ดูมาแล้ว!! "Edge Of Tomorrow" ขอวิจารณ์แบบละเอียดถี่ยิบ

5 มิ.ย. 57 15:50 น. / ดู 10,550 ครั้ง / 7 ความเห็น / 1 ชอบจัง / แชร์
[Review] Edge of Tomorrow

หนังถูกดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายไลท์โนเวล All You Need Is Kill ของ Hiroshi Sakurazaka ซึ่งเป็นนิยายที่ขายดีมากในญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยทหารใหม่�คิริยะ เคย์จิ ที่เข้าร่วมสงครามต่อสู้กับเหล่าเอเลี่ยนที่เรียกว่า "มิมิค" และได้ค้นพบว่า เมื่อตัวเองตายจะทำให้ตัวเค้าย้อนเวลากลับมาในอดีตได้ เกิดเป็นลูปเวลาที่วนกลับมาไม่รู้จบ ทางเดียวที่จะหลุดจากลูปนี้ได้ คือการเก็บประสบการณ์ตัวเองในการรบไปเรื่อยๆ เพื่อชนะเหล่ามิมิคและค้นพบหนทางที่จะแก้ไขการวนลูปนี้ให้ได้ โดยเหมือนกับการเล่นเกมที่มีการเก็บเลเวลและค่าประสบการณ์ไปเรื่อยๆและสามารถรีเซ็ตเกมกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้ทุกครั้งที่เกมโอเวอร์
ซึ่งในขณะที่เค้ากำลังต่อสู้เพื่อหลุดพ้นจากลูปนี้ เค้าก็ได้ไปพบกับ ริต้า วาทาสกี้ ทหารฝีมือดีที่สุดในการต่อสู้กับมิมิค และได้พบว่า เธอก็เคยตกอยู่ในลูปเวลาเหมือนกับเค้าเช่นเดียวกันแต่ในหนัง Edge Of Tomorrow จะพูดถึงนายทหาร�William Cage (Tom Cruise) ผู้รับผิดชอบในเรื่องสื่อโปรโมตของทางกองทัพ แต่กลับ(ซวย)โดนส่งให้เข้าไปร่วมรบโดยที่เค้าเองก็เป็นทหารที่ไม่เคยออกรบมาก่อน เรียกว่ามือใหม่สุดๆ และได้พบว่าหลังจากที่เค้าตายในสนามรบ เค้าจะย้อนเวลากลับมาในช่วงเวลาในอดีตก่อนออกรบอีกครั้ง และในขณะที่กำลังหาทางออกจากลูปนี้ เค้าก็ได้ไปพบกับ Rita Vrataski (Emily Blunt) ในสนามรบ และเธอบอกให้เค้าไปหาเธอหลังจากเกิดการวนลูปขึ้นอีกครั้ง และทั้งสองคนก็จะช่วยกันหาวิธีที่จะเอาชนะสงครามนี้ด้วยกัน เกิดเป็นเนื้อเรื่องหลักในหนังเรื่องนี้

ถ้าเปรียบเทียบระหว่างนิยายกับหนัง ต้องขอบอกว่า ตัวหนังหยิบยกไปแค่ Concept หลักๆ คือ การตายและย้อนเวลาได้ครับ รวมไปถึงการนำตัวละครบางตัวไปใช้ในหนัง แต่รายละเอียดอื่นๆนั้น ถูกปรับให้เข้ากับตีมหนังตะวันตกมากขึ้น ทั้งนี้เพราะนิยายนั้นมีแนวการเล่าเรื่องแบบการ์ตูนตะวันออก(ญี่ปุ่น)มากกว่า ซึ่งเหมาะกับการนำไปวาดการ์ตูนหรือทำอะนิเมชั่น�ดังนั้นไม่ควรจะเอามาเปรียบเทียบกันเพราะมันมีแนวความคิด การดำเนินเรื่อง�และ ตอนจบที่แตกต่างกันมากครับถ้าพูดถึงหนังแนวย้อนเวลาแบบนี้�

สำหรับในด้านภาพยนตร์นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าใครเคยดูหนังGroundhog Day ว่าด้วยผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศคนหนึ่งจะตื่นขึ้นในวันเดิมๆและไปพบเจอกันเหตุการณ์เดิมๆ คนเดิมๆ และไม่สามารถข้ามพ้นวันๆนั้นไปได้ หลังจากนั้นเค้าจึงกล้าที่ลองทำอะไรแปลกๆมากขึ้นและสนุกกับผลที่เกิดขึ้นในแต่ล่ะวันที่ย้อนเวลากลับมา เช่นเดียวกันกับหนังเรื่องนี้ ที่พระเอกจะทดลองทำอะไรหลายๆอย่าง เพื่อดูว่าสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตและจะนำไปสู่เหตุการณ์ใดต่อไป�และถ้ามองในแง่ของหนังรัก ถ้าใครเคยดูหนัง�50 First Dates จะให้อารมณ์เดียวกันในบางอย่าง พระเอกต้องไปทำความรู้จักกับนางเอกใหม่ในทุกๆครั้ง เพราะสำหรับนางเอกแล้ว นั้นคือการเจอกันครั้งแรกเสมอ ในหนัง Edge Of Tomorrow ก็จะต้องพบชะตากรรมเดียวกันนี้ซ้ำๆ เมื่อ Cage ต้องไปทำความรู้จักกับคนอื่นๆใหม่ทุกครั้ง และ ต้องทนเห็นเพื่อนร่วมรบ และ Rita ตายในทุกๆลูปที่ล้มเหลว ถ้ามองในมุมของคนที่ต้องเจออะไรซ้ำๆแบบนี้ ผมว่าจิตใจคงไม่ปกติเท่าไหร่แล้ว ความรู้สึกที่ Cage มีให้ Rita ก็มากขึ้นๆทุกทีในวนลูป

แต่น่าเสียดายที่ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครสองตัวนี้�ไม่ได้ออกมาในแนวรักๆมากเท่าไหร่ แต่เป็นอารมณ์ของสหายร่วมรบมากกว่า (แต่ในนิยายส่วนหนึ่งจะออกไปในแนวรักๆครับ)ส่วนที่ชอบสำหรับหนังเรื่องนี้คือ เราจะได้เห็น Tom Cruise ที่แสดงถึงการพัฒนาระหว่างทหารที่ไม่เคยรบและขี้ขลาดไปจนถึงทหารแกร่งที่มีประสบการณ์ในการรบอย่างโชคโชน เป็นอีกมุมหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นคนเท่ห์ๆจะมาทำอะไรแบบนี้ได้ นอกจากนี้ในหนังยังลำดับภาพในการนำเสนอได้ไม่งงและน่าสนใจถึงการวนลูบแต่ล่ะครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้หนังไม่ยืดเยื้อมากเกินไป แต่เราจะรู้สึกสนุกไปกับเค้าว่าหลังการวนลูปแล้ว เค้าจะได้อะไรกลับมาใช้ในลูปต่อไป

ส่วนที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือเรื่องของภาพและการออกแบบต่างๆครับ เพราะมันสมจริงสมจริงเอามากๆ การออกแบบฉากแต่ล่ะฉากทำออกมาได้ดีมากทีเดียว ฉากรบที่สมจริง วุ่นวาย และ มิมิคที่ออกมาเยอะมากกว่าที่คิด�และ ดูน่ากลัวและโหดสัดจริงๆ�ส่วนที่ไม่ชอบสำหรับหนังเรื่องนี้คือ พร็อตมันสั้นจนน่าใจหาย และตัวละครที่มีการเน้นก็มีน้อยคน เช่นเดียวกับนิยาย ที่แม้ในหนังจะมีรายละเอียดที่มากกว่า แต่เนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นจะกินเวลาใน 1-2 วันเท่านั้น หนังจึงไม่สามารถเล่าได้ยาวมากเกินกว่านี้ เพราะถูกบีบบังคับด้วยกิจกรรมที่เกิดขึ้นในหนัง�ในส่วนของตัวละครอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ที่อยากให้มีบทส่งเสริมมากกว่านี้ แทนที่จะเน้นไปแค่พระเอกกับนางเอกเท่านั้น ทั้งๆที่มันยังมีประเด็นที่เล่นได้อีกเยอะสำหรับเนื้อเรื่องแนวทหารและการรบ นอกจากนี้ หากไม่คุ้นชินกับหนังย้อนเวลาที่จะมีฉากภาพเหตุการณ์ซ้ำๆ มันก็มีบางช่วงของหนังที่ทำให้น่าเบื่อได้เหมือนกัน แต่หนังก็ใส่ฉากการรบสลับกับฉากพูดคุยไม่ให้น่าเบื่อมาเกินไป ส่วนอีกเรื่องคือ นางเอกจะออกแนวหญิงเหล็กที่แกร่ง ดุดัน แต่ดันไม่ค่อยได้โชว์เทพอะไรมาก�และฉากน่ารักๆก็ไม่ค่อยมีให้เห็น ทำให้คนดูอาจจะชอบเธอได้ยาก

