Galaxy Note 4 ปะทะ iPhone 6 Plus กล้องใครเจ๋งกว่ากัน?
advertisement
25 พ.ย. 57 11:51 น. /
ดู 1,316 ครั้ง /
5 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
เป็นประเด็นร้อนแรงในปัจจุบันเพราะทั้งแบรนด์แอปเปิลและซัมซุง ต่างก็ได้สร้างมาตรฐานกล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนได้ยอดเยี่ยมมาโดยตลอดและทุกครั้งที่สมาร์ทโฟนของทั้งสองค่าย โดยเฉพาะรุ่นแฟลกชิปที่เพิ่งเปิดตัวไปอย่าง Galaxy Note 4 จากซัมซุงและ iPhone 6 Plus จากแอปเปิลที่ตอนนี้อยู่ในกระแสร้อนแรงทิ้งท้ายปี 2014 ไปทั่วโลก คำถามยอดนิยมที่ผู้อ่านทุกคนทั่วโลกอยากรู้มากที่สุดนอกจากเรื่องสเปกและฟีเจอร์ใหม่ก็คือ "คุณภาพกล้องถ่ายภาพเป็นอย่างไรและกล้องใครเจ๋งกว่ากัน"
โดยสื่อต่างประเทศหลายสำนัก เช่น PhoneArena หรือสื่อกระแสหลักอย่าง The Straits Times ก็ได้นำเสนอข้อมูลเทียบกล้องหลักของทั้ง iPhone 6 Plus และ Samsung Galaxy Note 4 และต่างยกย่อง Galaxy Note 4 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุด โดยเฉพาะเรื่องสีสัน การเก็บรายละเอียดภาพ และกล้องหน้าแบบกว้างพิเศษ 120 องศา ที่ทำคะแนนดีกว่า iPhone 6 Plus ทำให้ Galaxy Note 4 ได้คะแนนรวมสูงถึง 9 คะแนน ในขณะที่ iPhone 6 Plus ได้คะแนน 8.67 คะแนนเท่านั้น
อีกทั้ง Galaxy Note 4 ยังมีคะแนนทดสอบทุกด้านยอดเยี่ยมติดอันดับที่ 1 จากผลทดสอบสมาร์ทโฟน Flagship หรือมือถือรุ่นที่แรงที่สุดสเปคดีที่สุดของแต่ละยี่ห้อในช่วงเวลาปัจจุบัน 7 รุ่นที่วางตลาดในปัจจุบัน วันนี้ก็ถือเป็นฤกษ์ดีที่เราได้รับสมาร์ทโฟนสุดฮิตทั้งสองรุ่นมาทดสอบกันอย่างละเอียดโดย ผลทดสอบจะเป็นอย่างไรติดตามได้ต่อจากนี้
ตรวจสเปคกล้อง
ก่อนจะเข้าสู่ส่วนทดสอบประสิทธิภาพกล้อง เรามาสำรวจสเปคกล้อง Samsung Galaxy Note 4 และ Apple iPhone 6 Plus กันก่อน เริ่มจาก Apple iPhone 6 Plus ความละเอียดภาพสูงสุดจะอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล (3,264x2,448 พิกเซล) ระยะเลนส์ที่เลือกใช้เมื่อเทียบกับกล้องฟูลเฟรม 35 มิลลิเมตร อยู่ที่ 29 มิลลิเมตร พร้อมปรับเพิ่มระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบฮาร์ดแวร์ (Optical Image Stabilization) และใส่เซ็นเซอร์ออโต้โฟกัสแบบ Phase Detection ที่ช่วยให้ระบบออโต้โฟกัสทำงานได้รวดเร็วขึ้นในที่มีแสงน้อยพร้อมไฟแฟลชแบบ LED ทูโทนที่แอปเปิลเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาภาพสว่างจ้าเวลาถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ ส่วนกล้องหน้าให้ความละเอียดภาพสูงสุด 1.2 ล้านพิกเซล ชุดเลนส์เป็นแบบเดียวกับไอโฟน 5s
