มองประเทศไทยผ่านสายตาเด็กอายุ 17 ..

8 ต.ค. 56 12:40 น. / ดู 2,773 ครั้ง / 20 ความเห็น / 43 ชอบจัง / แชร์
    บ่อยครั้งที่ผมถามตัวเองมาตลอด "เมื่อไหร่จะหลุดจากวังวนพวกนี้เสียที
      ใครๆก็บอกว่าชีวิตวัยรุ่นมันสนุก ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าอาชีพนักเรียนอีกแล้ว เรียน เรียน เรียน แล้วยังไง ผมเองไม่ได้เรียนที่ไทย แต่คำถามนี้มันยังคงมาวนเวียนติดปีกเครื่องบินมาให้ผมคิดตลอดเวลา ผมกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ที่หอ ผมป่วยเป็นหวัด ด้วยโรคประจำตัวคือ โรคหอบและภูมิแพ้ ทำให้ผมต้องออกกำลังกายต่อสู้กับมันทุกวัน ว่ายน้ำบ้าง บาสบ้าง ฟุตบอลบ้าง ผมก็ไม่รู้เมื่อผมโตไปทำงาน ผมจะมีเวลาว่างมาต่อสู้กับโรคพวกนี้ไหม

      ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีผมกำลังอ่านหนังสือ ผมกำลังอ่านวิชานึงซี่งผมไม่ปารถณาที่จะเรียนมันเท่าไหร่นัก แต่ผมต้องอ่านเพื่่อผลของเกรดผมมันออกมาดี จะได้ยื่นเข้าเรียนต่อในคณะที่อยากจะเรียน แตกต่างกันวิชาประวัติศาสตร์ เป็นวิชาที่ผมชอบ ผมกลับไม่ต้องอ่านอะไรเลย เพราะผมรักที่จะฟังอาจารย์หน้าตาแก่ๆ ย่นๆ ซิ้มๆ ที่ชอบมายืนหน้าห้องแล้วเล่าประวัติศาสตร์ให้ฟังโดยแฝงข้อคิด ผมได้รู้อะไรที่ไม่รู้ ได้รู้ว่าประวัติศาสตร์ทุกชาติเขียนเข้าข้างตัวเอง ไม่เว้นแต่ประเทศไทยบ้านเกิดของผม

      และผมก็เข้าไปในเว็บร้านหนังสือชื่อดังไปดูหนังสือ แล้วตอนเย็นๆ ผมกะว่าจะไปซื้อ ผมมีหนังสือที่ตนเองอยากอ่านมากมาย แต่ไม่เคยได้อ่าน เพราะหนังสือเหล่านั้นมักจะโดนพวกผู้ใหญ่พูดว่า เอาเวลาที่อ่่านหนังสือพวกนี้ มาอ่านหนังสือเรียนดีกว่าไหม และผมไม่มีเวลาว่างพอที่จะจับหนังสือพวกนั้นมาอ่าน เพราะผมกลับจากโรงเรียนก็ไปออกกำลังกาย เข้าหอมาก็เล่นคอมแป๊บนึงแล้วต้องอ่านหนังสือเรียน ในเรื่องที่ไม่ได้สนใจซักนิดนึงเลย

      ผมไม่โทษใครเลยที่บอกว่าประเทศไทยเด็กอ่านหนังสือน้อย ผมจำไม่ได้ว่าอ่านกี่บรรทัดต่อปี แล้วทำไมคุณไม่มองตัวคุณบ้างหละ ว่ายัดเยียดให้เด็กอ่านแต่หนังสือวิชาการเกินไปรึป่าว มันเลยทำให้ทรรศนคติเด็กเห็นหนังสือแล้วต้องวิ่งหนี ผมชอบอ่านหนังสือพวกประวัติคนที่ประสบความสำเร็จ เช่นผมอ่านเรื่องของ สตีฟ จ๊อบ ผมก็รู้สึกทึ่ง มีแรงบัลดาลใจมากมายในการสู้ชีวิตของผมต่อไป ตามหาความฝันเล็กๆ

      ผมเคยเรียนที่ไทยเคยเข้าห้องสมุดไปอ่านหนังสือแล้วเจอโปสเตอร์เกี่ยวกับโครงการบันทึกการอ่านของสมเด็จพระเทพ ซึ่งพระเทพท่านไม่ได้บอกว่าเราต้องอ่านหนังสือชนิดไหน เราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือเรียน เพราะการอ่านมันให้อะไรกับเรามากกว่าวิชาการ ซึมเข้าตัวเราไปจนบางครั้งเราไม่รู้ตัว การอ่านมันเปิดโลกกว่างของเรา เราจะมองโลกอีกมุมนึงผ่านคนนึงคนที่เขียนหนังสือ

