The Hunger Games: Catching Fire (2013) Review by FallsDownz

23 พ.ย. 56 16:14 น. / ดู 1,802 ครั้ง / 10 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
Movie Review
การกลับมาของแคทนิส  เอเวอร์ดีนที่ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี


Movie Name : The Hunger Games : Catching Fire ( 2013 ) , Action / Adventure / Sci-Fi
Director : Francis Lawrence ( Constantine , I Am Legend , Water for Elephants )
Stars : Jennifer Lawrence ( X-Men : First Class , Silver Linings Playbook ,The Hunger Games ) , Liam Hemsworth ( The Hunger Games , The Expendables 2 ) , Josh Hutcherson ( Bridge to Terabithia , The Hunger Games ) , Woody Harrelson ( The Hunger Games , Zombie Land , Now You See Me ) , Donald Sutherland ( The Hunger Games , Ordinary People ) , Stanley Tucci ( The Hunger Games , Percy Jackson : Sea of Monsters ) , Philip Seymour Hoffman ( Money Ball , The Master ) , Jena Malone ( Sucker Punch , Into the Wild ) , Sam Claflin ( Snow White and The Hunts Man , United )
Rating : PG -13



REVIEW

        ในตอนนี้ คงจะพูดได้ว่าไม่มีใครที่จะไม่รู้จักภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่ายักษ์ใหญ่มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งอย่าง The Hunger Games อย่างแน่นอน ตั้งแต่ภาคแรกในช่วงที่เข้าฉายทั่วโลกก็เกิดกระแส "Hype" กันมากมายจนทำให้หลายคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่ากระแส Hype ต่างๆเหล่านี้ มันจริงหรือมันเป็นเพียงแค่กระแสที่แฟนๆสร้างขึ้นมาแบบ Twilight กันแน่ คงต้องขอปูพื้นกันหน่อย The Hunger Games นั้นเป็นภาพยนตร์ที่มีต้นแบบหรือสร้างมาจากหนังสือนวนิยายขายดีชื่อดัง ในชื่อเดียวกันของ  Suzanne Collins โดยในหนังสือซีรียส์นี้นั้นมีอยู่ 3 ภาคด้วยกัน นั้นก็คือ The Hunger Games , Catching Fire และสุดท้าย Mockingjay  โดยในฉบับภาพยนตร์นั้นก็จะเดินตามภาคต่างๆในหนังสือเช่นเดียวกัน จะแตกต่างกันตรงที่ในภาคสุดท้าย Mockingjay นั้นตัวภาพยนตร์จะแยกออกมาเป็น 2 ภาค แบบ Harry Potter และ Twilight นั้นก็คือ 3.1 และ 3.2



ถึงแม้จะขอพูดเลยว่า รู้สึกเสียดายกับ The Hunger Games ในภาคแรก ที่ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ที่มีโอกาสมากๆอีกเรื่องหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถที่จะแสดงหรือเปล่งประกายมันออกมาได้อย่างที่ต้องการ โดยเฉพาะในองค์ 2 และ 3 ของภาพยนตร์ที่ผลออกมาได้ไม่สมกับองค์แรกที่ปูมาอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่างน่าเสียดาย ซึ่งคำถามในภาคนี้ "Catching Fire" หลักๆก็คงจะมีอยู่ว่า "แล้วภาคนี้สามารถที่จะข้ามจุดๆนั้นและโบยบินไปสู่จุดหมายได้หรือไม่ ?"