มาถึง Samsung Galaxy Note 4 ความละเอียดภาพสูงสุดถูกเพิ่มเป็น 16 ล้านพิกเซล (3,456 x 4,608 พิกเซล) จากรุ่นก่อนหน้า ระยะเลนส์ที่เลือกใช้เมื่อเทียบกับฟูลเฟรม 35 มิลลิเมตร จะอยู่ที่ 31 มิลลิเมตร พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบฮาร์ดแวร์ (Optical Image Stabilization) ไฟแฟลชแบบ LED ดวงเดียวแต่ควบคุมความเข้มของแสงผ่านซอฟต์แวร์ในสมาร์ทโฟน ในส่วนของกล้องหน้าค่อนข้างโดดเด่นจากคู่แข่งมาก เพราะซัมซุงเลือกปรับเปลี่ยนเลนส์กล้องใหม่ให้มีความกว้างมากขึ้นและรองรับความละเอียดภาพสูงถึง 3.7 ล้านพิกเซลพร้อม Beauty Mode หน้าใส เด้ง ไร้สิว และฟีเจอร์พิเศษ Wide Selfie ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพเซลฟีกลุ่ม มากกว่า 5 คนขึ้นไป ได้ง่ายด้วยมุมกล้องที่สามารถถ่ายได้กว้างถึง 120 องศา
อีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้สเปคกล้องถ่ายภาพก็คือ ส่วนเซ็นเซอร์รับภาพที่ต่างคนต่างปรับแต่งใหม่เพื่อจุดประสงค์เดียวกันคือการรับแสงในที่แสงน้อยจะทำได้ดีขึ้นรวมถึงไดนามิก มิติของภาพที่ได้รับการพัฒนาขึ้น แต่ดูจากสเปคของเซ็นเซอร์ที่ปรับใหม่แล้ว ฝั่งซัมซุงจะได้เปรียบกว่าด้วยเซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ 1/2.6 นิ้ว รูรับแสงกว้างสุด f2.0 ในขณะที่ iPhone 6 Plus ใช้ขนาดเซ็นเซอร์รับภาพแค่ 1/3 นิ้วพร้อมรูรับแสงกว้าง f2.2 เท่านั้น
นอกจากนั้นด้วยสเปคของหน่วยประมวลผล Exynos 5433 Octa-core แบบ 64 บิต และแรมที่ให้มาถึง 3GB ใน Galaxy Note 4 ทำให้การถ่ายวิดีโอจะสามารถเลือกความละเอียดได้มากกว่า iPhone 6 Plus ถึง 4 เท่า (4K) ที่ความละเอียดสูงสุด 3,840x2,160 พิกเซล หรือจะเลือกความละเอียด 2K 1080p 720p หรือ 480p ในขณะที่ iPhone 6s สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด 1,920x1,080 พิกเซลขนาดเดียวเท่านั้น คนที่ต้องการใช้ไฟล์วิดีโอความละเอียดไม่สูงแบบเร่งด่วน อย่างไร Galaxy Note 4 จะตอบสนองได้ดีกว่า iPhone 6s ที่ต้องมานั่งแปลงวิดีโอให้เสียเวลาก่อนส่ง
และถ้านับรวมกับฟีเจอร์ตกแต่งภาพ โหมดถ่ายภาพอัตโนมัติแบบวิเคราะห์สถานการณ์ได้เอง และความอิสระในการปรับแต่งค่าต่างๆ Galaxy Note 4 ทำได้อิสระและเหนือชั้น iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาก เพราะแอปเปิลเน้นเรื่องการใช้งานที่ง่ายเกินไป ถึงแม้ตัวระบบ iOS 8 จะรองรับกับแอปพลิเคชัน กล้อง 3rd Party ติดตั้งเสริมภายหลังได้ แต่ก็เชื่อว่าคงไม่สะดวกเท่ากับระบบกล้องที่มีลูกเล่นมาให้ในตัวแน่นอน
กล้องใครเจ๋งกว่ากัน?
