Review อัลบั้ม "RED" :: Taylor Swift Thailand

20 ต.ค. 55 20:48 น. / ดู 2,648 ครั้ง / 8 ความเห็น / 3 ชอบจัง / แชร์


ณ เวลา ตี 3.25 ของคืนวันที่ 17 ตุลาคม แอดมินกำลังจะปิดไฟเพื่อเตรียมตัวเข้านอน กะว่าวันนี้ตั้งใจจะนอนเร็วกว่าปกติไม่เกินตี 4 นั่งเล่นอินเตอร์เน็ตในโทรศัพท์ได้ซักพัก.... มีโอกาสได้เปิดดูฟอรั่มแฟนคลับเทย์เลอร์แห่งหนึ่ง ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจมันกลับเข้ามาในใจของแอดมินอีกครั้ง เมื่อมีเพื่อนแฟนคลับเทย์เลอร์คนหนึ่งโพสรูปภาพอัลบั้ม RED ทั้งข้างหน้า ข้างหลัง ข้างในสมุดเนื้อเพลง หลังจากนั้นอีกไม่เกิน 20 นาที อัลบั้มแบบเต็มๆก็หลุดออกมาหมดทั้ง 16 เพลง ผู้คนทั่วอินเตอร์เน็ตต่างแตกตื่นและหาลิงค์ดาวน์โหลดกันกระเจิง ด้วยความที่อยากรู้อยากเห็น แอดมินก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ หน้าแดงกร่ำ มือเย็นเฉียบ รู้แล้วว่าคืนนี้คงนอนไม่หลับจริงๆถ้าไม่ได้ดาวน์โหลดมาฟัง ขอโทษเทย์เลอร์ในใจว่าวันนี้ขอแอบฟังก่อน ถ้าอัลบั้มมาอย่างเป็นทางการแล้วจะรีบไปซื้อทันทีเลย... ราวเกือบตี 5 ลิงค์ดาวน์โหลดใกล้ดาวน์โหลดเสร็จพอดี พร้อมเอา USB ลงแล้วเสียบเข้าเครื่อง MP3 ในห้องนอน แล้วก็ฟัง...... วันนั้นได้นอนจริงๆก็ราวๆ 8 โมงเช้าอะครับ Zzzzz's ส่วนสาเหตุที่อัลบั้มหลุดออกมาครั้งนี้ จากคนในทัมเบอร์เล่าคร่าวๆ บอกว่าเป็นเพราะร้านค้า Walmart ในรัฐเมสซาซูเสสและร้าน Walgreens ในนิวยอร์คเผลอเอาอัลบั้มเข้าแผงไปครับ งานนี้ต้องดูกันอีกทีว่าทางค่ายเพลงของเทย์เลอร์ Big Machine จะทำอย่างไรกับพนักงานร้านหน้ามึนพวกนี้บ้าง เพราะดูจากทวิตเตอร์ของ Scott Borchetta ประธานบริษัทค่ายเพลง คงโกรธน่าดูเอามากๆครับ
อัลบั้ม RED ของเทย์เลอร์นั้น รวบรวมประสบการณ์ในชีวิตของเธอในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องความรักที่เป็นธีมอยู่ทุกอัลบั้มของเทย์เลอร์ เธออธิบายเกี่ยวกับอัลบั้มนี้ว่า, "ความรักที่เข้มข้น ความหลงไหล ความโกรธแค้น ความอิจฉาริษยา เมื่อกลับมามองมันอีกครั้ง มันก็คงเป็น'สีแดง'อยู่เสมอ" และเธอยังบอกอีกว่า "เธอชอบเขียนเพลงเกี่ยวกับความรัก เพราะมันเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและสามารถอธิบายได้ในหลายๆวิธี" จากที่แอดมินฟังอัลบั้มนี้ครั้งแรก รู้สึกมันไม่ติดหูเหมือนอัลบั้มก่อนๆเลยครับ อาจเป็นเพราะโปรดักชั่นของอัลบั้มที่ดูจะ "เรียบง่าย" มากขึ้น ผิดกับอัลบั้ม Speak Now ในอัลบั้มนี้ไม่มีเพลงที่มีโปรดักชั่นใหญ่ๆอย่างเพลง "Enchanted", "Haunted" หรือแม้แต่ "Back To December" ส่วนใหญ่ทุกเพลงเป็นอะคูสติก ผสมกลิ่นอายของร็อค อินดี้ และป็อปอีก 35% แฟนคลับเทย์เลอร์ที่ชอบดนตรีคันทรี่ก็คงดีใจนะครับ เพราะคนเดิมของเธอไม่ได้ทิ้งพวกเราไปไหน...

