สารพัดพิษ "Facebook" ทำคนตาย-เครียด-ขี้อิจฉา

18 มี.ค. 56 13:15 น. / ดู 3,256 ครั้ง / 14 ความเห็น / 10 ชอบจัง / แชร์
 



เป็นที่รู้ ๆ กันดีว่า "เฟซบุ๊ก" เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยมของคนทั่วโลก รวมไปถึงคนไทย แต่ใครจะไปรู้ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กตัวนี้ นับวันยิ่งร้าย และแรง! ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีทั้งข่าว และงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นพบความน่าตกใจว่า สาเหตุการตาย ความเครียด และความขี้อิจฉาริษยาของคน ส่วนหนึ่งมาจากเฟซบุ๊ก นี่ยังไม่นับรวมความหวาดระแรงในชีวิตคู่ซึ่งเป็นมหันตภัยร้ายทำลายสถาบันครอบครัวที่นับวันยิ่งน่าห่วงไม่แพ้กัน

     
      พิษ "เฟซบุ๊ก" นับวันยิ่งร้าย!
     
        ตั้งแต่มีการก่อกำเนิดโซเซียลเน็ตเวิร์กฮอตฮิตตัวนี้ขึ้นมา ดูเหมือนว่าโลกจะเปิดกว้าง และเป็นพื้นที่ให้คนได้ติดต่อ พูดคุย ตลอดจนแชร์ภาพ และข้อมูลต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น ยิ่งมาดูในประเทศไทย ก็ยิ่งพบว่า ใครไม่มีเฟสบุ๊กก็ต้องบอกว่าเชยมาก ๆ ในขณะที่คนไม่เล่นก็มี เพราะอยากมีโลกส่วนตัวมากกว่าจะไปป่าวประกาศให้โลกรู้ว่า กำลังทำอะไร ที่ไหน อย่างไร หรือเข้าไปถ้ำมองว่า คนอื่นกำลังทำอะไร ที่ไหน อย่างไร และทำไม
     
        ไม่แปลกที่ประเทศไทยจะติดอันดับผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กมากเป็นอันดับที่ 21 ของโลก ในขณะที่อันดับ 1 เป็นของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่มีผู้ใช้กว่า 133 ล้านคน เมื่อมาดูในระดับเมือง (สถิติเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556) ของ SocialBakers เว็บไซต์จัดอันดับและเก็บสถิติต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดีย พบว่า กรุงเทพฯ ติดอันดับ 1 เมืองที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวน 12.8 ล้านบัญชี รองลงมาคือ เมืองจาการ์ตา (Jakarta) ของอินโดนีเซีย จำนวน 11.7 ล้านบัญชี
     
        แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่า พิษสงของสื่อสังคมออนไลน์ตัวนี้ ร้าย และแรงมากขนาดทำให้คนตายได้ ซึ่งหากไม่ได้เจอกับตัวเอง หรือญาติพี่น้องในครอบครัวก็คงไม่รู้ เห็นได้จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ และข่าวออนไลน์หลายเว็บในปีที่ผ่าน ๆ มา มีคดีสะเทือนใจที่เกิดจากการเล่นเฟซบุ๊กมากขึ้น และนับวันจะยิ่งถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
     
        ยกตัวอย่างคดีโหด หนุ่มใหญ่เมืองชลบุรี หึงเมีย คุยเฟซบุ๊กกับชายอื่น คว้าปืนยิงเสียชีวิต ก่อนยิงตัวตายตาม โดยก่อนเกิดเหตุ ฝ่ายสามี มีปากเสียงทะเลาะกับภรรยาอย่างรุนแรง เนื่องจากขณะที่กำลังนั่งเล่นเฟซบุ๊กอยู่หน้าคอมพิวเตอร์กับเพื่อนชาย ฝ่ายสามีเดินมาเห็นจนเกิดอาการหึงหวง เป็นเหตุให้ลงมือยิงภรรยาตัวเองก่อนยิงตัวตายตามในที่สุด
     
        อีกกรณีระทึกขวัญ เมื่อแฟนสาวเล่นเฟซบุ๊กแล้วจับได้ว่าแฟนมีกิ๊ก เป็นเหตุให้น้อยใจปีนแท็งก์น้ำสูง 30 เมตร ขู่กระโดดฆ่าตัวตาย โชคดีที่เจ้าหน้าที่สามารถเกลี้ยกล่อม และช่วยชีวิตไว้ได้ทัน โดยฝ่ายชายยอมรับว่า นอกใจแฟนสาวไปมีกิ๊ก และคุยกันผ่านเฟซบุ๊กจริง
     