เริ่มกันที่ภาพแรก เป็นแสงธรรมชาติจากหน้าต่างที่อยู่ด้านขวาของภาพและจับโฟกัส วัดแสงบริเวณกึ่งกลาง สิ่งที่ได้หลังกดชัตเตอร์จะเห็นว่าเรื่องของการรับแสงและสีสันที่ได้ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่เมื่อลองรับชมแบบตัดภาพซูม 100% จะเห็นว่าด้านการเก็บรายละเอียดภาพ Galaxy Note 4 ทำได้ดีกว่า iPhone 6 Plus มาก ส่วนเรื่องสมดุลแสงขาวในส่วนของ iPhone 6 Plus จะติดโทนเหลือง อุ่นๆ ส่วน Galaxy Note 4 จะออกโทนฟ้า คอนทราสต์เข้มกว่า iPhone 6 Plus เล็กน้อย
ภาพที่สองกับการทดสอบไฟแฟลช โดย iPhone 6 Plus เป็นไฟแฟลช LED แบบทูโทน ขาว - ส้ม ส่วน Galaxy Note 4 เป็น LED สีขาวอย่างเดียว โดยการเลือกจุดวัดแสงจะอยู่ที่กลางฝ่ามือ ระยะถ่ายใกล้เคียงกันทั้งสองภาพ อาจแตกต่างที่มุมเล็กน้อยเนื่องจากถ่ายคนละรอบ
ผลลัพท์ที่ได้หลังกดชัตเตอร์ค่อนข้างแตกต่างกันชัดเจนมาก โดย iPhone 6 Plus ให้แสงแฟลชที่จ้ากว่าแถมติดโทนเหลืองเล็กน้อย รายละเอียดของลายมือไม่ชัดเจน ส่วน Galaxy Note 4 เก็บรายละเอียดของภาพได้ดีกว่ามาก แถมการควบคุมไฟแฟลชยังทำได้ดี เพราะก่อนถ่ายระบบจะยิงไฟแฟลชเพื่อวัดระยะโฟกัสและคำนวณการปล่อยแสงแบบหลักการเดียวกับกล้องดิจิตอลทั่วไป และเมื่อชัตเตอร์ทำงานแล้ว ระบบประมวลผลภาพภายในจะทำการเพิ่มความคมชัดและดึงรายละเอียดของภาพ รวมถึงจัดสมดุลของแสงอีกครั้ง
มาถึงการทดสอบในที่แสงน้อยมากระดับห้องมืดเหลือแค่แสงจากประตูเท่านั้น พบว่า ภาพรวมทั้ง iPhone 6 Plus และ Galaxy Note 4 ทำได้ค่อนข้างน่าพอใจ แต่เมื่อลองมองรายละเอียดให้ลึกลงไปจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ iPhone 6 Plus จะจัดการเรื่องสัญญาณรบกวนได้ดีพร้อมดึงรายละเอียดของภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่า แต่สำหรับเรื่องสีเป็นสิ่งที่ iPhone 6 Plus สอบตก เนื่องจากโทนสีทั้งหมดจะออกตุ่นๆ และเพี้ยนมาก
ลองมองดูง่ายๆ จากธนบัตร 500 บาท ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าธนบัตรใบนี้ต้องเป็นสีม่วง แต่ iPhone 6 Plus กลับให้สีธนบัตร 500 บาทใบนี้ออกเป็นสีม่วงออกปนเทาและมีติดสีเขียวเล็กๆ ในขณะที่ Galaxy Note 4 ให้สีม่วงที่ชัดเจนกว่า แถมการที่ตัวกล้องมีระบบวิเคราะห์ภาพที่ถ่ายและมองสถานการณ์แบบนี้เป็น Night Scene ทำให้ภาพถูกปรับส่วนความสว่างและความสดของสีที่ถูกความมืดมิดกลืนกินเพิ่มขึ้นอย่างอัตโนมัติด้วย
