R e v i e w : ซื้อครีมใช้ทำไม ในเมื่อทำเองง่ายกว่าเยอะ Part1

1 พ.ค. 57 13:52 น. / ดู 5,273 ครั้ง / 11 ความเห็น / 18 ชอบจัง / แชร์
อุต่ะ! ตกใจไหมกับล็อกอินนี้ แน่ะๆ เห็นคำว่ารีวิวแล้วตาลุกวาวกันเหรอ เสียใจจ่ะ วันนี้เป็นพาร์ทแรก ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ แต่พาร์ทต่อๆไป รับรองแจ่มจะแดมแจ่มว้าว ชัวร์
แต่ถามว่าวันนี้จะไม่มีอะไรมารีวิวเลยเหรอ ก็พูดไม่เต็มปากหรอกว่าไม่มี เพราะช่วงนี้หยุดใช้ครีมไปเยอะพอสมควรเนื่องจากได้รับข่าวดีที่ฟังแล้วดี๊ด๊าสุดๆจนทำให้แทบจะเทสกินแคร์ในกรุเอาไปอาบเลยด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากเคยมีเจ้คนหนึ่งแกบอกว่าใช้ตัวนี้แล้วสิวเสี้ยนหาย อีคนหน้ามันเทศแตกหน่ออย่างเราฟังก็สนใจเพราะใครที่หน้ามันต้องเจอทุกคนกับนางสิวเสี้ยนสิวหัวดำสิวิุดตันที่ขึ้นจรงจมูกจนกลายเป็นสตรอเบอร์รี่ !!! ไม่มีใครชอบทั้งแหละ ฮึ่ม ... และผลิตภัณฑ์ตัวนั้นก็คืออันนี้ไง



ตัวนี้ดังมากเลยนะ ใครๆก็คงรู้จักใช่มะ จริงๆสารออกฤทธิ์หลักๆไม่ใช่เรตินเอนะ คนชอบคิดว่าเรตินเอคือชื่อสาร แต่จริงๆตัวที่ผสมในนี้และให้ผลลัพธ์ที่ดีคือ Tretinoin หรือกรดวิตามินเอนั่นเอง (แบรนด์เน็ตเลวๆชอบใส่มาให้กัดผิวหน้า อันตรายนะขอบอก) อีกรดวิตามินเอตัวนี้นี่แหละที่ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันของผิว ฟังแล้วเฮ้ยคือดูดีใช่มะ แต่บอกก่อนว่านางไม่ใช่สกินแคร์จ่ะ นางเป็นยา ย้ำอีกรอบว่ายา ย้ำว่า ยา ยา ยา ยา!!! เพราะ Tretinoin อ.ย.ไม่อนุญาตให้ใช้กับเครื่องสำอาง ขีดเส้นใต้ไว้หนาๆเลย ถ้าจะใช้ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาเท่านั้น และใช้ในความเข้มข้นที่ต่ำมากๆ เช่น 0.025 หรือ 0.05 เพราะอิทธิฤทธิ์ของนางสยึมกึ๋ยมาก ใครเคยใช้หรืออ่านรีวิวจะรู้ดีว่าเรตินเอทำคนหน้าบาง แสบ ลอก แดงไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แถมนางยังทดสอบจิตใจคนใช้ด้วยการผลักสิวออกมาเบาๆระหว่างใช้เพื่อหน้าจะได้สะอาดใสไร้สิวแฝงตัวในรูขุมขนนั่นเอง แต่!! หนูเริ่มรู้สึกชินซะแล้วเวลาใครด่า**หลังจากใช้เรตินเอตัวนี้ เพราะหนูไม่มีอาการอะไรเลยข่า คนอื่นทาแล้วแสบ ยุบยิบ หนูไม่มีเลย คนอื่นทาแล้วหน้าลอก หนูก็ลอกนะแต่พอเอาเจลล้างหน้าล้างขุยก็หายไปเลย สรุป...ควรดีใจไหมกับหน้าแบบนี้ ฮาาาา แต่ผลลัพธ์มันดีนะหล่อน เพราะสิวอักเสบรอยแดงๆมันเริ่มหายแล้ว แถมใช้ไปวันที่3ตื่นเช้ามาเอานิ้วแคะสิวอักเสบที่มันยุบแล้วมันจะมีหัวแข็งๆโผล่มาเพราะการอุดตันใช่ป่ะ เฮ้ย สะกิดเบาๆหัวนั้นหลุดเลย แต่เรื่องสิวเห่อหนูยังไม่เจอนะเพราะใช้BHAช่วยขับสิวตลอดก็เลยโอเคได้บ้าง แต่กลิ่นเหม็นมาก ใครทนกลิ่นไม่ได้นี่นอนตายบนเตียงเลย แถมใครหน้าบางบอบบางชนิดที่ว่าฝุ่นปลิวมาโดนยังรู้สึกเจ็บนี่แนะนำเลยว่าคิดหนักๆ เพราะมันรุนแรงจริงๆ ที่หนูไม่เป็นไรเพราะหน้านาไง ไม่สะทกสะท้าน ฮาาาา ขนาดโบกจนขาววอกก่อนนอนหน้ายังไม่แสบเลยคิดดู๊ ชั้นภูมิใจมาก !!!