The Hunger Games : Catching Fire เป็นภาพยนตร์ที่น่าจะเรียกได้ว่า "เดินมาถูกทาง"แล้วในหลายๆด้าน ด้านที่น่าจะเรียกได้ว่าสำคัญมากที่สุดนั้นก็คือ การที่ตัวภาพยนตร์นั้นเปลี่ยนผู้กำกับจากภาคที่แล้วซึ่งก็คือ Gary Ross มาเป็น Francis Lawrence ซึ่งในภาพยนตร์บางเรื่องการที่เปลี่ยนผู้กำกับอาจจะไม่ใช่เรื่องดีซักเท่าไรนัก อย่างเช่น A Good Day To Die Hard ของ John Moore แต่ใน Catching Fire การเปลี่ยนครั้งใหญ่ครั้งนี้นั้น กลับทำให้ภาพยนตร์นั้น "เฉิดฉาย" ขึ้นอย่างมาก ซึ่งจริงๆแล้วตัวผู้กำกับ Francis Lawrence ก็ถือได้ว่าเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถมากมายอีกคนหนึ่ง จากผลงานอย่าง Constantine หรือ ภาพยนตร์ขวัญใจใครหลายๆคน I Am Legend เขาถือได้ว่าเป็นผู้กำกับอีกคนหนึ่งที่เล่าเรื่องได้เก่งน่าติดตามและรู้จักวิธีการสร้างความตึงเครียดในฉากต่างๆได้อย่างเก่งกาจ ที่สำคัญเลยก็คือ เขารู้จักวิธีที่จะขยี้หัวใจคนดูได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งสิ่งเหล่าๆนี้นั้น ก็เป็นองค์ประกอบหลักๆในภาพยนตร์ Catching Fire ภาคนี้ที่ทำให้มันช่าง "น่าหลงใหล"




สิ่งที่พบเห็นและรู้สึกได้ชัดเจนเลยในภาคนี้นั้นก็คือ มันเป็นการรับไม้ต่อได้อย่างน่าทึ่ง และเป็นการรับไม้ต่อจากภาคที่แล้ว ที่ยิ่งเสริมและทวีคูณความเข้มข้นของภาพยนตร์อีกเหล่าเท่าตัว ไม่ว่าจะในด้าน Content หรือ เนื้อหาของภาพยนตร์ที่เข้มข้น ดุเดือด จริงจัง มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าการปูเรื่องในองค์แรกของ Francis Lawrence จะโซซัด โซเซ ไปบ้าง แต่การเล่าเรื่องใน องค์ที่ 2 และ 3 เขากลับเอามันได้อย่างอยู่หมัดเลยจริงๆ ซึ่งแตกต่างจากภาคที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ความตึงเครียดต่างๆที่ช่างถาถม ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ หลายๆครั้งที่คุณจะพบว่าตัวคุณเองรู้สึกเหมือนกำลังกลั้นหายใจ ท่ามกลางความตึงเครียดนี้ ซึ่งเป็นผลมาจาก การที่ภาพยนตร์นั้นสามารถที่จะทำให้ผู้ชม"หลงเชื่อ" ได้ ว่านี้คือของจริง นี้คือสมรภูมิจริง ที่คุณไม่อาจจะรู้ได้ว่าก้าวต่อไปของตัวละครหนึ่งอาจจะเป็นก้าวสุดท้ายในชีวิตของตัวละครนั้น และคุณก็หลงไหล หรือ อาจจะพูดได้ว่า "หลงรัก" ตัวละครเหล่านี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันทำให้คุณคอยลุ้นทุกก้าวของตัวละคร และ หวัง ส่งกำลังใจให้ ตัวละครเหล่านั้น ว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรไป



ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งเลยก็คึอ ฉาก Action ต่างๆของผู้กำกับ Francis Lawrence นั้นไม่ใช่ฉากที่เต็มไปด้วย "Shaky Cam" หรือ เทคนิคการถือกล้องด้วยมือซึ่งทำให้ภาพที่ออกมามีการสั่น และไม่อยู่กับที่ ซึ่งช่างน่ารำคาญ และคุณแทบจะมองอะไรไม่เห็นเลย ซึ่งมันเป็นเทคนิคที่เรียกได้ว่า "หน้าไม่อาย" เพราะมันคือการพยายามปกปิดว่าคุณทำฉาก Action ได้อย่างห่วยแตกจนต้องใช้เทคนิคนี้มาบดบัง ซึ่งมีผู้กำกับจริงๆไม่กี่คนในโลกเท่านั้น ที่จะใช้เทคนิคนี้ได้อย่างเป็น สไตล์จริงๆ ใน The Hunger Games : Catching Fire นั้นทุกๆฉาก Action เราจะได้เห็นทุกๆตัวละครกำลังฟาดฟันกันอย่างไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมองไม่เห็นอะไร หลายๆครั้งฉาก Action เหล่านี้ มันมีความลึก ของรายละเอียดในฉากต่างๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ กว่าภาพยนตร์ Action หลายๆเรื่องโดยไม่ต้องใช้เทคนิค Shaky Cam เสียอีก



และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ ที่ไม่พูดเลยไม่ได้นั้นก็คือนักแสดงในภาพยนตร์ โดยเฉพาะ Jennifer Lawrence ที่เป็นอีกครั้งที่เธอพิสูจน์แล้วว่า เธอไม่ได้บท แคทนิส มาโดยฟลุ๊คๆ หรือ ได้รางวัล Oscar นำแสดงหญิงยอดเยี่ยม มาเพราะโชคดี แต่อย่างใด เพราะหลายๆครั้งในภาพยนตร์ที่เธอแสดงได้อย่างน่าทึ่ง และเรียกได้ว่าจัดการทั้งเรื่องได้อย่างอยู่หมัด ซึ่งในตอนนี้เธอถือได้ว่าเป็นนักแสดงหญิงที่มีความสามารถมากที่สุดอีกคนหนึ่ง และยังมีโปรแกรมแสดงในภาพยนตร์ใหญ่ๆอีกอย่างเช่น X-Men : Days of Future Past ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ ที่คนทั่วโลกจับตามองและคาดหวังมากอีกเรื่องหนึ่งในปี 2014 ยังไม่รวมถึง Jena Malone จาก Sucker Punch ที่ยังคงแสดงได้อย่าง "บ้าบิ่น"ซะจนทำให้ถูกใจตั้งแต่แรกพบจริงๆ



สุดท้ายนี้แล้ว คงจะต้องขอพูดถึงจุด Climax ของภาพยนตร์ ซึ่งต้องขอสารภาพเลยว่า ตัวเองนั้น เป็นคนที่ดูภาพยนตร์ Hollywood โดยเฉพาะ ภาพยนตร์ตลาด มามาก จนแทบจะไม่รู้สึกว่า ตัวเองนั้นตกใจกับฉาก Climax ฉากหักมุมต่างๆหรือตื่นเต้นไปกับมัน เท่าไรอะไรอีกแล้ว  ซึ่ง The Hunger Games : Catching Fire ก็พิสูจน์แล้วว่าความคิดข้อนั้น "ผิด" เพราะมันช่างเป็นฉากจบที่ น่าทึ่ง ตระการตา คาดไม่ถึง ฉลาด ที่สำคัญก็คือสมเหตุสมผล และเป็นการเริ่มต้น ปูไปสู่จุดจบในภาค 3.1 และ 3.2 ได้อย่างชาญฉลาด สาเหตุและเหตุผลเต็มๆก็น่าจะมาจากการที่ไม่เคยอ่านหนังสือภาคใดๆของ The Hunger Games มาก่อนเลย ซึ่งในจุดนี้ก็คงต้องขอชมผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ Suzanne Collins ที่เขียนหนังสือมาได้อย่างน่าทึ่ง และ ผู้กำกับ Francis Lawrence ที่กำกับและถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างตระการตา




ใช่ The Hunger Games : Catching Fire นั้น ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ "Perfect" มันยังคงมีการสะดุด และล้มอยู่หลายครั้ง แต่ทุกๆครั้งที่มันได้ล้มลง มันกลับลุกขึ้นมาใหม่ ได้อย่างแข็งแกร่ง และทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิมทุกครั้ง จนในท้ายที่สุดก็คงจะไม่มีใครสามารถที่จะปฏิเสธได้อีกว่า นี้คืออีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ สมการรอคอย และยิ่งใหญ่พอ ที่จะสามารถเดินตามรอยท้าว หรือแม้แต่ก้าวเคียง ไปกับภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งอย่าง Harry Potter ได้อย่างเต็มที่ และมีเกียรติ



Final Score : [ A - ] & [ Must See Badge ]



อ่านรีวิวเก่าๆ และ ติดตามรีวิวใหม่ๆได้ที่นี้ครับ http://fallsdownz.blogspot.com/
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | michaelangarano | 23 พ.ย. 56 16:49 น.