อีกหนึ่งสถานการณ์ที่ทีมงานปรับไปใช้โหมดพิเศษอย่าง HDR ที่มีใน iPhone 6 Plus และ Galaxy Note 4 ผลลัพท์ที่ได้ยอมรับว่า HDR แบบ Rich Tone ใน Note 4 ค่อนข้างแรงและทำให้หน้าจอสีแดงแสดงผลผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย ในขณะที่ iPhone 6 Plus ให้สีและรายละเอียดภาพที่ตรงกว่า
แต่เมื่อเราลองมาตัดซูมภาพ 100% หรือมองด้วยมุมมองภาพรวมบริเวณพลาสติกเหนือเข็มวัดความเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่าถึงแม้จะเปิด HDR แบบ Rich Tone ใน Galaxy Note 4 แต่รายละเอียดของภาพ โดยเฉพาะมิติ ไดนามิกภาพกลับเหนือกว่า iPhone 6 Plus ที่เมื่อเปิด HDR แล้ว มิติ ความลึก ไดนามิก และรายละเอียดภาพที่ได้จะต่ำลงมาก
มาดูเรื่องการใช้กล้องเป็นสแกนเนอร์คัดลอกเอกสารกันบ้าง การทดสอบก็ง่ายๆ เปิดไฟแฟลชและถ่ายตรงๆ กับหน้ากระดาษเอกสาร สิ่งที่เกิดขึ้น Galaxy Note 4 ทำได้ดีกว่าตามระเบียบ แถมไฟแฟลชยังยิงเป็นสีขาวช่วยให้สีกระดาษเหมือนจริงกว่า iPhone 6 Plus ที่สีออกน้ำตาล แถมตัวอักษรยังคมชัดสู้ Note 4 ไม่ได้เลย
ส่วนผู้อ่านที่มีข้อสังสัยว่าความละเอียดภาพ 16 ล้านพิกเซลใน Galaxy Note 4 เทียบกับ 8 ล้านพิกเซลใน iPhone 6 Plus จะมีประโยชน์อย่างไร ลองรับชมภาพประกอบด้านบน
สุดท้ายถึงเวลาชำแหละฟีเจอร์เด่นของกล้องหน้ากับ Wide Selfie จากภาพประกอบด้านบนคงจะพอเข้าใจรูปแบบการทำงานของฟีเจอร์ดังกล่าวแล้วว่า Wide Selfie จะเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาการเซลฟีแบบกลุ่มที่กำลังเริ่มได้รับความนิยมได้ง่ายด้วยการใช้หลักการพาโนรามาแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ตรงกลาง ซ้าย และขวา จากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นระบบจะรวมเป็นภาพเดียวด้วยมุมมองกว้าง 120 องศา
แน่นอนว่า Wide Selfie จะต่างจากเซลฟีด้วยกล้องหน้าปกติที่จะได้มุมภาพที่แคบกว่าเป็นเท่าตัว แม้ปัจจุบันหลายแบรนด์จะพัฒนากล้องหน้าให้มาพร้อมเลนส์มุมกว้างพิเศษแล้วก็ตาม แต่ถ้ามองในความเป็นจริง ถึงอย่างไรฟีเจอร์ Wide Selfie ก็ให้ผลลัพท์ภาพมุมกว้างที่เหนือกว่า
สรุปจากรูปแบบการทดสอบทั้ง 7 รูปแบบ กับกล้องใน Samsung Galaxy Note 4 และ Apple iPhone 6 Plus ผู้อ่านหลายท่านคงได้เห็นถึงความแตกต่างและน่าจะตอบคำถามที่หลายท่านสงสัยกันได้