ละนี่่ก่อนเข้าเรื่องตามหัวข้อนะ หลายๆคนชอบถามว่าแบรนด์ไหนใช้แล้วดี จริงๆหนูอยากปาขันที่ใช้อาบน้ำในโอ่งริมท่าน้ำใส่หัวมากเพราะของแบบนี้คือมันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมากกว่าการมาวิ่งถามคนนั้นคนนี้เพราะสภาพผิวของแต่ละคนมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง เอาง่ายๆแค่ระดับความผิวมันของคนผิวมันก็ต่างกันแล้วอ่ะ ไหนจะสภาพpHของผิวแต่ละคน ปัจจัยการใช้ชีวิตอีก โอ๊ยบรรยายปีนี้จะหมดไหมไหนส่งฝาโออิชิมาตอบด้วย
คำตอบคือบรรยายไม่หมด เพราะแบรนด์สกินแคร์บนโลกใบนี้มีเป็นล้าน นี่ไม่ได้เว่อร์นะ เอาแค่ในไทยก็เกลื่อนกันจะหมื่นละมั้ง ไหนจะประเทศอื่นอีก อเมริกานี่เปิดiherbมาจะเห็นแบรนด์อีกเป็นตับ สรุปถ้าจะหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับตัวเองนั้นยากยิ่งกว่าเดินเข้าเฟคคลับ ที่อตก.ละจะเจอชายแท้ซะอีก
ละนี่ก็ท้าเลย ทุกคนจงวิ่งไปโต๊ะเครื่องแป้งละหยิบสกินแคร์ขึ้นมาอ่าน จากนั้นมองหาสารแอคทีฟเลยว่าอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ นั่นไงๆ เจอละใช่มั้ยอยู่ตรงกลาง อ้าว บางคนยังไม่เจอ อ้อ...เพราะมันอยู่ลำดับท้ายๆไง!! แปลง่ายๆให้ฟังก้คือมันน้อยกว่า0.1% เอ้า ให้เวลากรี๊ด 



