วิธีเก่งอังกฤษด้วยตัวเอง

27 ก.พ. 56 02:53 น. / ดู 1,131 ครั้ง / 5 ความเห็น / 7 ชอบจัง / แชร์
จขกท. ไม่เคยเรียนพิเศษทั้งที่ก็อยากเรียนแต่แบบไม่ค่อยชอบออกนอกบ้าน (ไม่ใช่ว่าขี้เกียจนะ) แต่เป็นคนที่เรียนจากการฟังไม่ค่อยเข้าใจ คนเรามีวิธีการเรียนที่ต่างกัน ต้องเลือกวิธีที่เข้ากับตัวเองให้ได้ก่อน
ขอเกริ่น(ยาวๆ)ไว้ก่อนว่า จขกท. ไม่ถึงขั้นเก่ง แต่ก็อยู่ในระดับพอใช้ได้ (ดีกว่าแต่ก่อน)
ตอนอยู่ ม.ต้น จขกท.แบบโ ง่มาก เคยคิดเหมือนกันว่า ชาติไหนเราถึงจะเข้าใจ
ตอนนั้นแบบ ถอดใจและคิดกังวลไปถึงอนาคตนู่น แล้วตอน ม.3 อ่ะครูโค ตร โหดเลย
เลย แบบ วิชานี้ก รู กลัว 5555 แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คิดว่ามันเกิดขึ้นมันก็เป็นจริง
จขกท.ไม่เคยชอบดารานะ เคยแต่ชอบแบบผ่านๆ วันหนึ่งก็ได้ไปชอบศิลปินวงหนึ่ง
ในตอนแรก ตอนที่ศิลวงนี้ยังไม่เดบิวต์ ข่าวสารที่ออกมาก็มีแต่ภาษาที่3
คือ จีน,เกาหลี และอังกฤษ (ภาษาที่2)
แล้วตอนนั้นยังไม่มีแอดมินมาแปลให้เลย(เพราะยังไม่เดบิวต์) จขกท.ก็แบบอยากตามแบบความเคลื่อนไหวอะไรอย่างนี้
ใกล้ล้ะ 

วันแรกที่ จขกท.จำได้ จขกท.ได้ไปเอาหนังสือไวยากรณ์ที่ซื้อไว้นานมากแต่ไม่เคยอ่าน (เพราะอ่านไม่เข้าใจ) เอามาพิมพ์(ตามหนังสือเลย)กับแอดมินประเทศจีน ซึ่งคุยกันเป็นภาษาอังกฤษใน weibo เพราะว่า จขกท. ก็อยากได้เพื่อนที่ตามศิลปินวงนั้น ตอนนั้นเปิดหนังสือแล้วพิมพ์ตามไปเลยอ่ะ ตอนนั้นโ ง่มากสมองเป็น 0

แต่หลังจากนั้น จขกท. ก็นั่งอ่านไวยากรณ์ทุกวัน ซึ่งตอนนั้นคิดในใจว่า ถ้าเราไม่อ่านเราจะไม่รู้เรื่องนะ มันก็ทำให้ จขกท. เข้าใจง่ายขึ้น จนลองแปลดู  เพราะตอนนั้น จขกท. ก็อยากแปลเพื่อให้คนอื่นที่อยากติดตามได้อ่านเหมือนๆกัน