      ใครที่กำลังอ่านหนังสือการ์ตูน นิยาย ชีวประวัติ อะไรต่างๆที่ผู้ใหญ่มองว่าไร้สาระ ก็จงอ่านต่อไปเถอะครับ เพราะพวกผู้ใหญ่พวกนั้นกินสาระเป็นอาหารแทนข้าว คำว่าไร้สาระตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ กล่าวไว้ว่า

        ไร้      ความหมายคือ    ไร้ ว. ขัดสน, ไม่มี, ปราศจาก,
        สาระ  ความหมายคือ    เนื้อหา น. ใจความสําคัญ, ข้อสําคัญ, สาระสําคัญ

แปลรวมๆคือคำว่า ไร้สาระ ก็คือ ไม่มีใจความสำคัญ แต่หนังสือทุกเล่มต่างให้ความรู้ที่พวกผู้ใหญ่มองไม่เห็นทั้งสิ้น ทั้งสร้างจินตนาการ และแฝงข้อคิด ขอจงอ่านต่อไปครับ

      และเราก็ไม่ต้องโทษการศึกษาไทยอย่างเดียวหรอก การศึกษาทั้งเอเชียก็คล้ายๆกัน เช่น เพื่อนผมคนเกาหลีทำไมเค้าจึงมาเรียนที่นี้หละครับ การศึกษาเกาหลีได้รับการยกย่องว่าดีนะครับ เค้าก็เบื่อกับการต้องทุ้มตัวเองไปกับการเรียนอย่างบ้าคลั้งเหมือนกันแหละครับ เป้าหมายของเพื่อนเกาหลีคนนี้มันแค่ต้องการมีเงิน แล้วไปเที่ยวในประเทศที่ไม่เคยไป เด็กสิงคโปร์ใช้ว่าเค้าจะสนุกกับการเรียนของเค้า เค้าอาจจะดีกว่าไทยก็คือเค้าเรียนรู้เรื่องตั้งแต่ในห้องเรียน ทำไมมีแต่โพลจัดอันดับการศึกษา ทำไมไม่มีโพลจัดอันดับประเทศที่เด็กมีความสุขมากที่สุดในโลกบ้างครับ

      เราเคยถามตัวเองไหม เราเรียนเพื่ออะไร สำหรับผมเรียนเพื่อตายให้ช้าลง บางคนเรียนมาเพื่อเอาเงินมาปรนเปรอตัวเอง บางคนเรียนเพื่อจะได้มีหน้ามีตาในสังคม บางคนเรียนเพื่อพ่อแม่ ทุกคนมีเป้าหมายต่างกัน มันเลยทำให้เกิดการแข่งขัน เช่น ทุกคนต้องเข้าจุฬา ใครเข้าจุฬาได้ ไปทางไหนก็มีแต่สังคมพร้อมจะต้อนรับ ในทางกลับกัน คนที่เรียนราชภัฎ รามคำแหงคือคนไม่เอาไหน อยากรู้คุณเอาอะไรมาวัดความสามารถของคน แค่ใบกระดาษแผ่นเดียวหรอครับที่เรียกกันว่า เกรด หรือปลายดินสอ 2บีที่ใช้ฝน ใครฝนลงแล้วตรงใจคอมพิวเตอร์ที่สุดคือคนดี คือคนเก่ง สังคมเราจึงมีการแบ่งชั้นเกิดขึ้นทำให้การศึกษาเราไม่เท่าเทียม

      ผมอยากบอกว่า คนเรานั้นต่างกันตั้งแต่เกิด ต่างพ่อต่างแม่ ดังนั้น อย่าหัวเราะเยาะ การตัดสินใจของคนอื่น สถาบันของคนอื่น ความฝันของคนอื่น หรืออย่ากล่าวถึงการเลือกเส้นทางของคนอื่นเค้าว่าโ.ง่ เพราะมันเป็นของคนอื่นไม่ใช้คุณ และคุณไม่ได้ยืนในจุดที่เค้าเป็นอยู่

      ในตัวผมเรียนจบมัธยม ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเรียนมหาลัยที่ไทยหรือไม่ ถ้ากลับมาผมคงจะเรียนครู เอกสังคม ที่ราชภัฏ ความฝันสูงสุดของผมคือการเป็นครูสังคมที่ไม่น่าเบื่อ เป็นครูสังคมที่ทำให้มันสนุก ทำให้เด็กเรียนแล้วมีความสุข ผมแค่ต้องการเรียนจบแล้วเข้ารับบรรจุเป็นข้าราชการ เงินเดือน 15000 แต่ผมรู้ว่าชีวิตผมต้องการแค่นี้จริงๆ

