รีวิวหนัง : Dawn of the Planet of the Apes

15 ก.ค. 57 16:46 น. / ดู 692 ครั้ง / 0 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
รีวิวหนัง : Dawn of the Planet of the Apes สายพันธุ์ที่รวมเป็นหนึ่ง

จัดเป็นหนังย้อนกลับไปภาคต้นที่ทำได้ดีอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับ Rise of the planet of the apes ซึ่งบอกเล่าเรื่ยงราวก่อนหน้าภาพยตร์ชุด Planet of the Apes ความนิยมจากภาคแรกทำให้ Dawn of the Planet of the Apes เป็นหนังแอ็คชั่นไฟไซอีกเรื่องที่น่าจับตาของปีนี้
สำหรับ Dawn of the Planet of the Apes เป็นเรื่องราวที่ห่างจากภาคแรกประมาณ10ปี เมื่อไวรัสซิเมียนกระจายออกจากห้องแล็ปแพร่พันธุ์ออกไปทั่วโลกคร่าชีวิตคนไปหลายร้อยล้าน มนุษย์แทบจะสูญพันธุ์ พวกที่เหลืออยู่รวมตัวกันสร้างอาณานิคมเล็กๆในเมืองร้างภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด ต่างกับกลุ่มลิงที่สร้างอาณาจักรขึ้นท่ามกลางป่าอันอุดมสมบูรณ์ในอีกฟากของสะพาน พวกมันกำลังอยู่ในยุครุ่งเรือง

มัลคอล์ม ตัวแทนของมนุษย์พาคนกลุ่มหนึ่งข้ามสะพานเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติเพื่อเปิดใช้งานเขื่อนผลิตไฟฟ้าอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ต้องพบกับฝูงลิงจำนวนมากที่เข้ามาโอบล้อม เป็นลิงที่ดูฉลาดแบบที่เขาไม่เคยพบมาก่อน พวกมันสื่อสารกันด้วยภาษามือ โดยมีจ่าฝูงชื่อ ซีซาร์ ที่สามารถพูดภาษาคนได้ มัลคอล์ม พยายามเจรจากับ ซีซาร์ ขอเข้าไปทำงานในบริเวณเขื่อน หัวหน้าลิงยอมใจอ่อน แต่ โคบา ลิงที่แค้นเคืองมนุษย์ไม่เห็นด้วย มันจึงก่อชนวนสงครามระหว่างคนกับลิงขึ้น เหตุการณ์ที่อาจนำมาซึ่งการสูญสิ้นของหนึ่งเผ่าพันธุ์

บทหนังในภาคนี้ถือว่าเข้มข้นมากขึ้น แฝงแนวคิดเรื่องเผ่าพันธุ์และการเอาตัวรอด ลิงมีแนวคิดว่าแม้จะมาจากหลายสายพันธุ์ทั้ง ชิมแปนซี อุรังอุตัง กอลิล่า แต่หากรวมตัวกันก็จะรอดชีวิต ขณะที่มนุษย์นั้นเป็นการรวมตัวกันแบบเสียไม่ได้ของคนที่รอดชีวิตมาจากโรคซิเมียน ซีซาร์ เชื่อฝังหัวว่าลิงต้องไม่ฆ่ากันเอง ส่วนมนุษย์หลายคนก็ยังเชื่อว่าเผ่าพันธุ์ตัวเองสูงส่งที่สุด สิ่งที่หนังทำได้ดีคือความสัมพันธุ์ของแต่ละเผ่าพันธุ์ ทั้งคนกับคน ลิงกับลิง และคนกับลิง ค่อนข้างลึกซึ้งสัมผัสใจคนดู จนอาจมีเสียนํ้าตา

แม็ตต์ รีฟส์ ผู้กำกับใส่สัญลักษณ์ไว้ในฉากและคำพูดของตัวละครพอสมควร ตีความได้ถึงนัยแฝงเกี่ยวกับการเมือง การเสียดสีสังคม ทั้งคนทั้งลิง อาทิ คำพูดที่ว่าลิงได้เปรียบเพราะไม่ต้องการพลังงานมีแค่นํ้ากับอาหารก็อยู่รอด ลิงที่อยู่บนหลังม้าแสดงให้เห็นว่าเหนือกว่ามนุษย์ การจับคนมาใส่กรงขัง การหักหลังกันเองของสายพันธุ์เดียวกัน หรือความเริงร่าของมนุษย์ที่ได้ใช้ไฟฟ้าแม้ในช่วงสั้นๆ เพลงที่ดังขึ้นอีกครั้งเหมือนกับการกลับมาของอารยธรรมลํ้าค่า แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความต้องการปัจจัยในการดำรงชีพที่มากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

การถ่ายภาพกับทคนิคพิเศษต่างๆดูสมจริง มีมิติ ดีพอจะเข้าชิงรางวัลออสการ์ ซาวด์ประกอบขับให้บรรยากาศดูตื่นเต้น ฉากแอ็คชั่นมีน้อยขัดใจคอหนังบู๊แต่ก็โครมครามและสนุกใช้ได้ เรื่องการแสดงตัวละครที่เป็นมนุษย์ไม่ค่อยโดดเด่น ผิดกับฝั่งของลิงที่เล่นได้ดีแทบทุกตัวโดยไม่ต้องใช้บทสนทนามาช่วย การแสดงสีหน้าท่าทางของนักแสดงโมชั่นแคปมีความน่าสนใจ เพราะเรื่องนี้ใช้นักแสดงประเภทนี้จำนวนมากกว่าเรื่องอื่น นำทีมโดย แอนดี้ เซอร์คิส ผู้รับบท ซีซาร์ ต้องบอกว่าเขาสื่ออารมณ์ออกมาได้ยอดเยี่ยม ไม่เสียแรงที่เจ้าตัวลงทุนไปนั่งดูพฤติกรรมของลิงที่สวนสัตว์หลายสัปดาห์ ผลงานนี้จะสร้างชื่อให้เขายิ่งกว่าบท กอลลัม ใน Lord of the Rings อย่างแน่นอน อีกคนที่เล่นได้สมบทบาทไม่แพ้กันก็คือ โทบี้ เค็บเบล ในการแสดงเป็น โคบา ลิงจอม**มผู้เคยถูกทรมานในห้องแล็ปจากภาคแรก จึงผูกใจเจ็บมนุษย์มาตลอด

กระนั้นจุดอ่อนของหนังก็มีอยู่บ้าง ทั้งพล็อตเรื่องที่ค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ ทำให้อารมณ์ลุ้นหรือเอาใจช่วยตัวละครมีไม่มาก  การเล่าเรื่องช่วงกลางดูอืดไปนิด(แน่นอนว่าส่วนที่น่าเบื่อเป็นฉากมนุษย์ทั้งนั้น) ฉากสามมิติมีน้อย อย่างไรก็ตามภาคนี้ก็มีดีที่พัฒนาการของตัวละครลิง ซีนแรกหนังเริ่มต้นด้วยการโคลสอัพดวงตาของลิงแล้วค่อยๆเฟดออก ซีนจบของหนังใช้วิธีกลับกันคือ ถ่ายภาพจากไกลๆแล้วค่อยๆซูมเข้าไปที่ดวงตาของลิงเรื่อยๆ เป็นฉากเริ่มและจบที่เท่ชะมัด

คะแนน 8/10

ที่มา http://movie.bugaboo.tv/watch/132041/?link=4
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google