ใครที่ีผิวแพ้ง่ายคงเบื่อมั้ยกับการนั่งหาสกินแคร์ที่อ่อนโยน แต่คุณแน่ใจเหรอว่าตัวที่อ่อนโยนนั้นมันไม่ใช่แค่ค่าการตลาดไร้สาระ ตรงนี้จะบอกเลยนะว่าสกินแคร์ที่พวกหล่อนๆหยิบมาทาหน้าทุกวันน่ะหมดไปกับค่าโฆษณาเกิน100%ของต้นทุนรวมกับทุนวิจัย !! กรี๊ดมั้ย อ่ะ เชิญ 
ยกตัวอย่างง่ายๆ ทุนค่าวิจัย20% (ของจริงน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ) + ต้นทุนวัตถุดิบ 15% (ทุกแบรนด์จะเสาะหาวัตถุดิบที่ราคาต่ำที่สุด ใส่ในปริมาณน้อยที่สุดเพื่อให้ประหยัด) รวมกันก็เก๋ๆอยู่ในช่วง35%-40% แต่ค่าโฆษณาพวกนางทุ่มไม่อั้นนะ อัดไปประมาณ 120% ของราคาที่ควรจะเป็น หนูเคยนั่งอ่านเอกสารการตลาดของลอรีอัล(เพื่อนทำงาน นางแอบหยิบมาให้ดู) ละจะบอกว่าหนูช็อกมากกับสิ่งที่เจอ คือเช่นของราคา540 ค่าโฆษณาหมดไป120 ส่วนค่าวิจัยกับวัตถุดิบหมดไปไม่ถึง100 อ่ะ เชิญคิดคำนวณกันได้ตามสบาย
ฉะนั้นหนูจึงเป็นอีกคนที่ค่อนข้างจะแอนตี้เคาน์เตอร์แบรนด์เพราะลำดับสารลำดับต้นๆมันไม่มีอะไรเลยนอกจากสารก่อเนื้อครีม สารให้ความนุ่มลื่น สารให้ความรู้สึกที่ดีเวลาทาลงบนผิว ซึ่งมันไม่สำคัญ ไม่มีความสำคัญกับผิวหนังเลยแม้แต่%เดียว หรือถ้าจะดาวน์เกรดลงมาหาดรักสโตร์ก็อาจได้สารแอคทีฟที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ หลายๆคนจึงพึ่งซบเวชสำอางกันเยอะ เพราะใช้แล้วรู้สึกโอเค เช่น ลาโรช โพเซย์ที่ใครต่อใครหลงรัก แต่บางคนกลับซบแบรนด์เน็ต เอิ่ม...หล่อนอยากตกนรกเหรอ แต่ก็ไม่เสมอไปนะ เพราะแบรนด์เน็ตที่ดีจริงๆที่หนูกล้ายืนยันคือ MarryRose แต่หนูก็ไม่ได้ใช้ต่อนะเพราะมันบำรุงจนถึงขีดสุดละ คือหน้ามันดีได้สุดๆเท่านี้แล้วจริงๆอะไรทำนองนั้น



โอ๊ย แล้วหล่อนจะให้ชั้นใช้อะไรล่ะยะ นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ได้ นั่นสิ แรกๆเพื่อนพูดหนูก็ด่ากลับด้วยประโยคนี้ เพื่อนนางเลยสะกิดพร้อมพูดขึ้นว่า 'ก็ทำสกินแคร์ใช้เองซะเลยสิ' วินาทีนั้นคือหันไปมองหน้าเพื่อนแล้วแบบ...เฮ้ยบ้าป่ะ โรงงงโรงงานก็ไม่มี อุปกรณ์ วัตถุดิบก็ไม่มี จะเอามาจากไหน ที่นี่ประเทศไทยนะคะ วิทยาการเทคโนโลยีในเรื่องส่วนผสมก็รู้ๆกันอยู่วาเป็นยังไง เพื่อนก็หัวเราะเบาๆพร้อมถามด้วยประโยคที่ฟังแล้วอยากทึ้งหัวนางทิ้งมาก นางบอก 'ก็นำเข้าสิ ผสมก็ผสมเองที่บ้านนี่แหละ' วินาทีนั้นแบลงค์มาก เคมีชั้นรอดFมาก็บุญหัวละ ความรู้ทุกวันนี้อ่านตารางธาตุยังผิดๆถูกๆละคือจะเอาปัญญาที่ไหนมาผสมเอง แต่ มันน่าสนใจนะเพราะพอฟังเพื่อนกล่อมยาวไปยาวไป ก็เริ่มฉลาดขึ้นมาได้บ้างว่าเออแฮะ ทุกวันนี้สกินแคร์บนโลกเราใส่แต่ส่วนผสมบ้าบออะไรไม่รู้มา สารบำรุงมีนิดหน่อยมองแทบไม่เห็น แถมบางอันยังอัดแอลกอฮอล์ มิเนอรัล ออยล์ น้ำหอมมาซะเอียนเวียนไม่อยากใช้ แบบนี้ทำเองแม่มมมม !!