      แต่ความฝันของคนนั้นต่างกัน บางคนอยากยืนบนจุดสูงสุดที่คนอย่างผมยากจะก้าวถึง อยากเป็นที่สนใจของสังคมที่ดั.ดจริ.ต แต่หาไม่ได้ช่วยสร้างให้ชาติไทยดีขึ้นเลย อย่างที่เค้าพูดกันใช้ไหมครับว่า "อยู่เมืองดัดจ.ริต ชีวิตต้องป๊อบ" แต่กลับกันบางคนต้องการอยู่ที่ ที่เราสบายใจไม่สูง ไม่มีน่ามีตาทางสังคม แต่ได้ทำในสิ่งที่รัก ซึ่งไม่ได้หมายความว่าชีวิตของคนที่อยู่สูงจะดีกว่า แต่เรากับเค้าแค่ต่างกัน ความสุขของเรากับเค้ามันต่างกัน เช่น ความสุขของเค้าคือการใช้เงินซื้อความสุข ความสุขของเราคือการใช้ความสุขซื้อเงิน

      ผมต้องการตั้งกระทู้นี้เพื่อคนมีฝัน คนที่ได้รับโอกาสน้อยกว่าคนอื่นๆ อย่าพูดว่าโอกาสของคนเรานั้นเท่าเทียมกันครับ โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม คนรวยย่อมมีโอกาสเยอะกว่าคนจน นั้นคือความจริง ใช้ไหมครับ คำว่าประสบความสำเร็จมันโดนตีค่าด้วยเงินตราหมดแล้ว แต่จริงความประสบความสำเร็จมันเป็นแค่นามธรรม เช่มผมมีเงินเดือน 15000 ได้สอนหนังสือเด็ก ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ผมก็คิดว่านั้นคือผมประสบความสำเร็จแล้ว

      แม่ผมเป็นข้าราชการครูที่เปรียบกับเรือจ้างที่กำลังผุพังตามกาลเวลา เหลือไว้ให้ผู้โดยสารเรือลำนั้น หวนกลับมาคิดถึงเรือจ้างลำเก่าที่พาเค้ามาถึงฝั่ง ในยามที่เรือลำนั้นต้องโบกมือลา สายน้ำที่รัก สายน้ำแห่งการศึกษาหรือเรียกว่าเส้นทางที่สร้างคนให้เป็นคนอย่างแท้จริง ผมเคยถามแม่ว่าอายุราชการก็นานแล้ว ทำไมไม่ลองสอบรองผ.อ.บ้าง แม่ตอบผมว่า แม่ไม่อยากเป็นใหญ่เป็นโต ไม่อยากมีทุกข์

ชีวิตคนมี 4 ทุกข์
1.มองไม่ทะลุ 

2.สละไม่ลง

3.แพ้ไม่เป็น

4.ปล่อยวางไม่ได้


ขอบคุณที่อ่านจบครับ ผมเป็นแค่เด็กอายุ 17 ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พร้อมน้อมรับทุกข้อติชม ถ้าหากความคิดผมมันต่างกับความคิดคนอื่นๆ สำหรับผม  ไม่อนุญาติให้ copy ไปในเว็บอื่นๆนะครับ เพราะจากบทควาที่ผ่านมามีคนในสยามโซนนำบทความของผมไปโพสต์ใน DEK-D ซึ่งผมไม่พอใจ เพราะผมคิดว่าเว็บนี้ผมเลือกจะโพสต์ลงเพราะ คนที่เล่นมีเหตุผมมากกว่าเว็บอื่นๆ ผมเบื่อที่จะฟังคนอื่นดราม่าในบทความของผม พี่เว็บมาสเตอร์อย่าย้ายห้องนะครับ 
แก้ไขล่าสุด 8 ต.ค. 56 16:11 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | โฟร์บัพซือทือ.# | 8 ต.ค. 56 15:51 น.

เราก็ชอบวิชาประวัติศาสตร์เหมือนกันค่ะ

พูดถึงเรื่องอ่านหนังสือ ตอนช่วงสอบเราเคยจะไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดโรงเรียน แต่อ.ที่เป็นบรรณารักษ์บอกว่าไม่ให้ยืมเพราะใกล้สอบแล้ว ให้อ่านหนังสือเรียน คิดแล้วก็ตลกดี คนเรามีวิธีการหนังสือเตรียมสอบไม่เหมือนกัน จะมาบอกให้อ่านตอนนั้นตอนนี้ได้ที่ไหน

เราเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่หนังสือเรียนหรอก เราจะอ่านเฉพาะเรื่องที่เราสนใจ ถึงใครว่าอะไรเราก็ไม่สนหรอก เพราะเราคิดว่าหนังสือทุกเล่มก็ให้ความรู้ให้ประโยชน์ทั้งนั้น เราอ่านหนังสือทุกแนว ทั้งนิยายรัก นิยายแฟนตาซี หนังสือการ์ตูน หนังสือชีวประวัติ หนังสือจิตวิทยา เราก็ยังไม่เห็นว่าจะมีหนังสือประเภทไหนเลยที่ไม่ให้ความรู้

ปล.เราอายุ 16 ค่ะ ยังไม่บรรลุนิติภาวะเหมือนกัน ^^

แก้ไขล่าสุด 8 ต.ค. 56 15:52 | ไอพี: ไม่แสดง

หึหึ เด็กไทยสมัยนี้ ... รู้ทุกอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่างนะ

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | .อะโรลินน' | 8 ต.ค. 56 23:36 น.

