อัลบัม Up All Night - One Direction

หลังจากโดดเด่นบนเวทีประกวดร้องเพลงด้วยการครองตำแหน่งที่ 3 จาก The X Factor ฤดูกาลที่ 7 ที่เมืองผู้ดีอังกฤษในปี 2010 ห้าหนุ่มวัยรุ่น วันไดเร็กชัน (One Direction) ที่ประกอบด้วย เลียม เพย์น (Liam Payne) แฮร์รี สไตล์ส (Harry Styles) เซย์น มาลิก (Zayn Malik) ลูอิส ทอมลินสัน (Louis Tomlinson) และ ไนล์ ฮอแรน (Niall Horan) ก็ได้เปิดตัวในฐานะศิลปินกลุ่ม พร้อมส่งอัลบั้มแรก Up All Night ให้แฟนๆ ได้รับฟังกัน

ภายในอัลบั้มประกอบด้วย 13 เพลงป๊อปร็อก เน้นไปทางสนุกสนานคึกคักในแบบวัยรุ่น ส่งซิงเกิลแรกด้วย What Makes You Beautiful ที่สร้างชื่อให้ทั้ง 5 หนุ่มเป็นที่รู้จักอย่างทั่วถึง เป็นเพลงป๊อปจังหวะสนุก พูดถึงสาวคนหนึ่งที่ขาดความมั่นใจ และไม่รู้ตัวเองเลยว่าน่าสนใจมากแค่ไหน ขณะที่ Gotta Be You มีกลิ่นอายบัลลาดช้าปานกลาง ว่าด้วยชายหนุ่มที่คร่ำครวญขอโอกาสแก้ตัวเรื่องความรักกับหญิงสาวอีกสักครั้ง

One Thing อีกหนึ่งซิงเกิลประชาสัมพันธ์อัลบั้ม เป็นเพลงป๊อปร็อกที่เริ่มต้นด้วยจังหวะช้าๆ ก่อนจะเร่งเครื่องสร้างความครึกครื้นภายหลัง เนื้อหาเกี่ยวกับการตามหาความรักของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาว ส่วนเพลงชื่อเดียวกับชื่ออัลบั้มในแนวอิเล็กโทรป๊อป Up All Night ผู้แต่งและโปรดิวซ์เพลงนี้ คือ แม็ตต์ สไควร์ (Matt Squire) ซึ่งเขาเคยร่วมงานกับนักร้องสาว เคที เพอร์รี (Katy Perry) ในเพลง I Kissed a Girl มาก่อน จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจนักถ้าจะได้ยินหนุ่มๆ เอ่ยชื่อถึงนักร้องสาวในเพลงนี้

ด้าน Tell Me A Lie เป็นอีกหนึ่งเพลงป๊อปเร่งจังหวะ ที่ได้นักร้องเสียงดี เคลลี คลาร์กสัน (Kelly Clarkson) เป็นหนึ่งในผู้แต่งเพลงนี้ เดิมทีเธอจะใช้เพลงนี้ในอัลบั้ม Stronger ของตัวเอง แต่สุดท้ายเธอก็ส่งมอบให้หนุ่มๆ วัยใสเป็นผู้ถ่ายทอดแทน ฟากเพลงป๊อปร็อก I Want ที่มีความโดดเด่นด้วยเสียงเปียโนและเพิ่มความหนักแน่นด้วยเสียงของกลอง ได้หนุ่ม ทอม เฟล็ตเชอร์ (Tom Fletcher) สมาชิกวง แม็กฟลาย (McFly) เป็นผู้เขียนเนื้อหาของเพลง

อย่างไรก็ตาม ยังมีบางเพลงที่มาในจังหวะช้าปานกลาง แสดงพลังเสียงของสมาชิกแต่ละคน เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับอัลบั้มเปิดตัว อย่างเพลง More Than This หนึ่งเพลงบัลลาดนุ่มเจือเสียงสังเคราะห์ บอกเล่าความรู้สึกเจ็บปวดจากการหลงรักใครสักคนหนึ่งที่มีเจ้าของอยู่แล้ว กับ Taken หนึ่งเพลงสำคัญสำหรับ 5 หนุ่ม เพราะพวกเขามีส่วนร่วมในการแต่งเพลงนี้ร่วมกับนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ โทบี แกด (Toby Gad) นั่นเอง