หลังจากตกลงกับเพื่อนว่าจะทำสกินแคร์ใช้เอง โดยลงทุนเองทุกบาทกับส่วนผสมที่นำเข้า ขั้นตอนแรกคือการเสิร์ชหาข้อมูลว่าต้องการได้ส่วนผสมรูปแบบไหน ทำงานด้านไหน ไวเทนนิ่ง แอนตี้-เอจิ้ง หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ สรุปออกมาคือเอามันทั้งหมดนั่แหละ ฮาาาา ขั้นต่อไปคือการหาผู้ผลิตที่จำหน่ายวัตถุดิบเกรดเอเท่านั้น ความบริสุทธิ์ต้องสูงเป็นพิเศษเท่านั้น ใช้เวลานั่งลิสต์รายชื่อ เดินตระเวนจดส่วนผสมดีๆที่ทั้งเคาน์เตอร์แบรนด์ กับดรักสโตร์ผสมลงในสูตรของตัวเอง และที่ลำบากที่สุดคือการนั่งหาผู้ผลิตหรือแลปรายใหญ่จากต่างประเทศเท่านั้นที่จำหน่ายและมีส่งออกวัตถุดิบชั้นดีให้แบรนด์ต่างๆมากมาย ยอมรับว่าเหนื่อยและท้อมากในช่วงนั้น เพราะเราคือคนไทย เราไม่ใช่โรงงานหรืออุตสาหกรรมรายใหญ่อะไรที่จะมีเส้นสายขนาดนำเข้าโดยมีเครดิตดีเป็นแบ็กอัพ ต้องนั่งพิมพ์เมล์ดีลวันหนึ่งเกือบ50ฉบับ ต้องนั่งอดทนรอการตอบกลับ ใช้ระยะเวลานานพอสมควร คือไม่สมควรหรอก เกือบๆหนึ่งปีเต็มเลยกว่าที่จะมาถึง ณ ปัจจุบันนี้ได้ และตอนนี้ส่วนใหญ่ก็ทำสำเร็จแล้ว เย้เย~ แลปหลายๆรายเริ่มจำหน่ายให้หนูกับเพื่อนแล้ว ดีใจมากกกก บอกเลยว่าหลังจากได้อ่านเมล์ตอบกลับแล้วเป็นอะไรที่น้ำตาแทบไหล มันตื้นตันที่เราสามารถทำเรื่องใหญ่โตให้สำเร็จลุล่วงได้ แม้จะไม่ได้มากมายแต่ก็นะ...มันก็คุ้มค่าพอสมควร