แต่ในมุมมองของผู้เขียนเอง ถ้าถามว่าตอนนี้ผลทดสอบทั้งหมดสามารถบอกได้หรือไม่ว่า กล้องใครเจ๋งกว่ากัน ก็คงต้องเรียนตามตรงว่า กล้องถ่ายภาพทั้งด้านหน้าและหลังของ Samsung Galaxy Note 4 ทำคะแนนได้ดีกว่า iPhone 6 Plus มาก โดยเฉพาะการเก็บรายละเอียด ไดนามิก สีสันภาพ Note 4 ทำได้ดีกว่า ในขณะที่คุณภาพไฟล์ภาพจาก iPhone 6 Plus นั้นแทบไม่แตกต่างจาก iPhone 5s ยกเว้นแค่เรื่องรับแสงในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น โฟกัสเร็วขึ้นและมาพร้อมฮาร์ดแวร์ป้องกันภาพกันสั่นที่คู่แข่งมีมาก่อนหน้าเป็นปีเท่านั้นจริงๆ
(cr.Manager)
โดยสื่อต่างประเทศหลายสำนัก เช่น PhoneArena หรือสื่อกระแสหลักอย่าง The Straits Times ก็ได้นำเสนอข้อมูลเทียบกล้องหลักของทั้ง iPhone 6 Plus และ Samsung Galaxy Note 4 และต่างยกย่อง Galaxy Note 4 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุด โดยเฉพาะเรื่องสีสัน การเก็บรายละเอียดภาพ และกล้องหน้าแบบกว้างพิเศษ 120 องศา ที่ทำคะแนนดีกว่า iPhone 6 Plus ทำให้ Galaxy Note 4 ได้คะแนนรวมสูงถึง 9 คะแนน ในขณะที่ iPhone 6 Plus ได้คะแนน 8.67 คะแนนเท่านั้น
อีกทั้ง Galaxy Note 4 ยังมีคะแนนทดสอบทุกด้านยอดเยี่ยมติดอันดับที่ 1 จากผลทดสอบสมาร์ทโฟน Flagship หรือมือถือรุ่นที่แรงที่สุดสเปคดีที่สุดของแต่ละยี่ห้อในช่วงเวลาปัจจุบัน 7 รุ่นที่วางตลาดในปัจจุบัน วันนี้ก็ถือเป็นฤกษ์ดีที่เราได้รับสมาร์ทโฟนสุดฮิตทั้งสองรุ่นมาทดสอบกันอย่างละเอียดโดย ผลทดสอบจะเป็นอย่างไรติดตามได้ต่อจากนี้
ตรวจสเปคกล้อง
ก่อนจะเข้าสู่ส่วนทดสอบประสิทธิภาพกล้อง เรามาสำรวจสเปคกล้อง Samsung Galaxy Note 4 และ Apple iPhone 6 Plus กันก่อน เริ่มจาก Apple iPhone 6 Plus ความละเอียดภาพสูงสุดจะอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล (3,264x2,448 พิกเซล) ระยะเลนส์ที่เลือกใช้เมื่อเทียบกับกล้องฟูลเฟรม 35 มิลลิเมตร อยู่ที่ 29 มิลลิเมตร พร้อมปรับเพิ่มระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบฮาร์ดแวร์ (Optical Image Stabilization) และใส่เซ็นเซอร์ออโต้โฟกัสแบบ Phase Detection ที่ช่วยให้ระบบออโต้โฟกัสทำงานได้รวดเร็วขึ้นในที่มีแสงน้อยพร้อมไฟแฟลชแบบ LED ทูโทนที่แอปเปิลเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาภาพสว่างจ้าเวลาถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ ส่วนกล้องหน้าให้ความละเอียดภาพสูงสุด 1.2 ล้านพิกเซล ชุดเลนส์เป็นแบบเดียวกับไอโฟน 5s