เริ่มต้นที่แทร็คแรกของอัลบั้มครับ, "State of Grace" แทร็คนี้ต้องขอบอกเลยว่าแอดมินชอบมากที่สุดในอัลบั้ม คุ้มค่ากับการรอคอยอัลบั้มใหม่ของเทย์เลอร์มา 2 ปี แนวดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อคสไตล์ U2 กับ Coldplay เป็นอะไรที่แตกต่างกับเทย์เลอร์มากทั้งในด้านเสียงและโปรดักชั่น เพลงนี้เกี่ยวกับการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่กำลังเร่าร้อนครับ เธอบรรยายเกี่ยวกับความรักเมื่อเธอกับคนรักของเธออยู่กันสองต่อสอง "You come around and the armor falls / Pierce the room like a cannon ball / Now all we know, is don’t let go"  ผิดไหมครับถ้าแอดมินอยากให้เทย์เลอร์ทำแนวนี้ในอัลบั้มหน้ามากขึ้น? ซาวน์ดีจนน่าทึ่ง เนื้อเพลงแต่งได้ยอดเยี่ยม ถ้าปล่อยออกมาเป็นซิงเกิลปีหน้า แอดมินการันตีว่าจะต้องเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่มีศักยภาพที่จะเข้าชิงในงานประกาศผลรางวัล Grammys 2014 สาขา Song of the Year และ Record of the Year แน่นอนครับ

ใครที่ชอบเพลงในอัลบั้ม Fearless มาก อาจต้องชอบเพลง "Red" มากแน่ๆครับ ติดหูดี สไตล์คันทรี่-ป็อป ต้องขอชมโปรดิวเซอร์อย่าง Nathan Chapman และ Dan Huff มากๆครับเพราะโปรดักชั่นยอดเยี่ยมจริงๆ เนื้อเพลงแอดมินดูว่าธรรมดาไปหน่อยครับ โดยเฉพาะคลอรัส ซึ่งเปรียบสีกับอารมณ์ของเธอ, "Losing him was blue, like I'd never known / Missing him was dark gray, all alone / Forgetting him was like trying to know somebody you've never met / But loving him was red", หลังจากที่ได้เลิกรากับคนรักของเธอ เธอไม่สามารถลืมเขาได้, "Remembering him comes in flashbacks and echoes / Tell myself it's time now gotta let go"


ในอัลบั้ม Speak Now เธอแต่งเพลงเองคนเดียวทั้งหมด 14 เพลง ในอัลบั้มนี้เธอได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ถึง 7 คนด้วยกันครับ เธอกล่าวกับ LA Times ว่า เธออยากร่วมงานกับศิลปิน/โปรดิวเซอร์ที่เธออยากร่วมงานมาโดยตลอด, "ฉันอยากรู้ว่า Jeff Bhasker ทำเสียงกลองในเพลงยังไง, ฉันอยากดู Max Martin แต่งท่อน พรี-คลอรัส ที่มันจะติดอยู่ในหัวคุณให้มากที่สุดเท่ากับท่อนคลอรัส ฉันอยากเห็นเขาแนะนำการแต่งท่อนฮุค หรือท่อนบริดจ์ที่ฟังแล้วเหมือนท่อนคลอรัสอีกท่อนหนึ่ง ฉันอยากเห็นว่าเพลงของฉันมันจะออกมาเป็นยังไง ฉันชอบนะที่ทุกคนมีขั้นตอนของตัวเอง ฉันคิดว่ามาร่วมงานกับพวกเขา มันทำให้ฉันดูมีสีสันมากขึ้น", เพลง "Treacherous" เธอแต่งและโปรดิวซ์กับ Dan Wilson ครับ โปรดิวเซอร์เจ้าเก่าของ Adele ผลงานเพลง Someone Like You; เพลงนี้เป็นเพลงที่ฟังแล้วทุกคนต้องเคลิ้ม เป็นหนึ่งในเพลงที่เทย์เลอร์แต่งได้เซ็กซี่กินใจมากที่สุด อะคูสติกช้าๆกลิ่นอายคันทรี เธอรู้ว่าความรักของเธอกับคนรัก ณ ตอนนี้ แม้มันจะไม่มั่นคง แต่เธอเลือกที่จะอยู่กับเขาและก็ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้, "And i'd be smart to walk away / But you're quick sand"