ใช่แล้ว ไม่มีอะไรง่ายเพราะอย่างที่บอกไปว่าร่วมปีเหมือนกันกว่าหนูจะเว้าวอน อ้อนวอนรวมถึงดีลขั้นหนักกับเพื่อนกัน3คนเพื่อให้ได้วัตถุดิบเกรดเอที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด คุณภาพเยี่ยมที่สุดเพื่อมาใช้กับเรือนร่างของตัวเอง หนูจะเล่าให้ฟังนะว่าตัวที่ดีลไปคร่าวๆมีอะไรมั่ง
- ตัวแรกที่เริ่มดีลเลยคืออโลเวร่า จริงในไทยเราก็มีนะแต่เพื่อนบอกว่าสาร Aloin ในไทยมีไม่ครบแถมความปลอดภัยรวมถึงพันธุ์ของว่านหางจระเข้ยังไม่น่าใช้ ก็เลยมานั่งหาจนได้ที่อเมริกาที่สกัดอย่างเข้มข้นชนิดที่ว่า 1% ที่ผสมลงไปในน้ำจะเทียบเท่ากับเราเทว่านหางจระเข้ลงไปถึง 10% ก็เลยฝากเพื่อนที่เวิร์คแอนด์ทราเวลช่วยดีล นางก็น่ารักก็ดีลได้จนสำเร็จ และพร้อมจะส่งมาให้ประมาณช่วงมิถุนานี้ เย่ๆ
- BHA เพราะว่าบีเอชเอทั่วไปเป็นกรด ผสมน้ำก็ลำบาก ระคายเคืองง่าย หนูกับเพื่อนเลยมีมติว่าไหนลองหาส่วนผสมดีๆซิ สุดท้ายก็เจอ Paula's Choice RESIST BHA 9 ซึ่งเขาใช้ BHA ที่เก๋ออกไปคือผสมน้ำได้ทันที ออกฤทธิ์ต่อเนื่องกำจัดสิวอุดตันได้นานถึง6ชั่วโมง (จากผลวิจัยนะจ๊ะ เปล่ามโน) และที่สำคัญคือไม่ต้องใช้ความเป็นกรดเลย pH5ซึ่งเทียบเท่าผิวนางก็ทำงานได้ เลยดีลด่วนๆ ได้มาใราคาที่แอบอุบอิบไว้ และตอนี้กำลังแลนดิ้งที่ไทยแล้ววว ตื่นเต้นๆ
- ตัวต่อไปคือ Saccharomyces Lysate Extract ที่เหนื่อยและหนักมาก เพราะต้องนำสูตร SK-II ไปให้เกาหลีวิจัย*พี่สาวทำงานอยู่แลปวิจัยในเกาหลี*เพื่อให้ได้ส่วนผสมที่คล้ายคลึงและลอกเลียนแบบให้เหมือนSK-IIที่สุด ฮาาา จนหมักและกรองออกมาเป้นน้ำเหลวๆจากยีสต์จากนั้นจึงบรรจุแบบสุญญากาศส่งต่อไปอเมริกาเพื่อสกัดสารสำคัญที่ออกฤทธิ์โดยแลปให้ข้อเสนอมาคือเขาจะขายส่วนผสมตัวนี้ให้แบรนด์อื่นๆแลกกับการสกัดให้ เราก็โอเค้ ยอมๆไปเถอะ จนได้สารสกัดตัวนี้ส่งต่อมาที่ไทยพร้อมๆกับการที่แลปขายต่อให้ชิเซโด้ไปอย่างสบายจายยย~
- ตัวถัดมาได้มาจากการนั่งมองขวดเคล็นซิ่งลาแมร์ของเพื่อนแล้วนั่งหาส่วนผสมจนได้มาซึ่งออยล์ตัวนี้ก็คือ Safflower Seed Oil หรือถ้าไทยพีเพิ่ลเรียกก็ น้ำมันดอกคำฝอย ตัวนี้โชคดีหน่อยที่หาข้อมูลได้ไวว่าอิตาลีนางเป็นคนผลิตได้ดีนะ เลยฝางพี่สาวหิ้วมาจ้า เลิศ !!
- ตัวถัดมาจริงๆน่าจะเป็นตัวแรกๆที่คิดได้ด้วยซ้ำ Niacinamide หรือบี3ยอดรักนั่นเอง ในไทยหาไม่ได้นะบอกเลยหรือมีก็ไม่รู้เพราะไม่คิดจะนำเข้าวัตถุดิบจากบ้านเราอยู่ละ นั่งหาไปๆมาๆกำลังจะได้ที่อเมริกานังเพื่อนก็บอกหาที่อื่นเหอะ กลัวใช้แล้วแพ้ Niacin ก็เลยต้องมาล่มแผนนั่งหาใหม่อีกว่าที่ไหนสกัดโดยมีNiacinติดมาน้อยที่สุด สรุปสุดท้ายได้มาจากBritish Pharmacopoeiaด้วยราคาที่ฟังแล้วแบบ เฮ้ย ถูกกว่าที่แรกอีกอ่ะ ดีกว่าด้วย
- เพราะผลการวิจัยของ P&G แท้ๆเลยทำให้ได้มาซึ่งตัวนี้ N-Acetyl-D-Glucosamine ที่ต้องย้อนกลับไปUSAอีกรอบ ซึ่งก็อาศัยบุญบารมีเพื่อนโดยส่งเมล์ไปแจ้งว่า เฮ้ยแกร~ ชั้นจะส่งคนมาดีลนะเหวย ช่วยขายให้ด้วย