จุดเด่นของหนัง
จากการที่เรื่องราวในหนังสือเล่มสองถูกเขียนไว้อย่างเฉียบคม ดำเนินเรื่องในมุมมองของแคทนิส เอฟเวอร์ดีน โดยกล่าวเหตุการณ์แต่ละส่วน ที่จะมีจุดหักเหหรือจุดดึงดูดคนอ่านให้ติดตามตั้งแต่บทแรกไปจนจบเล่ม ความยอดเยี่ยมของหนังก็คือ การจับเอาประเด็นสำคัญที่กล่าวไว้ในหนังสือมาเล่าโดยไม่ทำให้เรื่องราวเสียศูนย์หรือเปลี่ยนความหมายไป แม้จะมีหลายฉากหลายตอนในหนังที่เนื้อหาต่างจากหนังสืออยู่บ้าง และบางเรื่องราวในหนังสือก็ไม่ได้มีในหนัง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายเมื่อหนังจบลง ประเด็นสำคัญ, อารมณ์ที่คนดูได้รับจากการอ่านหนังสือ แทบไม่แตกต่างจากการดูหนังเรื่องนี้เลย ซึ่งผมคิดว่ามือเขียนบทจะต้องอ่านหนังสือจบทั้ง 3 เล่มแล้ว จึงรู้ว่าจะสามารถละเนื้อหาตรงส่วนไหนได้บ้าง ที่จะไม่ทำให้ความหมายของเนื้อเรื่องเปลี่ยน และเรื่องราวที่ละทิ้งไปก็ไม่ได้ทำให้ความหมายเปลี่ยนไปจริงๆ หนังยังคงคอนเซปต์เดิมที่หนังสือสร้างไว้ แม้ว่าอารมณ์ที่ได้จะแตกต่างกันอยู่บ้างก็ตาม

จุดอ่อนของหนัง
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดอ่อนที่สะสมมาจากภาคที่แล้วด้วย ความจริงก็ไม่ใช่จุดอ่อนซะทีเดียว เพราะการเล่าเรื่องในหนังสือจะเล่าในมุมมองของแคทนิส ซึ่งบรรยายผ่านตัวอักษร ในขณะที่เมื่อทำมาเป็นหนังที่ต้องใช้ภาพในการเล่าเรื่อง การจะให้ภาพแทนตัวอักษรทั้งหมดที่มีในหนังสือก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นมุมมองที่เล่าในหนังจึงไม่ใช่มุมมองของแคทนิสฝ่ายเดียว แต่เป็นมุมมองของทุกตัวละคร เป็นสาเหตุของการที่หนังสือและหนังมีหลายฉากที่เล่าไม่เหมือนกัน อย่างเช่น ฉากการสนทนาของประธานาธิบดีสโนว์ กับพลูตาร์ช เฮฟเว่นสบี ซึ่งไม่ได้มีในหนังสือแต่ในหนังกลับมีตรงจุดนี้ทำให้อารมณ์ในบางฉากบางตอน ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับความรู้สึกที่ได้รับจากการอ่านหนังสือ เช่น ความโหด**มของประธานาธิบดีสโนว์ ในหนังสโนว์ไม่ค่อยมีบทบาท ถึงจะดูโหดร้ายแต่เนื้อเรื่องในหนังไม่ได้ส่งให้ดูร้ายกาจอย่างเช่นในหนังสือ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการละบางตอนที่ความสำคัญอ่อนลงไป เช่น ในหนังสือมีตัวละครดาริอุสที่กลายไปเป็นอะว็อกซ์จากการจับกุมของแคปิตอล ซึ่งในหนังไม่ได้กล่าวไว้.