ถูกต้องที่สุด
พ่อแม่เราไม่เคยห้ามว่าเราจะอ่านอะไร อยากอ่านก็อ่าน มีลูก 4 คน  ทุกคนชอบอ่านหนังสือหมด
ไม่มีใครอ่านหนังสือวิชาการเลยนะ อ่านการ์ตูน นิยายที่เขาว่าว่าไร้สาระ อ่านไปวันๆ
ทุกคนไม่เคยมีใครเรียนพิเศษวิชาการ ถ้าเรียนก็เรียนที่ตัวเองสนใจ ดนตรี ศิลปะ
แต่ ลูกทุกคนไม่เคยได้เกรดต่ำกว่า 3 ไม่เคยติด ร. และลูกทุกคนอ่านหนังสือได้ทั้งเล่มก่อนจบอนุบาล
คือก็ไม่ได้มาอวด แต่สำหรับใครที่มีความคิดแบบข้างต้นน่ะ ก็อยากให้ลองเปิดทัศนะคติบ้าง

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | `ฟักทองมาร์ค;)~ | 9 ต.ค. 56 10:48 น.

เราอายุ 17 เท่าจขกท. ตอนนี้เราอยู่ม.6
และมันเป็นจุดที่ทั้งเหนื่อยและกดดันมาก เราก็คิดแบบจขกท.นะ
เรารู้ว่าถ้าอ่านหนังสือเรียนมันจะช่วยให้ไปถึงความฝันของเราได้
แต่บางทีมันก็เหนื่อยเกินไปจริงๆ ให้เวลาเราได้พักผ่อนบ้าง
ให้เวลาไดท้ำตามที่ชอบที่ผ่อนคลายบ้างจะได้มั้ย 

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | ชานยอลออนนี่(?) | 9 ต.ค. 56 11:23 น.

ทำไมมีแต่โพลจัดอันดับการศึกษา ทำไมไม่มีโพลจัดอันดับประเทศที่เด็กมีความสุขมากที่สุดในโลกบ้างครับ


ชอบคำพูดนี้ที่สุดค่ะ

แต่เราไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือสักเท่าไหร่ ^^ แหะๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | patchouli. | 9 ต.ค. 56 12:50 น.

พี่เปรมมาชนะเลิศศครับผม
รอพัทแปบเดี๋ยวจะไปเป็นนายก
ขอเวลาร่างนโยบายก่อน

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | จัส. | 9 ต.ค. 56 15:09 น.

เราเห็นตรงตามที่ จขกท. คิดค่ะ
(เราอายุ 14 ค่ะ)

แต่สิ่งที่เราอยากให้ประเทศไทยหรือทั้งโลก(= =) มีที่สุดคือ 'การรับฟังความคิดและความรู้สึกผู้อื่น'
แล้วนำมาพิจารณามองสองด้านมองสองมุม เห็นใจเขาเห็นใจเรา
หาเหตุผล...
และลองให้โอกาศเขา ลองทำตามความคิดเขา
แล้วมันจะดีไม่ดีค่อยว่าอีกเรื่องนึง

แต่อย่างว่าความคิดใครความคิดมัน
แม้จะบอกว่าคิดเหมือนกัน แต่ในความเหมือนมันมีบางสิ่งที่มันไม่เหมือนกัน
อย่างเช่น นาย a บอกว่าชอบข้าวมันไก่ นาย b ก็บอกว่าชอบ
แต่ว่า... นาย a ที่บอกว่าชอบข้าวมันไก่หมายถึงว่าแบบ ไก่ไม่มีหนัง
กลับกัน นาย b ที่บอกว่าชอบข้าวมันไก่หมายถึงว่าแบบ  มีหนัง
แหนะแค่นี้ความคิดยังไม่เหมือนกันเลยแหะ =  ='