เทย์เลอร์รู้ว่าทำอัลบั้มมีแต่แนวเพลงคันทรีคงน่าเบื่อ และผู้คนอาจวิจารณ์กันว่าเพลงโน้นของเธอทำไมฟังแล้วมันเหมือนกับเพลงนี้ของเธอจัง อีกอย่างในเพลย์ลิสต์ iPod ของเธอที่ทาง USA Today โพสต์เมื่อหลายปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนชอบหลายแนวเพลงจริงๆ, "ฉันชอบฟังเพลงของ Rihanna, Chris Brown และฉันก็รัก Wiz Khalifa มากๆด้วย", เธอกล่าวกับสื่อเมื่อหลายเดือนที่แล้ว ในอัลบั้ม RED เธอเลือกที่จะร่วมงานกับ Max Martin และ Shellback ดูโอ้ที่โปรดิวซ์เพลงให้กับป็อปสตาร์มาแล้วนับไม่ถ้วน เช่น Katy Perry, Pink, Kelly Clarkson และ Avril Lavigne 3 เพลงที่ดูโอ้คู่นี้โปรดิวซ์กันก็จะมี ซิงเกิลฮิตติดชาร์ทอันดับ #1 Billboard Hot 100 "We Are Never Ever Getting Back Together", เพลงธีมปาร์ตี้สาวโสด "22", และเพลง "I Knew You Were Trouble." ที่เป็นไฮไลท์อีกเพลงของอัลบั้มนี้ซึ่งนำดนตรี 'ดับสเต็ป' มาใช้ในท่อนคลอรัสด้วย จะว่าไปเพลงทั้ง 3 เพลงนี้ฟังแล้วติดหูตั้งแต่ครั้งแรกเลยครับ แต่ถ้ามองในส่วนลึกของเทย์เลอร์ การแต่งเพลงดูต่ำกว่ามาตราฐานของเธอพอสมควร เช่นเดียวกับการแต่งเพลงในเพลง "Stay Stay Stay" ซึ่งแอดมินคิดว่าไม่ควรเลือกที่จะเอามาอยู่ในอัลบั้มเลย เป็นเพลงร็อคอินดี้ผสมกลิ่นอายคันทรี่ น่ารัก ใสๆ ไม่ยิ้มไม่ได้ถ้าได้ยินเพลงนี้

ช็อทเด็ทของอัลบั้ม RED คงหนีไม่พ้นเพลง "All Too Well" ร่วมแต่งกับ Liz Rose ซึ่งเคยแต่งเพลง You Belong With Me และ Teardrops On My Guitar มาแล้ว บัลลาดช้าๆอารมณ์เหงาหงอยเดียวดาย เกี่ยวกับการเลิกราความสัมพันธ์ซึ่งเธอยังคงจำเรื่องราวความรักกับคนรักเก่านั้นได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าให้เทียบกับผลงานก่อนๆ เพลงนี้เป็นเหมือนอีกสเต็ปนึงของเพลง Last Kiss ครับ ท่อน "We're dancing round the kitchen in the refrigerator light / Down the stairs I was there I remember it all too well" พูดถึงชั่วขณะที่ทั้งสองกำลังสวีตกันอยู่ อ่านเนื้อเพลงนี้แล้ว อารมณ์เหมือนอ่านโนเวลเลยครับ เป็นอีกหนึ่งแทร็คที่แต่งได้สุดยอดเช่นเดียวกัน เพลงบัลลาดคันทรีช้าๆในอัลบั้มนี้ก็จะมีอีก อย่างเพลง "I Almost Do" เพลงที่ชวนทำให้นึกถึงเพลงของ Colbie Caillat เธออยากให้ความสัมพันธ์กับคนรักของเธอดำเนินต่อ แต่เธอไม่กล้าที่จะกลับไปหาเขาอีก, "That in my dreams you’re touching my face / And asking me if I want to try again with you / And I almost do" และเพลงเศร้าอย่างเพลง "Sad Beautiful Tragic" ชวนทำให้นึกถึงเพลง Safe & Sound ผสมกับเพลง Last Kiss เข้าไป