มาถึง Samsung Galaxy Note 4 ความละเอียดภาพสูงสุดถูกเพิ่มเป็น 16 ล้านพิกเซล (3,456 x 4,608 พิกเซล) จากรุ่นก่อนหน้า ระยะเลนส์ที่เลือกใช้เมื่อเทียบกับฟูลเฟรม 35 มิลลิเมตร จะอยู่ที่ 31 มิลลิเมตร พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบฮาร์ดแวร์ (Optical Image Stabilization) ไฟแฟลชแบบ LED ดวงเดียวแต่ควบคุมความเข้มของแสงผ่านซอฟต์แวร์ในสมาร์ทโฟน ในส่วนของกล้องหน้าค่อนข้างโดดเด่นจากคู่แข่งมาก เพราะซัมซุงเลือกปรับเปลี่ยนเลนส์กล้องใหม่ให้มีความกว้างมากขึ้นและรองรับความละเอียดภาพสูงถึง 3.7 ล้านพิกเซลพร้อม Beauty Mode หน้าใส เด้ง ไร้สิว และฟีเจอร์พิเศษ Wide Selfie ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพเซลฟีกลุ่ม มากกว่า 5 คนขึ้นไป ได้ง่ายด้วยมุมกล้องที่สามารถถ่ายได้กว้างถึง 120 องศา
อีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้สเปคกล้องถ่ายภาพก็คือ ส่วนเซ็นเซอร์รับภาพที่ต่างคนต่างปรับแต่งใหม่เพื่อจุดประสงค์เดียวกันคือการรับแสงในที่แสงน้อยจะทำได้ดีขึ้นรวมถึงไดนามิก มิติของภาพที่ได้รับการพัฒนาขึ้น แต่ดูจากสเปคของเซ็นเซอร์ที่ปรับใหม่แล้ว ฝั่งซัมซุงจะได้เปรียบกว่าด้วยเซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ 1/2.6 นิ้ว รูรับแสงกว้างสุด f2.0 ในขณะที่ iPhone 6 Plus ใช้ขนาดเซ็นเซอร์รับภาพแค่ 1/3 นิ้วพร้อมรูรับแสงกว้าง f2.2 เท่านั้น
นอกจากนั้นด้วยสเปคของหน่วยประมวลผล Exynos 5433 Octa-core แบบ 64 บิต และแรมที่ให้มาถึง 3GB ใน Galaxy Note 4 ทำให้การถ่ายวิดีโอจะสามารถเลือกความละเอียดได้มากกว่า iPhone 6 Plus ถึง 4 เท่า (4K) ที่ความละเอียดสูงสุด 3,840x2,160 พิกเซล หรือจะเลือกความละเอียด 2K 1080p 720p หรือ 480p ในขณะที่ iPhone 6s สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด 1,920x1,080 พิกเซลขนาดเดียวเท่านั้น คนที่ต้องการใช้ไฟล์วิดีโอความละเอียดไม่สูงแบบเร่งด่วน อย่างไร Galaxy Note 4 จะตอบสนองได้ดีกว่า iPhone 6s ที่ต้องมานั่งแปลงวิดีโอให้เสียเวลาก่อนส่ง
และถ้านับรวมกับฟีเจอร์ตกแต่งภาพ โหมดถ่ายภาพอัตโนมัติแบบวิเคราะห์สถานการณ์ได้เอง และความอิสระในการปรับแต่งค่าต่างๆ Galaxy Note 4 ทำได้อิสระและเหนือชั้น iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาก เพราะแอปเปิลเน้นเรื่องการใช้งานที่ง่ายเกินไป ถึงแม้ตัวระบบ iOS 8 จะรองรับกับแอปพลิเคชัน กล้อง 3rd Party ติดตั้งเสริมภายหลังได้ แต่ก็เชื่อว่าคงไม่สะดวกเท่ากับระบบกล้องที่มีลูกเล่นมาให้ในตัวแน่นอน
กล้องใครเจ๋งกว่ากัน?