งั้นวัยรุ่นอย่างเราลองมามองมุมผู้ใหญ่ดูบ้าง
'ทำไมต้องเรียนเก่งๆ ทำไมต้องทำงานตามที่พ่อแม่ชอบ ทำไมต้องอ่านหนังสือ' ในความคิดผู้ใหญ่
เขาเหนื่อยกับชีวิตไงค่ะ
เขาต้องทำงานทุกๆ วัน เขาไม่ค่อยมีเวลาว่าง เพื่อมาพักผ่อน ผ่อนคลาย
เงินตอบแทนที่ได้ก็แทบไม่พอใช้ อาชีพไม่ค่อยมีเกียรติ และอีกมากมาย
ดังนั้นสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกให้เราทำนั้นก็เพราะเขาอยากให้ชีวิตเราดี
อยากให้มีงานดีๆ มีหน้ามีตา มีเงินเยอะ แล้วทีนี้พอเราอยากไปเที่ยวไหนอยากได้อะไรก็ได้
แล้วถ้าผู้ใหญ่ที่พอใจในหน้าที่การงาน เงินที่ได้ตอบแทนแล้ว ทำไมเขาต้องบอกให้เรา
เรียนเก่ง เหมือนกันล่ะ เพราะว่า เขาอยากให้ชีวิตเราดีเหมือนเขาไงค่ะ
นี่แหละความคิดของผู้ใหญ่ วัยที่ถูกมองว่ามีวุฒิภาวะมากที่สุด....

งั้นผู้ใหญ่ลองมองมุมวัยรุ่น
'ทำไมเราต้องเรียนเยอะ ต้องตั้งใจเรียนมาก' นั้นคือสิ่งที่เด็กอยากถามแต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะกลัวโดนดุ 55555
เข้าประเด็นเถอะ... ทำไมพ่อแม่ชอบว่าเราเรียนไม่เก่งฟ่ะ นั้นซิค่ะ
เรียนไม่เก่งแล้วไงค่ะ รอยหยักในสมองทุกคนมันเท่ากันหรอค่ะ จะให้ไปเก่ง
เท่าลูกคนข้างบ้านได้ไงฟ่ะ -  -'  นั้นซินะคิดแล้วก็เซ็ง
พ่อแม่ชอบให้อ่านนู่นอ่านนี่เรียนนู่นเรียนนี้ แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นท่านล่ะ
ท่านอยากไปเรียนมั้ย จะไม่เบื่อใช่มั้ยถ้าให้นั่งอ่านหนังสือวันล่ะ 8 ชม.
บอกเราว่าทำไมเราไม่ตั้งใจเรียน มั่นใจมากแค่ไหนที่พูดอย่างงี้กับเรา
พ่อแม่ไม่รู้หรอกว่าเราตั้งใจเรียนมากแค่ไหน หรือจะเป็นใครก็ช่าง
ไม่มีใครรู้หรอก มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่รู้ดี

และสิ่งที่ทุกคนคิดตรงกันคือ 'เบื่อที่พ่อแม่ชอบพูดบอกว่าให้ไปเรียนคณะนู่นนี้ ทำอาชีพนั้นอาชีพนี่'
....แล้วทำไมพ่อกับแม่ไม่เป็นเอง เราไม่ได้ก้าวร้าวนะค่ะ
แต่เรากำลังจะเสนอความคิดเห็นเราให้ฟัง
เราคิดว่าพ่อแม่หลายคนอยากจะมีอาชีพที่แตกต่างจากอาชีพที่ตัวเองเป็น
บางคนอยากเป็นหมอ เพราะสาเหตุอะไรเราไม่ทราบแต่ว่าทำไมพ่อแม่ไม่คิดว่าลูกก็เป็นเหมือนตัวเองบ้าง
พวกท่านน่าจะเข้าใจลูกบ้างว่าเด็กก็มีความคิดเป็นของตัวเอง
เขาอาจไม่ได้ต้องการสิ่งที่พ่อแม่ยัดเยียดให้....

ณ จุดจุดนี้สิ่งที่เราต้องการที่สุด
คือการอยากให้ทุกคน 'คิดมุมกลับ ปรับมุมมอง' 5555
ให้มองมุมของเราและมุมของอีกคน...
นั้นคือสิ่งที่ดีมากถ้าเราทำได้ทุกคน

มองถึงมุม 'โรงเรียน'
เราคิดว่าโรงเรียนอยากที่จะรักษาหน้าตาโรงเรียนมากเกินไป
อยากให้โรงเรียนมีชื่อเสียง
แต่อย่างว่าถ้าให้มองมุมกลับ 'โรงเรียนอาจะอยากมอบสิ่งที่ดีที่ให้แก่เรา'
ทำไมต้องมีคาบเรียนเยอะแยะ 'เพื่อนที่นักเรียนจะได้มีความรู้เยอะๆ'
ทำไมต้องบังคับทำกิจกรรมนู่นนี้เยอะแยะ 'เพื่อพัฒนาทักษะในหลายๆ ด้าน'
ทำไมต้องทำตัวเป่ะตามวินัยด้วย 'เพื่อฝึกความีวินัยไง เพื่อที่จะได้มีแบบแผนในชีวิต กันความผิดพลาดในหลายๆ เรื่อง'