การแปล .....จะกล่าวถึงการแปล  / การอ่านคือการที่ทำให้เรารู้หลักไวยากรณ์ โครงสร้างของประโยค แต่ถ้าหากว่าเรารู้แต่ไม่ได้นำไปใช้ มันก็จะเป็นแค่ความรู้ที่เอาไปใช้ไม่ได้ซึ่งก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตอนแปลครั้งแรกอาจทำให้เรางงว่า เฮ้ ย ต้องแลยังไงถึงจะถูก (ใช่แล้วค่ะการที่เราเจออะไรที่แปลกมันจะนำไปสู่ขั้นตอนต่อไปได้) เราต้องคิดว่าเราทำได้ จขกท. คิดว่าถ้าเรามีความ(ที่จะอยากรู้)แล้ว อุปสรรคทุกอย่างมันจะกลายเป็นแค่มดไปเลย จริงๆนะ อย่างเช่นเวลาเราอ่านการ์ตูนอย่างเงี้ย คือเราอ่านด้วยความอยากติดตาม ไม่ได้อ่านเพราะคล้ายๆการโดนบังคับให้อ่านหนังสือเรียน ผลคือ ทำให้เราเล่าเรื่องให้เพื่อนฟังได้ยาวเหยียดแบบไม่ต้องนั่งคิดให้ปวดหัวเลย เอาล่ะเข้าเรื่อง ใช่ค่ะ! เราต้องแปลทุกวัน ถ้าใครมีศิลปินที่ชอบเช่นศิลปินต่างประเทศ ให้เราเอาข่าวสารที่เราอยากรู้นั้นมาแปลบ่อยๆ การแปลบ่อยๆทำให้เราคุ้นชินกับการแต่งประโยค เคยสังเกตุไหมว่า บางคนฟังได้นะแต่ทำไมเวลาต้องแต่งประโยคมันเขียนไม่ออกว่ ะ ทำนองนี้ นั่นเป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร  นั่นแหละค่ะ ความจริงมีอีกแต่เหมือนลืมๆ ยังไงถ้าจำได้ก็จะเขียนต่อละกัน

สรุป

1.หาแรงบันดาลใจ เช่น ไอดอล
2.อ่านไวยากรณ์
3.ไปหาอะไรก็ได้ที่สนใจมาแปล
4.หลังจากลองแปลจนชินกับโครงสร้างมากขึ้นแล้วให้เราลองไปคุยกับคนต่างชาติดู (โดยวิธีพิมพ์นะ) เพราะถ้าฟังอาจฟังยังไม่ทันเขา

ส่วนเรื่องคำศัพท์นั้น ถ้าเอาตามแบบของ จขกท. เราอย่าเพิ่งไปเครียดว่าเราไม่รู้ ต้องทำยังไงดี แค่เรารู้ชนิดของคำและการวางตำแหน่งของคำก็เป็นอันพอ เช่น adj วางหน้า noun หลัง v. to be เป็นต้น  รู้ไหมว่าคำศัพท์นั้นเราจะได้โดยไม่ต้องท่องจำจากไหน???? ติ๊กตอก  ได้มาจากการแปล บ่อยๆ  นั่นเอง  ใช่แล้ว การแปลบ่อยๆทำให้เราจำศัพท์ได้และศัพท์นั้นก็จะเป็นคำศัพท์ที่ไม่ต้องมานั่งท่องจำ  ส่วนเวลาทำข้อสอบเช่น ให้เลือกคำที่ไม่เหมือนเพื่อนออกไป อันนั้นก็ออกแนวรู้หลักมันน่ะค่ะ คือ เราต้องรู้ prefix กับ suffix เอาเป็นว่า ลองทำดูนะค่ะ


.... กระทู้นี้ย้ายมาจากห้องเบ็ดเตล็ด ...
แก้ไขล่าสุด 27 ก.พ. 56 12:33 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | miss.nobody | 27 ก.พ. 56 05:37 น.

อันนี้วิธีเรา...
- ฟังเพลงสากล > หาเนื้อร้อง > ลองนั่งแปลเอง(ใช้ดิคชันนารีแบบเป็นหนังสือในการแปลศัพท์ที่ไม่รู้ความหมาย) เราใช้วิธีนี้ในการจำศัพท์ที่ไม่ใช่ศัพท์แสลง แล้วก็ใช้ฝึกไวยกรณ์ในตัว(เราอ่านแล้วจำไม่ได้ซักที เราว่าจำเป็นแบบตัวอย่างประโยคนั้นจำง่ายกว่าเยอะเลย)
- ดูหนังที่เป็นพากย์อังกฤษ(อย่าเปิดซับ) ดูรายการหรือซีรี่ย์ฝรั่ง ตามแชแนลฝรั่งในยูทูป อันนี้เราใช้ฝึกฟัง กับฝึกพวกศัพท์แสลง โดยเฉพาะอะไรๆที่วัยรุ่น ศัพท์แสลงจะเยอะมาก ส่วนเรื่องพูด ของเรามันมาเองโดยอัตโนมัติ ทั้งสำเนียงและการเรียบเรียงประโยค เอาเป็นว่าตอนนี้ก็พอพูดกับพวกฝรั่งได้บ้าง จากเมื่อก่อนที่ไม่มีความมั่นใจที่จะพูดเลยเพราะรู้สึกว่าไม่รู้ศัพท์และไวยกรณ์ แถมสำเนียงห่วยสุดๆ