        หรือ กรณีนักเรียนหญิงอาชีวะ ตัดสินใจกระโดดตึกประชดรัก เนื่องจากผิดหวังที่ฝ่ายชายเห็นตัวจริงแล้วตัดความสัมพันธ์ หลังฝ่ายหญิงใช้ภาพสาวสวยขึ้นเฟซบุ๊กขอคบเป็นแฟน ก็เป็นอีกกรณีที่ถูกตัณหาราคะครอบงำจนขาดสติ และไม่คิดถึงผลที่จะตามมา
     
        ไม่เพียงแต่ฆราวาสเท่านั้น พระสงฆ์ผู้อยู่ในทางธรรมก็ไม่วายที่จะถูกพิษเฟซบุ๊กเล่นงาน เมื่อพบข่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า พระลูกวัดในตัวจ.อ่างทอง ตัดสินใจใช้สายรัดเอวพระ ผูกคอตายภายในกุฏิ เหตุเพราะเครียดหลังจากเล่นเฟซบุ๊กกับเพื่อน
     
        นี่คือส่วนหนึ่งของข่าวอันน่าสะเทือนใจ และเชื่อว่ายังมีอีกหลาย ๆ ข่าว ที่พบ "เฟซบุ๊ก" เป็นตัวการสำคัญอยู่ด้วย

     
      รุม "เฟซบุ๊ก" ทำคนเครียด-ขี้อิจฉาเพิ่ม
     
        นอกจากความตายที่โซเชียลเน็ตเวิร์กสุดฮอตตัวนี้จะเป็นตัวการหลักแล้ว บรรดานักวิจัยต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศก็ได้สำรวจอีกด้านพึงระวังของสื่อสังคมออนไลน์ตัวนี้มากขึ้น โดยงานวิจัยที่ University of Edinburgh Business School ระบุเลยว่า การมีเพื่อนเพิ่มขึ้นบนเฟซบุ๊กนั้น แทนที่จะเป็นสิ่งที่ดี กลับกลายเป็นการเพิ่มความเครียดให้แก่คนเรามากยิ่งขึ้น
     
        การศึกษาในครั้งนี้ ทำการสำรวจนักศึกษาจำนวน 200 คน เกี่ยวกับการเล่นเฟซบุ๊ก ซึ่งพบว่า กลุ่มคนที่มีเพื่อนมากเสี่ยงต่อความเครียดและสลดหดหู่สูงกว่ากลุ่มที่มีเพื่อนน้อยกว่า โดยผู้ที่เล่นเฟซบุ๊ก จะได้รับผลเชิงลบมากกว่าประโยชน์ในปฎิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ และครอบครัวในโลกของความจริง นอกจากนี้ ยังพบว่า กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 32 รู้สึกผิด เมื่อต้องปฏิเสธคำขอร้องจากเพื่อน ขณะที่ 12 % ระบุว่า เฟซบุ๊ก ทำให้พวกเขากระวนกระวาย
     
        เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการปฎิสัมพันธ์กันในโลกของเฟซบุ๊ก มีลักษณะเหมือนการเล่นการพนัน โดยผู้เล่นต้องคอยใจจดใจจ่อกับข้อความของผู้อื่น และกังวลว่าจะต้องพลาดสิ่งดี ๆ ไป หากพวกเขาไม่ติดตามเฟซบุ๊กอยู่ตลอดเวลา และประเด็นที่น่าสนใจคือ ผู้เล่นเฟซบุ๊ก มักจะซ่อนความเครียดและความกระวนกระวายจากการถูกปฏิบัติต่าง ๆ จากเพื่อน และบุคคลอื่นในเฟซบุ๊ก เช่น การถูกปฏิเสธ วิตกจริต อิจฉาต่อการใช้ชีวิตของคนอื่น เป็นต้น
     
        นอกจากนั้น ยังมีรายงานจากสมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกา (American Psychological Assasociation) ได้นำเสนองานวิจัยโดยสำรวจพฤติกรรมของวัยรุ่นที่ใช้คอมพิวเตอร์เล่นอินเิทอร์เน็ต โดยเฉพาะการเข้าไปดูกิจกรรมต่าง ๆ บนเฟซบุ๊ก พบว่า มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าหากเล่นมากเกินไปอาจส่งผลกระทบทางจิตใจหลายอย่าง เช่น เกิดอาการติด หลงตัวเอง มีอารมณ์ก้าวร้าว ไม่มีสมาธิในการเรียน ขาดเรียนเพิ่มขึ้น ผลการเรียนแย่ลง วิตกกังวล ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ทำให้มีปัญหานอนดึกมากขึ้น และพักผ่อนไม่เพียงพอ