ทำไมถึงการันตีว่าโรงเรียนนั้นดี โรงเรียนนี้ดี โรงเรียนนั้นเริ่ด
เพราะแต่ละโรงเรียนจะมีคนประเภคเดียวกันเยอะ
อย่างเช่นเตรียมอุดมมักจะมี 'คนเก่งไอคิวเรื่ดเวอร์' เยอะ
ดังนั้นจึงประสบความสำเร็จด้านการเรียนเยอะ เลยเป็นผลพลอยได้ทำให้โรงเรียนดัง
พอดังปุ๊บจึงมีคนคิดว่า เห้ย! ถ้าเข้าโรงเรียนนี้เราจะเก่งจะดี คนชม 5555
เพราะอย่างนี้เลยทำให้มีคนหลายคนคิดว่าโรงเรียนนี้ดีกว่าโรงเรียนนั้นนู่นนี่ บลาๆ
จึงเป็นที่มาของคำว่าเปรียบเทียบ อย่างเช่น จุฬาลงกรณ์กับราชภัฏ เข้าจุฬาฯ ดีกว่าเพราะเด็กเก่งกว่า
แล้วได้มองรึป่าวล่ะว่าบางทีข้อสอบเข้าจุฬาฯ อาจยากกว่า ราชภัฎ
ถ้าพูดยังงี้ก็มาเถียงอีกว่า ก็เพราะโ.ง่ไงเลยเข้าจุฬาฯ ไม่ได้ แหน่ะ ! -  -'
งั้นมองอีกทีนะเอาชัดๆ เคยเห็นครูมั้ยค่ะ ?
ครูจบมาจากจุฬาฯ กับราชรัฎ พอมาสอนนักเรียนสอนเหมือนกันมั้ย ความรู้เหมือนกันมั้ย
ถ้าเหมือนก็อย่ามาเปรียนเทียบว่าที่ไหนดีกว่า เพราะก็สอนเหมือนกัน .____.

อันที่จริงเราอยากให้โรงเรียนเป็นยังงี้มากกว่า
มีคาบเช้าไว้เรียน วิชาการ
มีคาบบ่ายไว้เรียน วิชาที่ชอบ อาจเป็นวิชาจิตวิทยาไรงี้ (เราจะเรียนเลยล่ะ กิกิ)

แค่นี้ถ้าโรงเรียนทำได้ แจ่มเลยยยย

พูดถึงสายอาชีพแล้วเราอยากเป็น จิตแพทย์ ค่ะ
เราอยากช่วยอยากรักษาคนที่จิตผิดปรกติ หรือคนที่มีความเครียด ความกังวล
และสิ่งสุดท้ายเราอยากทำให้สังคมยอมรับคนที่จิตผิดปรกติค่ะ =D

เราคิดนะว่าถ้าเราได้ทำในสิ่งที่ชอบอะไรๆ มันก็คงจะดี -////-

เอ๊ะะะ ! นี้เรามาพล่ามอะไรในกระทู้คนอื่นเนี้ยย 5555
ขอโทษน้าาา จขกท .____.

แก้ไขล่าสุด 9 ต.ค. 56 15:39 | ไอพี: ไม่แสดง

#8 | `Superman. | 9 ต.ค. 56 15:27 น.

ถ้ามีคนแบบนายเยอะๆก็คงดีนะ..
ผู้ใหญ่เขามองเราๆเป็นเด็กเมื่อวานซึน ความคิดต่างหน่อยไม่ได้
หาว่านอกคอก ไม่รักดี พาแตกแยก เราเลยต้องทำตามสิ่งที่เขากำหนด

นี่ล่ะถึงได้เจริญฮวบๆ 

ไอพี: ไม่แสดง

#10 | (หนูมาลี.|มีลูกแมว?) | 9 ต.ค. 56 21:46 น.

นั่นสิเนอะ

ไอพี: ไม่แสดง

#11 | FAH'[ฟากฟ้า]<3 | 9 ต.ค. 56 21:49 น.

เราก็อายุ 17 

และเราก็อยากเป็นครูด้วย 
เราคิดอยู่เสมอเรื่องหน้าที่การงาน และตำแหน่งของข้าราชการ
ที่คิดนี่ไม่ได้คิดเพราะในอนาคตอยากเลื่อนตำแหน่งหรืออะไรนะ
เราชอบที่ จขกท. บอกว่าแม่เป็นครู
และไม่อยากเป็นใหญ่เป็นโตให้มีทุกข์เลยไม่สอบรอง ผอ.
...ตำแหน่งมันยกระดับชีวิตเราในหลายๆ ด้าน
ได้เลื่อนตำแหน่ง...เงินเดือนก็เพิ่ม
ได้เลื่อนตำแหน่ง...ชีวิตก็ดูดี ดูภูมิฐานขึ้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใด คุณค่าของหน้าที่การงาน
ก็ไม่จำเป็นที่เราต้องยึดติดอยู่ที่ตำแหน่ง
ถ้าเราไม่ได้ทุ่มเททำงานจริงๆ แต่ทำเพื่อผลประโยชน์อื่นมากกว่า
เราก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้น

เหมือนกับการศึกษานั่นแหละ
เราต้องเรียนในหลายเรื่องที่เราไม่อยากเรียน
ต้องอ่านวิชาที่เราไม่ชอบไม่ถนัดก็เพราะเราต้องเรียน
การศึกษาไม่มีตำแหน่ง แต่มีความยึดติดในสถาบันมาแบ่งแยก
ระดับระหว่างคนเก่งกับคนไม่เก่ง...

