุดตัวของเขาในภาคนี้และภาคต่อๆไปได้อย่างไม่ยากนัก�เจมี่ ฟ็อกซ์ แม้จะไม่ต้องแสดงอะไรมาก แต่การโผล่มาเป็น แม็กซ์ ดิลลอนแบบแว๊บๆในมาดมนุษย์ปกติ ก็เป็นบทที่ท้าทายสำหรับเขาไม่น้อย และการกลายพันธ์มาเป็น "อีเล็กโทร" ก็ยิ่งทำให้แคแรกเตอร์ของเขาออกมาดูน่าเกรงขามได้ในแบบของเขา (แม้จะโดน ดีฮาน กลบไปบ้างเล็กน้อย เวลาออกจอร่วมกัน)�

เปรียบเทียบกับภาคแรกแล้ว ผมชอบประเด็นดราม่าที่เร้าเข้าสู่ด้านแอ็คชั่นมากกว่า ในทางกลับกัน ภาคนี้แอ็คชั่นเร้าเข้าหาดราม่า�ซึ่งในส่วนหลังทำได้ไม่เต็มที่นัก เพราะการกระจัดกระจายของตัวละคร�การต้องใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งในการเคลียร์เรื่องราวทั้งหมด แม้จะเป็นความยาวที่ไม่น้อย แต่รายละเอียดของหนังก็เยอะพอที่จะขยายเป็นหนังสามชั่วโมงได้ ทุกอย่างจึงเลยแน่น การตัดต่อโดดไปโดดมา และไม่ได้ชวนให้เราอินตามแต่อย่างใด แตกต่างจากภาคแรกที่ดราม่าขยี้เข้มข้นและแอ็คชั่นก็กลมกล่อมทำให้ทุกอย่างออกมาดู "สมดุล" กัน และสนุกกันไปในทางเดียวกันได้�แต่ถ้ามองโดยรวม�นี่คือโปรแกรมแอ็คชั่นมันส์บันเทิงที่จะตอบสนองความต้องการในด้าน "ความสนุก" ได้อย่างดีทีเดียว เอาแค่ภาคแอ็คชั่นก็น่าจะสะใจคอหนังซัมเมอร์ฟอร์มยักษ์อลังการแล้ว และก็ยังสามารถบิ๊วเข้าภาค 3 ได้น่าสนใจดีด้วย คอสไปดี้ไม่ควรพลาด