     
      ยิ่งไปกว่านั้น วิกฤติ "เฟซบุ๊ก" ยังทำให้คน "ขี้อิจฉา" เพิ่มขึ้นด้วย 
     
        เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการเปิดเผยผลวิจัยของ Hanna Krasnova จากหลักสูตรระบบสารสนเทศ มหาวิทยาลัย Humboldt ที่สำรวจจากผู้ใช้เฟซบุ๊กในประเทศเยอรมนีจำนวน 600 คน พบว่า มีคนจำนวน 1 ใน 3 ของทั้งหมดรู้สึกอิจฉาเวลาเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่คนอื่นโพสต์ลงบนเฟซบุ๊ก และทำให้รู้สึกพอใจในชีวิตตัวเองน้อยลง
     
      สำหรับการกระทำบนเฟซบุ๊กที่ทำให้คนอื่นรู้สึกอิจฉาได้มากที่สุด คือ การแชร์รูปภาพที่ถ่ายตอนไปท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ รองลงมาคือ ปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ กับเพื่อนในเฟซบุ๊ก ไม่ว่าจะเป็นการอวยพรวันเกิด มีคนการกดไลก์และคอมเมนต์มาก ๆ ส่วนสิ่งอื่น ๆ ที่มีผลรองลงมา ได้แก่ การแสดงถึงความอบอุ่นในครอบครัวที่มีผลกับคนอายุ 30 กว่า ๆ มากที่สุด และการแสดงรูปร่างหน้าตาที่ดูดี ซึ่งมีผลกับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่
     
        นอกจากนี้ ผลวิจัยยังได้ระบุอีกว่า คนส่วนใหญ่มักสนองความอิจฉาด้วยการโพสต์เรื่องราวดี ๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกับความสำเร็จ ความเก่ง หรือสิ่งต่าง ๆ ที่น่าชื่นชม และทำให้ตัวเองดูดี โดยผู้ชายมักชอบโพสต์เกี่ยวกับความสำเร็จของตัวเอง ส่วนผู้หญิงมักชอบโพสต์รูปภาพและชีวิตประจำวันของตัวเอง
     
        ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้กล่าวอีกว่า คนเล่นเฟซบุ๊กที่รู้สึกอิจฉาบางคนจะเล่นเฟซบุ๊กน้อยลงหรืออาจจะเลิกเล่นไปเลย
     
        อย่างไรก็ดี ในประเด็นเดียวกันนี้ ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live ได้เคยมีโอกาสพูดคุยกับนักวิชาการของไทยหลาย ๆ ท่านถึงการเล่นเฟสบุ๊กให้มีความสุข ซึ่งขอหยิบยกความเห็นของ ลัดดา ตั้งสุภาชัย อดีตผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และ อ.อิทธิพล ปรีติประสงค์ นักวิจัยสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มาเสนอย้ำกันอีกครั้ง
     
        อดีตผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ให้ความเห็นว่า เฟซบุ๊กเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งฉากของวิถีชีวิตคนคนนั้นที่ถูกเลือกนำเสนอในด้านดี แต่ยังมีอีกหลายมิติที่เขาไม่ได้นำเสนอ ซึ่งบางเรื่องอาจจะเป็นชีวิตปลอม ๆ ที่สร้างขึ้นมาก็ได้ ที่สำคัญ ผู้ใช้ต้องหนักแน่น และมีภูมิคุ้มกันที่ดี ไม่ใช่เอามาคิดมากจนทำร้ายตัวเอง ซึ่งถ้ามันไม่ใช่ก็เขยิบออกมาจะดีกว่า อย่าไปยุ่งกับเขาเลย
     
        ด้านนักวิจัยสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล พูดไว้อย่างน่าสนใจเช่นกันว่า คนเล่นต้องรู้จักเคารพตัวเองให้เป็น การไปมองชีวิตคนอื่น และนำมาเปรียบเทียบกับตัวเราจะยิ่งทำให้ทุกข์เปล่า ๆ แต่ควรทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า ทุกคนก็มีทั้งด้านชีวิตที่ดี และไม่ดี ดังนั้นอย่าตกเป็นเครื่องมือของเฟซบุ๊ก และใช้มันทำร้ายคนอื่น