ในจำนวนคนที่จบออกมามีงานทำ
มันก็มีคนที่ไม่ได้อยากทำอาชีพนั้นจริงๆ
แล้วเราจะมีความสุขอะไรจากสิ่งที่เราต้องฝืนใจทำ
เด็กบางคนยังไม่รู้ตัวว่าอยากเป็นอะไรจนวินาทีสุดท้าย
ที่ต้องตัดสินใจเลือกคณะนั่นแหละ....
แต่คนอีกจำนวนหนึ่งก็อยู่ได้บนวิถีทางแบบนี้

...ถ้าเราเป็นครู เราจะเป็นครูที่เป็นครูจริงๆ
คำว่าครูของเราไม่ใช่แค่คนที่เข้ามาสอนนักเรียนให้ผ่านพ้นไปวันๆ
เราเห็นเยอะแยะเลย ครูจบใหม่ที่โรงเรียนเรา บางคนก็ไม่ได้อยากมาเป็นครู
เราเสียความรู้สึกที่คนบางคนคิดว่าครูเป็นตัวเลือกสุดท้าย...
...ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รักในวิชาชีพครู ไม่ได้อยากเป็นครูจริงๆ
หงุดหงิดทุกทีเวลารู้ว่ามีคนคิดอย่างนี้  แต่ก็นี่แหละ สังคมและประเทศมันเป็นแบบนี้
มานานแล้ว 55555

เราก็ใช้ชีวิตต่อไปแล้วกัน ใช้เวลาในวัย 17 ให้คุ้มค่า โอ้เย่
 

แก้ไขล่าสุด 9 ต.ค. 56 21:52 | ไอพี: ไม่แสดง

#12 | `(-.Drake.conan- | 9 ต.ค. 56 22:00 น.

เห็นด้วยกับจขกท.เลยค่ะ
เราอ่านนิยาย อ่านการ์ตูน พ่อกับแม่เราก็บอกว่าไร้สาระ -_- บอกว่าทำไมไม่อ่านหนังสือเรียนบ้า
ทุกวันนี้ที่เรียนไม่หนักหนาอะไรมาก แต่แค่อยากรู้ว่าที่เรียนไปนี่เอาไปทำอะไรได้บ้า
ถ้าเรียนแล้วเอาไปทำอะไรไม่ได้จะเรียนให้ปวดหัวไปทำไม ไม่เข้าใจ TvT

ไอพี: ไม่แสดง

#13 | Kate. | 10 ต.ค. 56 00:12 น.

อ่านแล้วซึ้งมาก ขอบคุณค่ะ จขกท.

ไอพี: ไม่แสดง

#14 | `-เรื่องส่วนตัว.?! | 10 ต.ค. 56 01:07 น.

เราก็อายุ 17
ดีใจนะ ที่มีคนคิดคล้ายๆกันบ้าง
แต่บางทีเราว่าคิดพวกนี้ไปมันก็ไม่ได้อะไรหรอก
เพราะอะไร ?

.. เพราะความเหลื่อมล้ำ
สังคมไทยยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่มากมาย
คนรวยยังต่างกับคนจน และคนจน .. ก็เป็นคนส่วนมากของประเทศซะด้วย .
คนจนหมดเวลาไปกับการทำงานหาเลี้ยงชีพ คงไม่มีเวลามาดูแลเอาใจใส่ลูกเท่าที่ควร
เด็กที่โตมากับครอบครัวเช่นนี้ ก็จะไม่มีการศึกษาที่ดี ..

การศึกษาคือทุกอย่าง

.. เพราะการศึกษา
ที่ยังคงมีระบบแย่ๆจนไร้ทางแก้ไข
กระทรวงไม่ยอมรับว่าตัวเองแย่
หลักใหญ่ใจความสำคัญที่สุดของเรื่องคือ

รัฐบาลไม่ได้ต้องการให้เด็กไทยฉลาด

แค่นั้นเอง เพราะคนโง่ย่อมปกครองง่ายกว่า
ประชานิยม ซื้อเสียง อะไรก็ง่ายถ้าคนไม่มีความรู้

.. เพราะเงินเดือนครูน้อย
ค่านิยมสมัยนี้จึงเปลี่ยนไป
ใครที่มาเป็นครู ถามว่าเรียนคณะอะไร ? พอตอบครุศาสตร์ไป . ความคิดแรกคืออะไรคะ ?
คิดว่า 'ดีจังอยากเป็นครู ?' หรือ 'เอ็นฯไม่ติดเลยเลือกคณะที่คะแนนต่ำแบบนี้แน่ๆ'
ก็ต้องยอมรับความจริงกันไปว่าบ้านเราเป็นแบบไหน .