เนื้อเรื่องทางด้านโรแมนติกในหนังก็มีน้อยมากๆ แตกต่างจากเวอร์ชั่นนิยายและการ์ตูน ที่เธอจัดว่า สวยและเก่งจนทหารในสนามรบหลงรักเลยทีเดียว รวมไปถึงตัวพระเอกด้วย เรื่องสุดท้าย เนื่องจากมีการตีความที่แตกต่างออกไปจากนิยาย ทำให้มีฉากจบที่แตกต่างกัน ผมว่าคงจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าเสียดาย เพราะมีการนำเสนอที่สั้นไปหน่อย�ทั้งๆที่เป็นจุด�Climax ของเรื่องที่อยากให้ยาวกว่านี้ ร่วมไปถึงบทสรุปที่ชวนงงนิดหน่อย ซึ่งคงพูดตรงนี้ไม่ได้ครับ เนื่องจากจะสปอยอย่างรุนแรง�

โดยสรุปแล้วถ้ามอง Edge Of Tomorrow ดัดแปลงมาจากนิยาย อาจจะเรียกได้ว่าเหมือนหนังคนล่ะม้วนมากกว่าครับ ดังนั้นถ้าดูแบบเปรียบเทียบกัน อาจจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ ทั้งนี้เพราะมันคนล่ะแนวเลยครับ�และ อาจจะติดภาพบางส่วนจากเวอร์ชั่นการ์ตูนไป(โดยเฉพาะความน่ารักโมเอะแบบญี่ปุ่น) แต่ถ้าดูให้มันแยกออกจากกัน Edge Of Tomorrow เป็นหนังที่สมควรไปดูในโรงนะครับ ถ้าใครมีทุนสูงหน่อยจัดแบบ IMax 3D ก็โอเคนะครับ ฉากรบมีมากพอสมควร ดูแล้วคุ้มอยู่ครับ แต่ด้วยพร็อตที่สั้นไปหน่อย จึงให้ความรู้สึกว่าสเกลของหนังจะดูเล็กลง เป็นหนังภาคเดียวจบ ที่ดูแล้วอิ่ม แต่อาจจะไม่อยากสั่งเพิ่มเท่าไหร่ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย ถ้าหนังนำ Concept นี้ไปต่อยอดให้น่าสนใจมากขึ้น มันจะเป็นอีกแฟรนไชส์ที่เอาไปเล่นได้ไม่รู้จบเชียวนะครับ รวมๆแล้วเป็นหนังที่ดีในระดับหนึ่ง


ส่วนตัวผมให้ 9/10 นะครับ หักในส่วนบทหวานๆซึ้งๆที่มีน้อยไปหน่อย กับ ฉากจบที่สั้นไปหน่อยครับ
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | jackie | 5 มิ.ย. 57 21:23 น.

ส่วนตัวนะครับ
คิดว่าเป็นหนังที่ดูสนุกแค่นั้นเอง แต่ก็ไม่สุดเท่าที่ควร หนังผสมหลายเรื่องมาก เช่น
โครงเรื่องเอามาจาก groundhog day
ฉากฝึกพระเอก จาก wanted
ฉากจบ oblivion ของtom cruise และแบบเดียวกันกับหลายเรื่อง เช่น id4, pacific rim
ฉากรบกับแลงมีส่วนมาจาก starship troopers

นับเป็นหนัง tom cruise ที่ดูดีในรอบหลายปี

หากจะหาหนังที่มีการเล่าเรื่องย้อนเวลาที่ดีที่สุด ผมก็ยังขอ คำนับ grondhog day 1993 เหมือนเช่นเดิม

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | `alienxoxo. | 5 มิ.ย. 57 21:23 น.

อยากดู อยากดู
ต้องไปจัดบ้างแล้วววว

3D สามารถไหมเอ่ย ? คุ้มไหม ?

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | wichmata | 6 มิ.ย. 57 20:32 น.

ไปดูเหอะครับ 3D รับรองว่าไม่เสียดายตังค์แน่ๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | `PROPHE~ | 6 มิ.ย. 57 22:26 น.

อยากดูมากครับ ไว้ว่างจะไปดู

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | am_pooh | 9 มิ.ย. 57 11:46 น.

สนุกครับ.. ฮาในหลายๆ ฉาก
ผ่อนคลายดี ไม่ต้องคิดอะไรมากให้วุ่นวาย ปวดหัว

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | ปุบ | 11 มิ.ย. 57 17:25 น.

ส่วนตัวไม่ค่อยประทับใจค่ะ
ตัดฉากดีๆในนิยายและการ์ตูนออกหมดเลย
จบไม่กินใจเท่าในหนังสือ แต่ถ้าไม่คิดมากก็จัดว่าโอเคปกติค่ะ

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | outofstock | 11 มิ.ย. 57 20:39 น.

ต้องไปจัดซะแล้ว

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google