     
        "เฟซบุ๊ก" ตัวการเพิ่มการหย่าร้าง
     
        พิษสงของเฟซบุ๊ก ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะยังมีนักวิชาการลงความเห็นอีกว่า โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊ก รวมไปถึงทวิตเตอร์เป็นมหันตภัยร้ายทำลายสถาบันครอบครัว โดยเฉพาะในต่างประเทศที่มีคู่สามีภรรยาหย่าร้างกันเพราะเฟซบุ๊กมากถึง 30 % เลยทีเดียว
     
        "โซเชียลเน็ตเวิร์กทำให้มองไม่เห็นคุณค่าและทอดทิ้งคนที่อยู่ใกล้ตัว แต่ไปให้คุณค่าแก่คนที่อยู่ไกล ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในบ้านเดียวกันไม่ค่อยได้พูดคุยกัน แต่มีเวลาทักทายเพื่อนใหม่ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ ใช้เวลาอยู่หน้าจอนั่งโพสต์ข้อความตอบโต้กันไปมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมงขณะที่คนใกล้ชิดอยู่บ้านเดียวกันพูดกันไม่กี่คำก็ทะเลาะกันแล้ว
     
      คนสมัยนี้เวลาน้อยใจ เสียใจก็ไม่ยอมพูดกันตรงๆ จะระบายอารมณ์โดยการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ เป็นการพูดลอย ๆ ไม่เอ่ยชื่อใคร คนที่เข้ามาอ่านอาจจะเป็นคู่กรณี เมื่ออ่านแล้วก็คิดไปเอง ส่วนคนที่โพสต์ข้อความก็โพสต์ไปตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง การสื่อสารจึงเป็นแบบต่างคนต่างเขียน ต่างคนต่างคิดกันไปเอง คิดเองตอบเอง ประกอบกับโซเชียลเน็ตเวิร์กจะมีคนที่สามที่สี่เขามาแสดงความเห็นด้วยจึงยิ่งทำให้มีปัญหามากขึ้น"
     
        เป็นคำพูดของ ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ที่เคยออกมาระบุด้วยความห่วงใยผ่านสื่อต่าง ๆ ถึงข้อควรระวังในการเล่นเฟซบุ๊ก เนื่องจากไม่อยากให้สถาบันครอบครัวไทยต้องแตกร้าวเหมือนในต่างประเทศ
     
        "โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์ ผู้ใช้ไม่ว่าหญิงหรือชายมีโอกาสกลับไปติดต่อกับแฟนเก่า ซึ่งบางคนแค่พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบ บางคนก็ติดต่อกันลับๆ เกิดปัญหาบานปลาย ท้ายที่สุดคู่สามีภรรยาก็หย่าร้างกันมากถึง 30% ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้กำลังจะเกิดขึ้นในสังคมไทย"
     
        ทางที่ดี ดร.จิตราให้ทางแก้ไว้ว่า ต้องสร้างความสัมพันธ์แบบสด ๆ คือการพูดคุยสื่อสารกันโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคู่สามีภรรยาหรือคนในครอบครัว หันมาสนใจคนที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าคนที่อยู่ไกลตัว ไม่ควรจะให้เฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์มีอิทธิพลกับชีวิตมากเกินไป

     
      แรงเมนต์ แรงแค้น!
     
        อีกหนึ่งคดีสะเทือนขวัญที่ใครหลายคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่ได้เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ โดยในปีที่ผ่านมา พบการเตือนภัยเรื่องฆาตกรเฟซบุ๊กถูกแชร์ไปยังโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว หลังเกิดคดีดังขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อหญิงสาววัย16 ปี โมโหหลังโดนนินทาผ่านเฟซบุ๊ก จึงวางแผนกับแฟนหนุ่มจ้างเด็กไปฆ่าคนโพสต์ข้อความนินทาตัวเอง ซึ่งเป็นการฆ่าทั้งตระกูล
     
        เหตุการณ์ในทำนองนี้ ยังพบในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียด้วย ซึ่งมีรายงานคดีทำร้ายจากโซเชียลมีเดียถึง 5,000 คดี ในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำนวณเป็นสถิติก็คือเกิดขึ้นทุก 1-2 ชั่วโมง เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งถูกชกหน้าที่ป้ายรถเมล์ โดยผู้หญิงที่ชกหน้าเธอบอกเพียงว่า "ฉันเห็นเธอเขียนว่าจะฟ้องตำรวจใช่ไหม" แล้วก็ชกหน้าอีกทีหนึ่ง
     