เริ่มกันที่ภาพแรก เป็นแสงธรรมชาติจากหน้าต่างที่อยู่ด้านขวาของภาพและจับโฟกัส วัดแสงบริเวณกึ่งกลาง สิ่งที่ได้หลังกดชัตเตอร์จะเห็นว่าเรื่องของการรับแสงและสีสันที่ได้ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่เมื่อลองรับชมแบบตัดภาพซูม 100% จะเห็นว่าด้านการเก็บรายละเอียดภาพ Galaxy Note 4 ทำได้ดีกว่า iPhone 6 Plus มาก ส่วนเรื่องสมดุลแสงขาวในส่วนของ iPhone 6 Plus จะติดโทนเหลือง อุ่นๆ ส่วน Galaxy Note 4 จะออกโทนฟ้า คอนทราสต์เข้มกว่า iPhone 6 Plus เล็กน้อย
ภาพที่สองกับการทดสอบไฟแฟลช โดย iPhone 6 Plus เป็นไฟแฟลช LED แบบทูโทน ขาว - ส้ม ส่วน Galaxy Note 4 เป็น LED สีขาวอย่างเดียว โดยการเลือกจุดวัดแสงจะอยู่ที่กลางฝ่ามือ ระยะถ่ายใกล้เคียงกันทั้งสองภาพ อาจแตกต่างที่มุมเล็กน้อยเนื่องจากถ่ายคนละรอบ
ผลลัพท์ที่ได้หลังกดชัตเตอร์ค่อนข้างแตกต่างกันชัดเจนมาก โดย iPhone 6 Plus ให้แสงแฟลชที่จ้ากว่าแถมติดโทนเหลืองเล็กน้อย รายละเอียดของลายมือไม่ชัดเจน ส่วน Galaxy Note 4 เก็บรายละเอียดของภาพได้ดีกว่ามาก แถมการควบคุมไฟแฟลชยังทำได้ดี เพราะก่อนถ่ายระบบจะยิงไฟแฟลชเพื่อวัดระยะโฟกัสและคำนวณการปล่อยแสงแบบหลักการเดียวกับกล้องดิจิตอลทั่วไป และเมื่อชัตเตอร์ทำงานแล้ว ระบบประมวลผลภาพภายในจะทำการเพิ่มความคมชัดและดึงรายละเอียดของภาพ รวมถึงจัดสมดุลของแสงอีกครั้ง
มาถึงการทดสอบในที่แสงน้อยมากระดับห้องมืดเหลือแค่แสงจากประตูเท่านั้น พบว่า ภาพรวมทั้ง iPhone 6 Plus และ Galaxy Note 4 ทำได้ค่อนข้างน่าพอใจ แต่เมื่อลองมองรายละเอียดให้ลึกลงไปจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ iPhone 6 Plus จะจัดการเรื่องสัญญาณรบกวนได้ดีพร้อมดึงรายละเอียดของภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่า แต่สำหรับเรื่องสีเป็นสิ่งที่ iPhone 6 Plus สอบตก เนื่องจากโทนสีทั้งหมดจะออกตุ่นๆ และเพี้ยนมาก
ลองมองดูง่ายๆ จากธนบัตร 500 บาท ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าธนบัตรใบนี้ต้องเป็นสีม่วง แต่ iPhone 6 Plus กลับให้สีธนบัตร 500 บาทใบนี้ออกเป็นสีม่วงออกปนเทาและมีติดสีเขียวเล็กๆ ในขณะที่ Galaxy Note 4 ให้สีม่วงที่ชัดเจนกว่า แถมการที่ตัวกล้องมีระบบวิเคราะห์ภาพที่ถ่ายและมองสถานการณ์แบบนี้เป็น Night Scene ทำให้ภาพถูกปรับส่วนความสว่างและความสดของสีที่ถูกความมืดมิดกลืนกินเพิ่มขึ้นอย่างอัตโนมัติด้วย
อีกหนึ่งสถานการณ์ที่ทีมงานปรับไปใช้โหมดพิเศษอย่าง HDR ที่มีใน iPhone 6 Plus และ Galaxy Note 4 ผลลัพท์ที่ได้ยอมรับว่า HDR แบบ Rich Tone ใน Note 4 ค่อนข้างแรงและทำให้หน้าจอสีแดงแสดงผลผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย ในขณะที่ iPhone 6 Plus ให้สีและรายละเอียดภาพที่ตรงกว่า