สำหรับเรา เราคิดว่า แค่ลองเปลี่ยนมุมมอง เปิดใจรับมันนิดหนึ่ง ยังไงซะเราก็หนีมันไม่พ้น และยิ่งภาษาอังกฤษแน่นๆนะ ไปเรียนต่อภาษาตะวันตกได้อีกหลายภาษามากๆเพราะรากศัพท์ตัวเดียวกัน ต่อยอดได้อีกเยอะเลย

แต่ถ้าใครที่ยังอยู่ช่วงมัธยมการอ่าน การเขียนและการรู้คำศัพท์มากๆอาจจะยังจำเป็นอยู่ เพราะยังต้องไปสอบไปอะไรอีก แต่ยังไงๆฝึกคู่ๆกันไปจะดีที่สุด ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน 

(ฟัง>พูด>อ่าน>เขียน เป็นหลักการฝึกภาษาที่ได้ผลที่สุดค่ะ ยกตัวอย่างง่ายๆ
- ภาษาไทย เราเริ่มจากฟังพ่อแม่ปู่ย่าตายายเราพูดให้ฟังก่อน จากนั่นเราก็เริ่มพูดตาม โตมาอีกหน่อยก็เริ่มท่อง ก-ฮ จากนั้นจึงเริ่มหัดเขียน ก-ฮ กัน
ในขณะที่...
- ภาษาอังกฤษ เราเริ่มจากอ่าน ท่อง A-Z ยังไม่ทันจำได้แม่นเป๊ะ ครูก็ให้คัด A-Z กันแล้ว จากนั้นก็ให้ไปท่องบทสนทนากันหลังจากเปิดบทสนทนาของฝรั่งให้ฟังประมาณ 2-3 รอบ)

บ้าไปแล้วการศึกษาไทย!!! (ในกรณีโรงเรียนรัฐนะ เราไม่รู้ว่าเอกชนสอนยังไง)



อีดิท : แก้คำ

แก้ไขล่าสุด 27 ก.พ. 56 05:39 | ไอพี: ไม่แสดง

#2 | อะไรนักหนา | 27 ก.พ. 56 12:22 น.

คห.1 ขอบคุณๆ เราจะเอาไปทำตามเย้
มีซีรี่ส์สนุกๆเรื่องไหนแนะนำเราด้วย 
ไม่ค่อยได้ดูหนังเท่าไร
ตอนนี้เราขาดทักษะในการฟังกับพูดมากๆ

แก้ไขล่าสุด 27 ก.พ. 56 12:31 | ไอพี: ไม่แสดง

#3 | miss.nobody | 27 ก.พ. 56 23:05 น.

ซีรี่ย์เยอะแยะเลยค่ะ แต่ตอนนี้เราหาเรื่อง my mad fat diary อยู่
เพิ่งฉายเมื่อมกราเอง ในยูทูปที่มีก็บล็อกประเทศเราอีก 
ลองหาพวก glee, pretty little liars, gossip girl, vampire diary บลาๆๆๆๆ
เยอะมากอ่ะ 

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | `หรเวชกุลเกิร์ล | 28 ก.พ. 56 20:15 น.

ขอบคูณค่าาาาาาาา 

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | goesmustard | 3 มี.ค. 56 18:20 น.

ขอบคุณค่ะ อย่าลบน้า<3

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google