ความทรมานที่ควรรู้ก่อนคิดฆ่าตัวตาย #1
27 ส.ค. 55 14:13 น. /
ดู 3,553 ครั้ง /
38 ความเห็น /
30 ชอบจัง
/
แชร์
เรื่องมันอาจจะแหวกแนวไปนิดนึงแต่ผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์ ต่อคนที่มีความคิดหุนหันใจเร็ว เพราว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาผมได้เห็นคนที่ฆ่าตัวตาย ทั้งตั้งใจจริงๆ หรือแค่ประชดหรือหลอกคนอื่น..... และก็เห็นทั้งสองพวกนี้ที่ตายจริงและไม่ตาย บางคนได้ตายสมใจ บางคนไม่ได้กะจะตายแต่ก็ตาย แต่หลายๆคนไม่ตายแถมยังต้องทนทรมานไปตลอดชีวิต
ก็เลยเอามาเล่า แต่ก็ขอให้ชั่งใจก่อนอ่านแล้วกัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้อยู่เวรดึก ตอนตี3ก็มีคนไข้โดนเข็นเข้ามาโดนนอนนิ่งไม่พูดอะไร มีคนนำส่งบอกว่ากินยาฆ่าตัวตาย พอไปถึงปลุกยังไงก็ไม่ตื่นแต่พอเปิดเปลือกตา ตาก็จ้องประสานกันก่อนที่จะรีบหลบ ก็เลยปลุกด้วยวิธีการทดสอบความรู้สึกตัวคือกดที่กระดูกสันอก ผลคือฟื้น
"กินยาอะไรมา" ผมถาม.........พลางตรวจร่างกายไปด้วย
"จะตอบหรือไม่ตอบ ถ้าไม่ตอบล้างท้องนะ.........พี่ ขอsetล้างท้อง เอา3ลิตรยาชาไม่ต้อง" ผมพูดออกไป ทั้งที่รู้ว่ายาชาน่ะ ตามปกติก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว
คงจะได้ยินสามลิตรและไม่เอายาชา เขาก็เลยตอบออกมา "กินพาราไปยี่สิบเม็ด"
ความรู้ : ยาพาราเซตตามอล เวลาเข้าไปในร่างกายจะโดนทำลายที่ตับ ขั้นตอนการกำจัดยาออกไปจะเกิดสารพิษต่อตับ ซึ่งปริมาณที่เป็นพิษ คำนวณคร่าวๆก็อยู่ที่15-20เม็ดในคราวเดียว ซึ่งระดับเพียงเท่านี้ ทำให้ตับทั้งใบ เจ๊งไปในทีเดียวได้
ผมก็เลยจัดการเรื่องล้างท้อง และใส่ผงถ่านดูดพิษ ลองถามถึงเรื่องยาชนิดอื่นๆก็ไม่ปรากฎว่ามี หลังล้างท้อง ซึ่งก็ล้างกันจนหน้าดำหน้าแดง(หน้าคนไข้) เราก็เริ่มกระบวนการที่ทรมานที่สุดในการรักษา
นั่นคือกินยาถอนพิษ.........
ยาถอนพิษของพารา ที่จริงแล้วคนทั่วไปใช้มันในแง่ของการขับเสมหะโดยเอาผงมาละลายน้ำแล้วดื่มน้ำมากๆ..... กินแล้วชื่นใจดีกินทีละซอง
แต่นี่ต้องกินครั้งแรก 50กว่าซอง.........(แหวะ)
และหลังจากนั้นผมก็ส่งขึ้นหอผู้ป่วยและสั่งให้ "ให้ยาตัวนี้25ซองละลายน้ำ ให้ทุก4ชั่วโมง" และไม่ลืมที่จะไม่สั่งยาแก้คลื่นไส้ให้ไปด้วย อยากได้ไปขอเอาเอง...... ว่ากันว่าคนที่เคยโดนการรักษาแบบนี้จะคลื่นไส้และไม่คิดฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้อีกเลย
แต่ความทรมานยังไม่หมด สำหรับบางคนที่กินมามากๆ และทิ้งช่วงนานจนยาดูดซึมเข้าไปมาก ยาก็จะทำลายตับ
ตับคนเรามีหน้าที่กำจัดของเสียและสร้างสารต่างๆไว้ใช้ในร่างกาย พอตับเจ๊ง ร่างกายก็แย่ อวัยวะระบบอื่นๆก็เสียหายและตายในที่สุด ก่อนตายหลายคนมีอาการเพ้อ ตัวเหลืองตาเหลืองไม่รู้สติ..... ทรมานทั้งตนเองและญาติพี่น้อง
ดังนั้นพาราเซตตามอล ไม่ใช่ยาที่เหมาะในการกินประชดถ้าไม่คิดจะตายจริง .... หากจะประชดลองวิตามินซีจะดีกว่า
-----
ของต่อไปที่ไม่อยากให้ลองคือ พวกยาฆ่าหญ้า
เมื่อตอนสมัยเรียนหมอได้ไม่นาน ได้รับคนไข้ผู้หญิงคนนึง อมยาฆ่าหญ้าแกล้งประชดสามี ให้เข้าใจผิดว่าจะฆ่าตัวตาย.........