แต่เมื่อเราลองมาตัดซูมภาพ 100% หรือมองด้วยมุมมองภาพรวมบริเวณพลาสติกเหนือเข็มวัดความเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่าถึงแม้จะเปิด HDR แบบ Rich Tone ใน Galaxy Note 4 แต่รายละเอียดของภาพ โดยเฉพาะมิติ ไดนามิกภาพกลับเหนือกว่า iPhone 6 Plus ที่เมื่อเปิด HDR แล้ว มิติ ความลึก ไดนามิก และรายละเอียดภาพที่ได้จะต่ำลงมาก
มาดูเรื่องการใช้กล้องเป็นสแกนเนอร์คัดลอกเอกสารกันบ้าง การทดสอบก็ง่ายๆ เปิดไฟแฟลชและถ่ายตรงๆ กับหน้ากระดาษเอกสาร สิ่งที่เกิดขึ้น Galaxy Note 4 ทำได้ดีกว่าตามระเบียบ แถมไฟแฟลชยังยิงเป็นสีขาวช่วยให้สีกระดาษเหมือนจริงกว่า iPhone 6 Plus ที่สีออกน้ำตาล แถมตัวอักษรยังคมชัดสู้ Note 4 ไม่ได้เลย
ส่วนผู้อ่านที่มีข้อสังสัยว่าความละเอียดภาพ 16 ล้านพิกเซลใน Galaxy Note 4 เทียบกับ 8 ล้านพิกเซลใน iPhone 6 Plus จะมีประโยชน์อย่างไร ลองรับชมภาพประกอบด้านบน
สุดท้ายถึงเวลาชำแหละฟีเจอร์เด่นของกล้องหน้ากับ Wide Selfie จากภาพประกอบด้านบนคงจะพอเข้าใจรูปแบบการทำงานของฟีเจอร์ดังกล่าวแล้วว่า Wide Selfie จะเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาการเซลฟีแบบกลุ่มที่กำลังเริ่มได้รับความนิยมได้ง่ายด้วยการใช้หลักการพาโนรามาแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ตรงกลาง ซ้าย และขวา จากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นระบบจะรวมเป็นภาพเดียวด้วยมุมมองกว้าง 120 องศา
แน่นอนว่า Wide Selfie จะต่างจากเซลฟีด้วยกล้องหน้าปกติที่จะได้มุมภาพที่แคบกว่าเป็นเท่าตัว แม้ปัจจุบันหลายแบรนด์จะพัฒนากล้องหน้าให้มาพร้อมเลนส์มุมกว้างพิเศษแล้วก็ตาม แต่ถ้ามองในความเป็นจริง ถึงอย่างไรฟีเจอร์ Wide Selfie ก็ให้ผลลัพท์ภาพมุมกว้างที่เหนือกว่า
สรุปจากรูปแบบการทดสอบทั้ง 7 รูปแบบ กับกล้องใน Samsung Galaxy Note 4 และ Apple iPhone 6 Plus ผู้อ่านหลายท่านคงได้เห็นถึงความแตกต่างและน่าจะตอบคำถามที่หลายท่านสงสัยกันได้
แต่ในมุมมองของผู้เขียนเอง ถ้าถามว่าตอนนี้ผลทดสอบทั้งหมดสามารถบอกได้หรือไม่ว่า กล้องใครเจ๋งกว่ากัน ก็คงต้องเรียนตามตรงว่า กล้องถ่ายภาพทั้งด้านหน้าและหลังของ Samsung Galaxy Note 4 ทำคะแนนได้ดีกว่า iPhone 6 Plus มาก โดยเฉพาะการเก็บรายละเอียด ไดนามิก สีสันภาพ Note 4 ทำได้ดีกว่า ในขณะที่คุณภาพไฟล์ภาพจาก iPhone 6 Plus นั้นแทบไม่แตกต่างจาก iPhone 5s ยกเว้นแค่เรื่องรับแสงในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น โฟกัสเร็วขึ้นและมาพร้อมฮาร์ดแวร์ป้องกันภาพกันสั่นที่คู่แข่งมีมาก่อนหน้าเป็นปีเท่านั้นจริงๆ
(cr.Manager)
แก้ไขล่าสุด 25 พ.ย. 57 12:02 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google