ว่าๆไปเราไม่เคยเห็นเทย์เลอร์ทำดนตรีแนวเหมือนเพลง "Holy Ground" มาก่อนเลยครับ เพลงนี้โปรดิวซ์โดย Jeff Bhasker และก็แต่งโดยเทย์เลอร์คนเดียว แอดมินฟังครั้งแรกบอกตามตรงว่าไม่ชอบเลยครับ แต่ตอนนี้เริ่มเทใจให้แล้ว สไตล์เพลงเป็น drum driven ครับ เน้นกลองหนักๆ ท่อน verse ทำให้นึกถึงแนวเพลงที่ Avril Lavigne มักร้อง, "Tonight I’m gonna dance for all that we’ve been through. / But I don’t wanna dance if I’m not dancing with you." คืนนี้เธอจะเต้นคนเดียวนึกถึงคนรักของเธอ แต่เธอก็ไม่อยากจะเต้นหรอก ถ้าเธอไม่ได้อยู่กับเขา เช่นเดียวกับเพลง "The Lucky One" ครับ ที่เห็นถึงความแตกต่างของเทย์เลอร์และก็เป็น drum driven, "Yeah, they’ll tell you now, you’re the lucky one. / But can you tell me now, you’re the lucky one.", ผู้คนอาจมองว่าเธอโชคดีที่เธอมีรถ มีที่ดิน มีชื่อเสียง มีเงินมากมองก่ายกอง แต่เธอตอบพวกเขากลับไปว่าพวกเขาโชคดีกว่าไหมที่เกิดมาเป็นคนธรรมดา

มาดูเพลงร้องประสานเสียงในอัลบั้มนี้กันบ้างครับ, เพลง "The Last Time" ที่ฟีเจอริ่งร่วมกับ Gary Lightbody จากวง Snow Patrol เป็นเพลงบัลลาดโรแมนติกครับ เริ่มต้นด้วยเปียโนที่เสียงดูเหงาหงอย Gary Lightbody เริ่มร้อง, "Found myself at your door /Just like all those times before / I’m not sure how I got there / All roads they lead me here." เป็นแทร็คที่ใครหลายๆคนชอบครับ เนื้อเพลงดูเป็นเพลงรักที่เป็นรูปแบบผู้ใหญ่มากขึ้น ถึงแม้ว่า ความเห็นส่วนตัว แอดมินคิดว่า เสียงของ Gary ไม่ค่อยเข้ากับเทย์เลอร์เหมือนกับเพลง "Everything Has Changed" ซึ่งเธอฟีเจอริ่งกับ Ed Sheeran ออกแนวอะคูสติก ซ็อฟท์ร็อคนิดหน่อย

เพลงรักได้รับบัลดาลใจจาก Ethel Kennedy และ Robert F. Kennedy, "Starlight" เทย์เลอร์กล่าวเกี่ยวกับเพลงนี้ผ่านทาง The Wall Street ว่า,"ฉันได้รับแรงบันดาลใจทางสไตล์แฟชั่นจากยุค 1960 ดังนั้นฉันจึงจะดูรูปขาวดำ และดูรูปจากยุด '50 หรือ '60 แล้วเห็นรูปๆหนึ่งที่เด็กสองคนกำลังเต้นรำกับ มันทำให้ฉันคิดทันทีอย่างฉับพลันเลยว่าพวกเขาสนุกสนานแค่ไหนในคืนนั้น มันราวปลายๆยุค '40 ฉันลงท้ายโดยอ่านคำบรรยายใต้รูปภาพนั้น และก็รู้ว่าพวกเขาเป็น Ethel Kennedy และ Robert F. Kennedy พวกเขาอายุประมาณ 17 ดังนั้นฉันจึงแต่งเพลงนั้นขึ้นมาจากที่นั้น ไม่รู้มากเท่าไหร่เกี่ยวกับว่าเขาพบกันยังไงหรืออะไรประมาณนั้นหรอก", เทย์เลอร์กล่าว เพลงนี้เป็นเพลงป็อปครับ ทำนองเร็วสนุกสนานคล้ายๆเพลง Sparks Fly