- เพราะวิช ฮาเซลโดยทั่วไปต้องสกัดโดยการใช้แอลกอฮอล์ซึ่งเพื่อนหนูแอนตี้กันทั้งนั้น เลยมานั่งหาข้อมูลว่าWitch Hazelที่ไม่ต้องใช้แอลกอฮอล์มีไหม สรุปคือมีจ้า แต่เป็นการกลั่นอีกที ซึ่งหน่วยงานที่ทำคือ American Distilling จึงต้องเมล์ไปดีลและใช้เวลานานมากนะยูว กว่านางจะยอมตกลง เพราะพึ่งได้ไปเมื่อ5วันที่แล้วนี่เอง
- เพราะโออิชิ กับ อิชิตันเขาโด่งดังจุึงเป็นที่มาของสารตัวนี้ สารสกัดจากชาเขียว ตอนแรกจะนำเข้าวิตามินอีแต่เนื่องจากเป็นน้ำมัน คนผิวมันเลยร้องยี้ จึงหาสารแอนตี้ออกซิแดนท์ตัวอื่นแทน จนมาเจอตัวนี้ ซึ่งชาเขียวที่ดีทุกคนคงรู้ว่าได้มาจากไหน แน่นอนญี่ปุ่นนั่นเอง จึงส่งเมล์เทียบอัญเชิญให้จำหน่ายให้เราด้วยเถิด จะได้มีของดีๆมาติดกายไว้ สรุปต้องส่งซ้ำไปอีก8รอบ คุณพระ แต่สุดท้ายก็ได้ละน่า
- และส่วนผสมถัดไปคือส่วนผสมที่ใช้เวลา5เดือนในการดีล ขุ่นแม่ หนูท้อมาก Alpha Arbutin จาก Pentapharm, Switzerland ตอนแรกหนักใจมากว่าจะเพิ่มไวเทนนิ่งอีกตัวดีไหมเพราะ B3 กับ NAG ก็น่าจะช่วยได้เยอะแล้ว แต่มันคงไม่พอเลยหาไวเทนนิ่งที่ดีที่สุด เลยตกลงมาที่ตัวนี้ ซึ่งใช้เวลาดีลระยะหนึ่งก็แทบช็อกกับราคาเพราะมันแพงมากกกก แพงชนิดที่ว่าถอยมือถือได้เครื่องหนึ่ง แถมกว่าจะต่อรองราคา โดนปฏิเสธแตก็ไม่ย่อท้อ พยายามทุกวิถีทางจนในที่สุดเขาก็ยอมรับการตื๊อของเรา *น้ำตาไหลแป๊บ วันที่อ่านเมล์คอนเฟิร์มนี่คือร้องไห้จริงๆ เพราะนั่นคือเงินหมื่นต้องสูญเสียไป ฮาาาา
- เพราะความยากลำบากมันมีอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ล่ะ เพราะตัวนี้ก็ลำบากใช่ย่อย จากผู้ผลิตในสวิสเซอร์แลนด์ในชื่อ แอปเปิลสเต็มเซลล์จากพืชเฉพาะ ตัวนี้อยากได้มาก ปลื้มมาก ดีลนานมาก ราคาก็แพงมาก แต่สุดท้ายก็ได้มาในอุ้งมือ วะฮ่าๆๆ มิถุนานี้เราเจอกัน !!
- การเติมน้ำให้ผิวสำคัญพอๆกับการทาไวเทนนิ่งและครีมลดเลือนริ้วรอย จึงพยายามหาไฮยาลูโรนิค เอซิดที่ดีที่สุดจนค้นพบว่ามันคือที่เยอรมัน ตัวนีได้มาทั้งแบบStandard และ Nano ปลื้มปริ่มแป๊บนะ 
- สารสกัดจาก Calendula หรือดอก Marigold เป็นอีกตัวที่น่าสนใจ จึงส่งเมล์พร้อมตาปิ๊งวิ้งวับไปหาแลปที่ฝรั่งเศสจนได้มาซึ่งตัวนี้ โอ๊ย น้ำตาหยดแหมะ
- และตัวสุดท้ายที่เพิ่งดีลได้หมาดๆคือสารลดริ้วรอยที่ถูกและดีมากจนหลายๆคนฝากมาบอก DMAE เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อนี่แหละ แต่เห็นหลายๆคนอวยก็เลยแวะโฉบไปหาที่ยูเอสเอเสียหน่อย สุดท้ายก็ได้ติดมือมาสิน่า แลนดิ้งมิถุนาจ้า
- และตอนนี้กำลังดีลสารทำความสะอาด (Cleansing Water) แบบเดียวไบโอเดอร์ม่าอยู่ ร้องกรี๊ดๆ ขอให้เขาตอบตกลงด้วยเถิด, Bifida Ferment Lysate ที่เอสเต้ ลอเดอร์ใช้เป็นส่วนผสมหลักใน ANR ก็ำกำลังพยายามกันทุกวิถีทางให้ได้มา และตัวาสุดท้ายที่มีแววว่าจะได้อีกตัวคือน้ำมันโรสฮิปออยล์ของดีจากชิลีเขาจ้า