มันจึงเป็นวังวนไม่จบสิ้น
เริ่มจาก

ครูเงินเดือนน้อย -> คนที่มาเป็นครูไม่มีความสามารถจริง -> เด็กไม่มีการศึกษา -> โตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกชักจูงได้ง่าย -> เลือกนักการเมืองที่ไม่ได้ทำเพื่อประเทศอย่างแท้จริง -> ให้เงินเดือนครูน้อยๆและกระทรวงศึกษาก็ดูแลแบบส่งๆ .

และแล้วก็เป็นแบบนี้ไม่รู้จบ ?


.. บ่นอะไรของเราเนี่ย ขอบคุณสำหรับพท.ของเด็กนอนไม่หลับค่ะ :-)

ปล. เราไม่ได้ดูถูกอาชีพครูหรือคนเป็นครูนะคะ เราเองก็เคยอยากเป็นครูเหมือนกัน(แต่เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจบางอย่างที่ทำให้เปลี่ยนมาอยากเข้าหมอแทน) เพียงแต่พูดถึงความจริงในสังคมสมัยนี้ให้ฟังเท่านั้น ส่วนตัวเองรู้สึกยกย่องคนที่อยากมาเป็นครูมากค่ะ .

ไอพี: ไม่แสดง

#15 | swaby | 10 ต.ค. 56 03:05 น.

ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีๆค่ะ แต่ส่วนตัวเราไม่คอ่ยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เพราะที่บ้านเราไม่ค่อยใส่ใจอะไรเรียนๆไปให้จบก็พอออกมาจะทำอะไรอยากทำอะไรก็ตามฝันตัวเองไป ถนัดอะไรก็สนับสนุนอันนั้น

ไอพี: ไม่แสดง

#16 | mick_micklovelyness | 10 ต.ค. 56 03:49 น.

เจ็บนี้อีกนานนนนนนนนน

ไอพี: ไม่แสดง

#17 | ____รักพี่มาร์ค<3 | 10 ต.ค. 56 22:40 น.

จขกท. ชอบวิชาประวัติศาสตร์เหมือนเราเลย
แม้หลายคนมองว่าน่าเบื่อแต่เราชอบ
เราก็ชอบอ่านนิยาย(น้ำเน่า) แต่แม่ก็ไม่เคยห้าม

ไอพี: ไม่แสดง

#18 | tminimon>ิ<ิ | 16 ต.ค. 56 12:56 น.

จขกท.
เราโคตรรรรชอบทู้นี้เลยบอกตรงๆ
อยากให้คนเค้าคิดได้แบบนี้บ้าง

ไอพี: ไม่แสดง

#19 | mememe' | 16 ต.ค. 56 14:44 น.

เค้าชอบมุมมองจขกท.นะ

เค้าอยากให้ประเทศไทยปฏิวัติการศึกษา ไม่ใช่ปรับปรุง
การศึกษาเรา มีอะไรก็ให้เด็กเรียนทุกวิชา ซึ่งไม่แยกเป็นความถนัดของเด็กไปเลย
แต่ในเมืองนอกจะมีวิชามาให้เด็กเลือกว่าอยากเรียนอะไรแล้วตอนบ่ายทำกิจกรรมที่ชอบ เด็กก็เลยอยากไปโรงเรียน อยากหาความรู้ แล้วก็มีความถนัดในตัวเอง ค้นพบตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ไทยมีอะไรก็ใส่เด็กหมดเลย มันไม่ได้ประโยชน์เลยนะ สร้างความเครียดแก่เด็ก จนเด็กบางคนไม่เอาอะไรเลย ละทิ้งการเรียนหมดละ   แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองอยากจะเรียนอะไร

ไทย : เรียนเจ็ดแปดชั่วโมงต่อวัน ความรู้ได้นิดหน่อย เบื่อการไปเรียนแต่อยากเจอเพื่อน
ตปท : เรียนครึ่งวัน ชอบสรรหาความรู้ สนุกกับการทำกิจกรรม การเรียน และเพื่อน

ไอพี: ไม่แสดง

#20 | สยามเมืองยิ้ม:)) | 21 ต.ค. 56 13:38 น.

ใช่ เราแข่งเพื่ออะไร มันได้แต่ความทุกข์
เป้าหมายในชีวิตทุกคนคือความสุข
เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตที่มีความสุข


ผู้ใหญ่บางคนไม่เข้าใจของคำว่าการศึกษาอย่างแท้จริงหรอก
บางทีมุ่งให้เด็กฉลาด สูงส่งเกินไป จนลืมคุณธรรมในจิตใจ

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google