ปิดท้ายด้วยแทร็คสุดท้ายในอัลบั้ม "Begin Again" บัลลาดคันทรี่ที่ถ้าได้ฟังจะนึกถึงเทย์เลอร์คนเดิมในอัลบั้มแรกของเธอ เพลงนี้เธอได้พบกับคนรักคนใหม่ซึ่งเธอคิดว่าดีกว่าคนรักเก่าของเธอเอามากๆ เธอคิดในแง่ลบมาตลอดว่าความรัก ในท้ายที่สุดมันก็แค่ทำให้หัวใจเราแตกกระจาย เผาไหม้ และสลายไป เทย์เลอร์คิดถูกที่นำแทร็คนี้มาไว้เป็นแทร็คสุดท้ายครับ เข้ากับธีมอัลบั้มดี คือ เธอพร้อมที่จะดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้า หลังจากรักโรแมนติก, การทะเลาะกัน, การเลิกความสัมพันธ์กัน, การเจ็บปวดทุกทรมานกับคนรักคนเก่า และอีกอย่าง ยังเป็นเหมือน subliminal message ที่บอกราวกับประมาณ, "Begin playing 'my new album' Again" ท่อนที่กินใจมากที่สุด, "And we walk down the block to my car / And I almost brought him up / But you start to talk about the movies / That your family watches / Every single Christmas / And I won't talk about that for the first time / What's past is past"

สรุป: อัลบั้มนี้โชว์อีกสเต็ปของการเป็นศิลปินของเทย์เลอร์ ดีใจที่เธอกล้าที่จะทดลองเอาแนวเพลงใหม่ๆเข้ามาอยู่ในแค็ตตาล็อกผลงานเพลงของเธอด้วย ไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองยังไง แต่อัลบั้มนี้โชว์ให้แอดมินเห็นว่าเทย์เลอร์โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วจริงๆ นับจากนี้ คงต้องลองฟังอัลบั้มอีกหลายๆรอบ สำหรับคนที่ไม่ชอบอัลบั้ม RED เพลงพวกนี้แตกต่างจากอัลบั้ม Speak Now อย่างสิ้นเชิงทางด้านโปรดักชั่น แต่ในด้านการแต่งเพลงโดยรวมถือว่าดีกว่าและดูเป็นผู้ใหญ่กว่า เว้นแต่บางเพลง เช่น "22", "Stay Stay Stay" และ "We Are Never Ever Getting Back Togother"


ไฮไลท์ของอัลบั้ม: "State of Grace", "Red", "I Knew You Were Trouble.", "All Too Well", "The Last Time", "Begin Again"

ดูรายละเอียดวันวางแผงอัลบั้มในประเทศไทยได้ที่: https://www.facebook.com/taylorthailand
แก้ไขล่าสุด 20 ต.ค. 55 20:52 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | `น้องหลอดรักทุกคน | 20 ต.ค. 55 20:53 น.

อ่านเพลินดีค่ะ รีวิวอัลบั้มเร้ดดีสุดละ

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | ตัวส้ม'' | 20 ต.ค. 55 20:54 น.

ยาวมากกกกกกครับ

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | [IZIZIZI] | 20 ต.ค. 55 21:10 น.

อย่างนี้สิเรียกว่าการ Review ที่สมบูรณ์แบบ
me // นั่งคิดถึงเจ๊ส่วนสวย

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | `เหนียวเจ็บเส้น.+ | 20 ต.ค. 55 21:19 น.

ส่วนตัวแอบผิดหวังกับอัลบั้มนี้มาก เพราะคาดหวังไว้เยอะด้วยมั้ง คหสต เนอะ

ที่ชอบๆ ก็ Stayๆๆ กับ Sad Beautiful Tragic (ที่มีแต่คนไม่ชอบ ) สองเพลงอะ

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | Ro[c]ket=L@unchER | 20 ต.ค. 55 22:27 น.

review ซะกระทู้ข้างๆอย่างผมอายเลย
แต่ดีนะผมไม่เน้นรีวิว ผมเน้นแจกของ เอิ๊กๆๆๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | porsonal | 21 ต.ค. 55 00:38 น.

รีวิวดี ขอบคุณนะคะ

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | Surpisebitch! | 21 ต.ค. 55 16:11 น.

ขอบคุณมากค่ะ 

ไอพี: ไม่แสดง

#8 | ไดแอน | 25 ต.ค. 55 17:37 น.

ขอบคุณนะคะ

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google