ความสนุกของหนัง
ดูเหมือนจะมีอยู่น้อย เนื่องจากการที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเล่ารายละเอียดของเนื้อเรื่องและตัวละคร ในภาคล่าสุดนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากภาคแรกเท่าไร คือหนังยังคงเล่ารายละเอียดของเนื้อเรื่องและตัวละครอยู่เช่นเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เนื้อหาดูสนุกขึ้นกว่าภาคแรก คือการที่เนื้อเรื่องมีจุดดึงดูดความสนใจเป็นระยะๆ และมีขึ้นต่อเนื่องไปจนจบเรื่อง ซึ่งก็เกิดขึ้นเช่นเดียวกันในหนังสือเล่มสอง ที่จะมีจุดหักเหหรือจุดสนใจที่ดึงดูดสายตาจนแทบจะวางหนังสือไม่ลงเนื้อเรื่องยังคงเต็มไปด้วยบทสนทนาซะเป็นส่วนใหญ่ ฉากแอ๊กชั่นที่เร้าใจจริงๆก็จะมีเมื่อผ่านกลางเรื่องไปแล้ว คือตอนที่เข้าสู่สนามประลอง โดยก่อนหน้านั้นก็จะเป็นเรื่องราวของทัวร์ผู้พิชิต การจับฉลากคัดเลือก การสัมภาษณ์ และการฝึกซ้อมในศูนย์ฝึก ซึ่งกินเวลายาวนานกว่าครึ่งเรื่องเมื่อผ่านครึ่งเรื่องไปแล้ว ก็เข้าสู่ความตื่นเต้นในสนามประลองที่ออกแบบขึ้นใหม่ ในครั้งนี้มีลูกเล่นมากกว่าภาคที่แล้ว โดยภาคที่แล้วก็อย่างที่รู้ๆกัน ตัวละครเดินเล่นในป่ากันซะเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เนื้อเรื่องออกจะเชื่องช้าไปบ้าง ต้องขอบคุณที่หนังสือเล่มสองวางโครงเรื่องไว้อย่างดี จนทำให้เมื่อกลายเป็นหนังแล้ว ออพชั่นต่างๆถูกเสริมเข้ามาเพื่อเพิ่มความเร้าใจ โดยเฉพาะออพชั่นที่เกิดจากสนามประลองรูปแบบใหม่