ถามว่าวันนี้จะมาสอนทำครีมเองไหม คำตอบคือไม่ ฮาาาา ละมาทำไมเหรอ มาเกริ่นนำไว้ก่อนเพราะอย่างที่บอกไปว่าสกินแคร์ทุกวันนี้เต็มไปด้วยสารบ้าบอคอแตกอะไรไม่รู้ แถมยังอาจมีส่วนผสมที่ใช้แล้วเกิดอาการแพ้ได้เลยนะรู้ตัวหรือเปล่า ฉะนั้นเลี่ยงได้ควรเลี่ยง หากเลี่ยงไม่ได้ก็ผสมเองซะเลยสิ จริงๆการผสมครีมใช้เองที่เมืองนอกเขานิยมมากนะเพราะประหยัด สะดวก ได้สารบำรุงแบบเต็มๆ ข้อดีเยอะมาก เช่น
- หลีกเลี่ยงการผสมสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อตัวเรา
- หลีกเลี่ยงสารที่ไม่จำเป็น เช่น น้ำหอม สี แอลกอฮอล์ มิเนอรัลออยล์ ซึ่งทำให้มีโอกาสแพ้ได้
- ประหยัด ถึงแม้วัตถุดิบจะราคาแพงกว่าแต่สามารถเก็บไว้ผสมใช้ได้อีกในระยะยาว เรียกว่าจ่ายก้อนเดียวใช้นานจนลืม
- ความสดใหม่ สกินแคร์ที่วางขายเกลื่อนรู้ไหมพวกหล่อนๆว่ามันมีอายุมากี่เดือนแล้ว น้อยสุดก็2เดือนขึ้นไป แต่ถ้าเราผสมใช้เอง ผสมเสร็จใช้ทันที ความสดใหม่ความแอคทีฟของสารก็จะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาน้อยกว่าด้วย