หลังเข้าใจกันได้ ไม่นานก็เกิดอาการผิดปกติ เหนื่อย หอบ และมาเข้าโรงพยาบาล ได้ตรวจเต็มที่ และพบว่า ยาฆ่าหญ้าได้ทำลายปอดไปแล้ว
ญาติๆร้องห่มร้องไห้ ขอให้หมอหายาถอนพิษและรักษาให้หาย......... แต่โชคร้ายที่ไม่มียาถอนพิษ มีแต่การประคับประคองอาการและประคองระบบต่างๆที่แย่ไปแล้วให้ดีขึ้น
สำหรับรายนี้ นอนเหนื่อยหอบใส่ท่อช่วยหายใจ และก็ตายไปในสัปดาห์ที่สอง เป็นสองสัปดาห์แห่งความทรมานทั้งคนไข้ ญาติ และผู้รักษา
พิษของยาฆ่าหญ้า จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย และทำลายอวัยวะที่ใช้ออกซิเจนทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่ปอดจะโดนทำลายมากที่สุด และยิ่งให้ออกซิเจน การทำลายก็จะยิ่งมากขึ้น ยังไม่มีการรักษาที่รับรองว่าจะหายเลย...... เมื่อก่อนผู้ป่วยส่วนใหญ่ตายทั้งสิ้น รวมทั้งรายนี้ที่แค่อม ยังไม่ได้แม้แต่จะกลืนเข้าไป
แม้แต่เมื่อก่อนโน้น ก็เคยมีกรณีนักเรียนแพทย์ศิริราช ที่เวลาก่อนสอบมักจะซื้อบ๊วยเค็มมากินเพื่อให้ตาแข็งอ่านหนังสือได้ดึกๆ สมัยนั้นร้านที่ซื้อประจำคือร้านที่อยู่ตรงข้ามโรงพยาบาล อยู่มาวันหนึ่งหลังสอบ ก็เกิดอาการเหนื่อยขึ้น ได้ไปตรวจและรักษา มีอาจารย์หลายๆท่านมาช่วยกัน แต่ก็ยื้อชีวิตไว้ไม่ได้ จากการตรวจสอบ ภายหลังพบว่ามีการคลุกยากับบ๊วยเพื่อกันแมลง เหตุการณ์นี้ผ่านมายี่สิบปี เพื่อนๆของนักเรียนแพทย์คนนั้นมาเป็นอาจารย์กันหลายคน ต่างก็ศึกษางานวิจัยใหม่ๆในเรื่องนี้เสมอทั้งที่ไม่ได้เป็นสาขาที่ตนอยู่ ..... อัตราการตายก็นับว่ายอมรับได้ แต่สิ่งที่พูดเหมือนกันคือ
เป็นแล้วไม่ว่าหายหรือตาย ทรมานกันทั้งนั้น
ดังนั้นยาฆ่าหญ้าเป็นอะไรที่ไม่ควรลอง ไม่ว่าจะฆ่าตัวตายจริงหรือประชด
เครดิท: http://writer.dek-ดี.com/pharjung/s.........&chapter=21
ก็เลยเอามาเล่า แต่ก็ขอให้ชั่งใจก่อนอ่านแล้วกัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้อยู่เวรดึก ตอนตี3ก็มีคนไข้โดนเข็นเข้ามาโดนนอนนิ่งไม่พูดอะไร มีคนนำส่งบอกว่ากินยาฆ่าตัวตาย พอไปถึงปลุกยังไงก็ไม่ตื่นแต่พอเปิดเปลือกตา ตาก็จ้องประสานกันก่อนที่จะรีบหลบ ก็เลยปลุกด้วยวิธีการทดสอบความรู้สึกตัวคือกดที่กระดูกสันอก ผลคือฟื้น