        ส่วนในประเทศไทยก็มีให้เห็นแล้ว ซึ่งใครจำกันได้ กรณีแก๊งสาวประเภทสองเกือบ 10 คน เทก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้อนๆ ใส่นักเรียนหญิง ม.4 ก่อนจะเข้าไปรุมตบตี ซึ่งหลังจับผู้ต้องหามาสอบสวนจึงรู้ว่า เหยื่อชอบไปโพสต์ด่าผ่านเฟซบุ๊กเลยโมโห และวางแผนแก้แค้น
     
        นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่จะมองข้ามกันได้อีกแล้ว สำหรับการใช้พื้นที่ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กชื่อดังอย่าง "เฟซบุ๊ก" ซึ่งนับวันยิ่งร้าย และแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้ด้านหนึ่งจะมีข้อดี แต่หากขาดสติ และใช้ไม่เป็น คุณอาจจะเจอพิษ "เฟซบุ๊ก" พ่นใส่แบบคาดไม่ถึงเหมือนที่ตกเป็นข่าวก็เป็นได้...อยู่ที่ว่าใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป?


Credit : Manager.co.th (ข่าววันที่ 18/3/2013)
แก้ไขล่าสุด 19 มี.ค. 56 00:07 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | นาทีที่อมยิ้ม | 18 มี.ค. 56 13:34 น.

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆจ้า 

ไอพี: ไม่แสดง

เห็นด้วยอย่างแรง

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | ยูสนี้ปลอมตัวมา | 18 มี.ค. 56 14:51 น.

Facebook มีทั้งข้อดีข้อเสียอะเราว่า
ขึ้นอยู่กับว่าใครจะใช้ยังไงด้วย ถ้าใช้ในทางที่ดีมันก็ดี ถ้าใช้มันในเรื่องแย่ๆ มันก็แย่

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | :peachํ | 18 มี.ค. 56 14:58 น.

ถ้าคนมันคิดแบบนี้อยู่ไม่ว่าจะโซเชี่ยลมีเดียไหนๆก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ 

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | -'dinojiri<3; | 18 มี.ค. 56 16:05 น.

เฟสบุ๊คบ้านเราพากันสร้างกระแส เรียกร้องหาไลค์

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | `ยูสนี้สวยมาก. | 18 มี.ค. 56 16:33 น.

มันขึ้นอยู่กับคนที่เล่นนะ 

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | `Double'z.|Joker| | 18 มี.ค. 56 17:56 น.

"เฟซบุ๊ก" ตัวการเพิ่มการหย่าร้าง เป๊ะเวอร์

ไอพี: ไม่แสดง

#8 | `หมีสูเหว. | 18 มี.ค. 56 18:43 น.

โปรดใช้วิจารณญาณในการเล่น 

ไอพี: ไม่แสดง

#9 | *-G. | 18 มี.ค. 56 20:48 น.

ต้องเล่นแบบมีสตินะ สมัยนี้
ขอบคุณที่เอามาให้อ่านค่ะ

ไอพี: ไม่แสดง

#10 | YS'AุTTAํCKX_ | 18 มี.ค. 56 23:41 น.

เฮ้ยชอบอะ  ใช่เลยมันคือความจริง 

Mark Zuckerburg เห็นกระทู้นี้แล้วคงร้องไห้อยางบอกไม่ถูกน่าดู 

แก้ไขล่าสุด 18 มี.ค. 56 23:50 | ไอพี: ไม่แสดง

#12 | `ป๊อปปูล่าร์เกิรล์;# | 19 มี.ค. 56 15:45 น.

จริงค่ะ เห็นด้วยที่สุด

ไอพี: ไม่แสดง

#13 | '-ไม่รู้ไม่อยากตั้ง; | 19 มี.ค. 56 18:37 น.

เหรียญย่อมมีสองด้าน
มันขึ้นอยู่กับคนด้วยแหละว่างี่เง่.ามากน้อยแค่ไหน 

แก้ไขล่าสุด 19 มี.ค. 56 18:38 | ไอพี: ไม่แสดง

#14 | NC21st | 21 มี.ค. 56 19:06 น.

มันก็จริงส่วนหนึ่งนะซึ่งเราก็เป็น 
เเต่เราต้องรู้จักเเบ่งเวลาอ่ะเราว่าคืออย่าไปหมกหมุ่นกับมันมากส่วน**เรื่องความอิจฉาอะไรงี้คือในชีวิตประจำวันมันก็มีให้เห็นเยอะเเยะไม่เฉพาะเเค่ในเฟสบุคหรอก

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google