แต่ถามว่าวันนี้จะไม่สอนผสมอะไรเลยเหรอ คำตอบคืออยากสอนนะ แต่ผลิตภัณฑ์มันยังมาไม่ถึงมือเลยน่ะสิ กำลังหลงอยู่กับมาเลเซียแอร์ไลน์หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ถามว่าทำเองโดยใช้วัตถุดิบเก๋ๆที่หาในไทยได้ไหม ได้สิ ทำไมจะไม่ได้

โดยที่จะสอนวันนี้คือ Vitamin C Serum นั่นเอง อย่างที่รู้กันว่าวิตามินซีในท้องตลาดนั้นแพง ราคาเอื้อมไม่ไหว อันที่เอื้อมไหวก็ %ต่ำเหลือเกินจนคาดหวังผลเรื่องความขาวยังไม่ได้เลย ฉะนั้นมาทำเองดีไหม ? คำตอบคือดี
ง่ายๆเลยคือหาซื้อวิตามินซีแบบผงมาก่อน *ในไทยขายไหนหนูไม่รู้นะเพราะหนูได้มาจากUK* แล้วก็ต้องมีน้ำ ทางที่ดีแนะนำน้ำกลั่น ร้านขายยาน่าจะมี หรือใครอยากชอบความชุ่มชื้นอาจเติมพวกกลีเซอรีนลงไปง่ายๆ แค่นี้เอง 2-3อย่าง
- วิตามินซี L-ascorbic acid ชนิดผง 10-15% หวังผลเืรื่องไวเทนนิ่งได้ แอนตี้ออกซิแดนท์ได้ กระตุ้นคอลลาเจนก็ได้อีก
- กลีเซอรีน 5-10% แล้วแต่ความชอบ หรือไม่ใส่ก็ไม่ผิด
- น้ำ %ที่เหลือ
วิธีผสมก็คือเททุกอย่างในขวดทึบแสงหรือสีชาก็ได้ แล้วเขย่าจนกว่าส่วนผสมจะละลาย แค่นี้ก็เสร็จแล้ว แต่คำแนะนำคือใช้ให้หมดภายใน 3-5 วันนะเพราะวิตามินซีถ้าโดนน้ำจะออกซิเดชั่นหมดฤทธิ์ทันที ดังนั้นผสมใช้ทีละน้อย พอหมดค่อยผสมใหม่ จะได้วิตามินซีที่สด ใช้ได้ทันที เพราะที่วางขายกันน่ะถึงแม้จะใส่สารกันออกซิเดชั่นแต่ก็ผานระยะเวลามาหลายเดือน %ที่จะออกซิเดชั่นก็เริ่มๆสูงขึ้นแล้วล่ะ *ผสมเสร็จจะเป็นสีใสนะ ถ้ายิ่งเหลืองแปลว่ายิ่งออกซิเดชั่น = หมดอิทธิฤทธิ์ในเรื่องความขาว ลดริ้วรอย* ทางที่ดีแช่เย็นเพื่อชะลอการเกิดออกซิเดชั่นด้วยจะเก๋ที่สุดเลย



รอบหน้าหนูจะมาอัพเดต การผสมพร้อมรูปภาพให้ดูนะ ถ้าวัตถุดิบที่นำเข้าแลนดิ้งถึงไทยส่งมถึงมือหนูเมื่อไหร่หนูจะรีบทำ Part2 ทันที สัญญา
แก้ไขล่าสุด 4 มิ.ย. 58 22:46 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | คิวคัมเบอร์_ | 1 พ.ค. 57 14:00 น.

ติดตามๆ อยากรู้วิธ๊ กิกิ 

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | IBLoTBS | 1 พ.ค. 57 15:34 น.

เคยคิดทำนะ แต่ผงวิตามิน C มันแพงอ่ะ เข้าใจหรอกว่า ลงทุนครั้งเดียวแต่ใช้ได้นานมากๆ แต่ก็ทำใจซื้อไม่ได้ซักที 555555555

อีกอย่างเรากะไม่ค่อยเป็นด้วย กลัวแบบ ใส่วิตามินมากเกินไป จะอันตราย - -

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | นมสด'โฟร์โมสต์' | 1 พ.ค. 57 15:35 น.

รอต่อค่าาาา 

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | nmw`โอนลี่ยูชูว. | 1 พ.ค. 57 19:32 น.

ยาวมาก 555 รอต่อนะ

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | `.บีเอ็มสมาย | 1 พ.ค. 57 19:50 น.

รัก จขกท เหลือเกินนนน >< 

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | @cq!x1OO | 1 พ.ค. 57 21:05 น.

ยาวมากกก
อิอิ

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | `supporter.snsd | 2 พ.ค. 57 11:33 น.

เป็นกระทู้ที่ได้ทั้งความรู้ ทั้งทอล์คโชว์ ทั้งตลอกคาเฟ่จริง ๆ
ปรบมือ 555555555

ขอบคุณสำหรับความรู้ดีดีนะค้าา 

ไอพี: ไม่แสดง

#8 | GMBrr'NiiJ | 2 พ.ค. 57 14:54 น.

ยาวมากๆๆๆๆๆ ขอบคุณนะ

ไอพี: ไม่แสดง

#9 | GUBGIBB | 3 พ.ค. 57 11:39 น.

ว้าวววยาวมาก ชอบบ ขอบคุณค่ะ

ไอพี: ไม่แสดง

#10 | 'A'N'lnw. | 18 ก.ค. 57 19:46 น.

ขอบคุณนะค้าบบ ยาวมากก <3 

ไอพี: ไม่แสดง

แปะไว้ก่อนน 
ขอบคุณมากๆนะคะ

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google