"กินยาอะไรมา" ผมถาม.........พลางตรวจร่างกายไปด้วย
"จะตอบหรือไม่ตอบ ถ้าไม่ตอบล้างท้องนะ.........พี่ ขอsetล้างท้อง เอา3ลิตรยาชาไม่ต้อง" ผมพูดออกไป ทั้งที่รู้ว่ายาชาน่ะ ตามปกติก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว
คงจะได้ยินสามลิตรและไม่เอายาชา เขาก็เลยตอบออกมา "กินพาราไปยี่สิบเม็ด"
ความรู้ : ยาพาราเซตตามอล เวลาเข้าไปในร่างกายจะโดนทำลายที่ตับ ขั้นตอนการกำจัดยาออกไปจะเกิดสารพิษต่อตับ ซึ่งปริมาณที่เป็นพิษ คำนวณคร่าวๆก็อยู่ที่15-20เม็ดในคราวเดียว ซึ่งระดับเพียงเท่านี้ ทำให้ตับทั้งใบ เจ๊งไปในทีเดียวได้
ผมก็เลยจัดการเรื่องล้างท้อง และใส่ผงถ่านดูดพิษ ลองถามถึงเรื่องยาชนิดอื่นๆก็ไม่ปรากฎว่ามี หลังล้างท้อง ซึ่งก็ล้างกันจนหน้าดำหน้าแดง(หน้าคนไข้) เราก็เริ่มกระบวนการที่ทรมานที่สุดในการรักษา
นั่นคือกินยาถอนพิษ.........
ยาถอนพิษของพารา ที่จริงแล้วคนทั่วไปใช้มันในแง่ของการขับเสมหะโดยเอาผงมาละลายน้ำแล้วดื่มน้ำมากๆ..... กินแล้วชื่นใจดีกินทีละซอง
แต่นี่ต้องกินครั้งแรก 50กว่าซอง.........(แหวะ)
และหลังจากนั้นผมก็ส่งขึ้นหอผู้ป่วยและสั่งให้ "ให้ยาตัวนี้25ซองละลายน้ำ ให้ทุก4ชั่วโมง" และไม่ลืมที่จะไม่สั่งยาแก้คลื่นไส้ให้ไปด้วย อยากได้ไปขอเอาเอง...... ว่ากันว่าคนที่เคยโดนการรักษาแบบนี้จะคลื่นไส้และไม่คิดฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้อีกเลย
แต่ความทรมานยังไม่หมด สำหรับบางคนที่กินมามากๆ และทิ้งช่วงนานจนยาดูดซึมเข้าไปมาก ยาก็จะทำลายตับ
ตับคนเรามีหน้าที่กำจัดของเสียและสร้างสารต่างๆไว้ใช้ในร่างกาย พอตับเจ๊ง ร่างกายก็แย่ อวัยวะระบบอื่นๆก็เสียหายและตายในที่สุด ก่อนตายหลายคนมีอาการเพ้อ ตัวเหลืองตาเหลืองไม่รู้สติ..... ทรมานทั้งตนเองและญาติพี่น้อง
ดังนั้นพาราเซตตามอล ไม่ใช่ยาที่เหมาะในการกินประชดถ้าไม่คิดจะตายจริง .... หากจะประชดลองวิตามินซีจะดีกว่า
-----
ของต่อไปที่ไม่อยากให้ลองคือ พวกยาฆ่าหญ้า
เมื่อตอนสมัยเรียนหมอได้ไม่นาน ได้รับคนไข้ผู้หญิงคนนึง อมยาฆ่าหญ้าแกล้งประชดสามี ให้เข้าใจผิดว่าจะฆ่าตัวตาย.........
หลังเข้าใจกันได้ ไม่นานก็เกิดอาการผิดปกติ เหนื่อย หอบ และมาเข้าโรงพยาบาล ได้ตรวจเต็มที่ และพบว่า ยาฆ่าหญ้าได้ทำลายปอดไปแล้ว
ญาติๆร้องห่มร้องไห้ ขอให้หมอหายาถอนพิษและรักษาให้หาย......... แต่โชคร้ายที่ไม่มียาถอนพิษ มีแต่การประคับประคองอาการและประคองระบบต่างๆที่แย่ไปแล้วให้ดีขึ้น
สำหรับรายนี้ นอนเหนื่อยหอบใส่ท่อช่วยหายใจ และก็ตายไปในสัปดาห์ที่สอง เป็นสองสัปดาห์แห่งความทรมานทั้งคนไข้ ญาติ และผู้รักษา
พิษของยาฆ่าหญ้า จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย และทำลายอวัยวะที่ใช้ออกซิเจนทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่ปอดจะโดนทำลายมากที่สุด และยิ่งให้ออกซิเจน การทำลายก็จะยิ่งมากขึ้น ยังไม่มีการรักษาที่รับรองว่าจะหายเลย...... เมื่อก่อนผู้ป่วยส่วนใหญ่ตายทั้งสิ้น รวมทั้งรายนี้ที่แค่อม ยังไม่ได้แม้แต่จะกลืนเข้าไป
แม้แต่เมื่อก่อนโน้น ก็เคยมีกรณีนักเรียนแพทย์ศิริราช ที่เวลาก่อนสอบมักจะซื้อบ๊วยเค็มมากินเพื่อให้ตาแข็งอ่านหนังสือได้ดึกๆ สมัยนั้นร้านที่ซื้อประจำคือร้านที่อยู่ตรงข้ามโรงพยาบาล อยู่มาวันหนึ่งหลังสอบ ก็เกิดอาการเหนื่อยขึ้น ได้ไปตรวจและรักษา มีอาจารย์หลายๆท่านมาช่วยกัน แต่ก็ยื้อชีวิตไว้ไม่ได้ จากการตรวจสอบ ภายหลังพบว่ามีการคลุกยากับบ๊วยเพื่อกันแมลง เหตุการณ์นี้ผ่านมายี่สิบปี เพื่อนๆของนักเรียนแพทย์คนนั้นมาเป็นอาจารย์กันหลายคน ต่างก็ศึกษางานวิจัยใหม่ๆในเรื่องนี้เสมอทั้งที่ไม่ได้เป็นสาขาที่ตนอยู่ ..... อัตราการตายก็นับว่ายอมรับได้ แต่สิ่งที่พูดเหมือนกันคือ
เป็นแล้วไม่ว่าหายหรือตาย ทรมานกันทั้งนั้น
ดังนั้นยาฆ่าหญ้าเป็นอะไรที่ไม่ควรลอง ไม่ว่าจะฆ่าตัวตายจริงหรือประชด
เครดิท: http://writer.dek-ดี.com/pharjung/s.........&chapter=21
แก้ไขล่าสุด 27 ส.ค. 55 14:15 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
มุมสมาชิก กระทู้ล่าสุดโดย ต.เต่าตัวเตี้ย
- มาช่วยกันนะ 1 แชร์ = 1 มื้ออาหาร ให้น้องหมาไร้บ้าน (เบ็ดเตล็ด)
- มาโชว์ห้องนอนเรากัน (เบ็ดเตล็ด)
- มาจุดเทียนชัยถวายพระพรผ่านเว็ปกันเถอะ (เบ็ดเตล็ด)
- เดินตัดหน้ารถเทรลเลอร์18+ (เบ็ดเตล็ด)
- 36 ชั่วโมง ชีวิตแพทย์ใช้ทุน (เบ็ดเตล็ด)
- [Fairy Tail] หนังสือคูสร้างคู่สมพาดพิงถึงแฟรี่ว่าเป็น"การ์ตูนเคลือบยาพิษ" (เบ็ดเตล็ด)
- กระทู้โดย ต.เต่าตัวเตี้ย ทั้งหมด
แสดงกระทู้ล่าสุดโดยเปิด มุมสมาชิก และเลือกแสดงกระทู้ที่ตั้ง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google