ฝีมือของนักแสดง
จากภาคที่แล้ว นักแสดงนำอย่าง�เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์�ได้สร้างบุคลิกตัวละครไว้อย่างเป็นที่จดจำ ก่อนที่จะไปสะดุดบันไดรับรางวัลออสการ์นำหญิงจาก�Silver Linings Playbook�ซึ่งก็เป็นหนังที่เข้าฉายปีเดียวกับ�The Hunger Gamesเมื่อกลับมาเล่นภาคต่อใน�The Hunger Games: Catching Fire�ทำให้คนดูยิ่งเชื่อใจในฝีมือของเธอมากขึ้นไปอีก ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่สะดุดบันไดไปรับรางวัลออสการ์แน่นอน (อิอิ)การกลับมารับบทเดิม ด้วยพัฒนาการตัวละครและฝีมือนักแสดงที่เข้มข้นขึ้น ทำให้เนื้อเรื่องยิ่งดึงดูดอารมณ์คนดูมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่นางเอกของเราเท่านั้นที่ทำหน้าที่ได้ดี นักแสดงคนอื่นๆก็ทำหน้าที่ได้ดีเช่นกัน คนที่ผมชอบที่สุดรองจากนางเอกคือ�เอลิซาเบ็ธ แบงส์�ในบท เอฟฟี่ ทริงเกต จากสีหน้าแววตาการสื่ออารมณ์ที่ดึงดูดสายตาคนดู ในขณะที่�จอช ฮัทเชอร์สันคนที่ผมคิดว่าในหนังภาคแรกยังทำไม่ดีเท่าไร แต่จากการแสดงในภาคนี้ ผมรู้สึกว่าจอชคือพีต้าจริงๆ เป็นอารมณ์ที่แบบว่า นี่แหละ พีต้า เมลลาร์ก ที่อ่านไว้จากหนังสือ ต้องถือว่าจอช ฮัทเชอร์สัน พัฒนาการดีขึ้นมากกว่าเดิมส่วนนักแสดงคนอื่นๆที่ดูแล้วโดดเด่นตามเคยก็คือ�สแตนลีย์ ทุคชี่�ในบท ซีซาร์ ฟลิคเกอร์แมน ยอมรับว่าทุกบทบาทไม่เคยพลาดที่จะแสดงออกแบบสุดๆ เป็นดาราอีกคนที่เล่นบทบาทได้หลากหลาย ในขณะที่�แซม แคฟลิน�ในบทฟินนิค โอแดร์ ก็ทำได้ดีเช่นกัน ถึงแม้ว่าตอนอ่านหนังสือจะคิดว่า หน้าตาจะหล่อเหลากว่านี้ คนนี้หน้าย่นไปหน่อย และทรงผมก็ทำให้ดูไม่ค่อยแมน ต่างจากตอนผมเปียกที่ดูดีกว่าผมแห้งเยอะเลย อีกคนที่บทเด่นและแสดงสีหน้า/ฝีปากได้ดีสุดๆก็คือ�จีน่า มาโลนในบท โจแฮนนา เมสัน แม้ว่าในหนังสือจะกล่าวไว้ว่าเธอไม่ค่อยถูกกลับแคทนิส แต่ในหนังสรุปเร็วมาก ว่าทั้งคู่ถูกคอกันแล้วสำหรับนักแสดงที่บทไม่ส่งเท่าไร ผมคิดว่าเป็นบทประธานาธิบดีสโนว์ ที่ได้�โดนัลด์ ซุทเธอร์แลน�มารับบท ลุงแกก็ถือว่าเล่นได้ดีแล้ว เพียงแต่ความ**มโหดของตัวละครนี้ในหนัง ยังไม่ร้ายกาจเหมือนอย่างในหนังสือ ที่จะมีเหตุการณ์ต่างๆมาเล่าความโหด**มของสโนว์ ส่วนบทคุณยาย แม็กซ์ จากการรับบทของ�ลินน์ โคเฮ็น�ก็ไม่ได้พูดอะไรเลยซักคำ เพียงแต่ผงกหัวงกๆ ยิ้มอย่างเดียว ต่างจากในหนังสือที่พูดได้ ในหนังเหมือนเป็นใบ้เลย เป็นอะวอกซ์เรอะ?ส่วนนักแสดงคนอื่นๆที่รับบทบรรณาการที่เข้าร่วมการแข่งขันเกมล่าชีวิตครั้งที่ 75 ก็ออกกันมาแค่ไม่กี่ฉาก มากสุดนอกจากที่กล่าวไปแล้ว ก็มีเพียง�เจฟฟรีย์ ไรท์�ในบท บีที และอแมนด้า พลัมเมอร์�ในบท ไวร์เลส ที่มีให้เห็นหลายฉาก ส่วนตัวละครอย่าง ยายฟันแหลม เอโนบาเรีย (เมตา โกลดิ้ง), หุ่นถึก บรูตัส (บรูโน่ กันน์) มีวิ่งมาแชว้บๆเพียงไม่กี่ฉาก ซึ่งใกล้เคียงกับการปรากฏตัวในหนังของ กลอสส์ (อลัน ริชสัน) และแคชเมียร์ (สเตฟานี่ ลีห์ ชลันด์) ที่มาปุปปับก็หายหน้าไปแล้ว แต่พวกนี้ก็ยังดีกว่าบรรณาการอื่นๆที่เหลือ ที่มีปรากฏตัวน้อยมาก เป็นแค่วิ่งลิบๆในฉาก หรือภาพปรากฏตอนตายเท่านั้นสำหรับคนอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึง ก็ถือว่าแสดงได้ดีเช่น เคย เพราะส่วนใหญ่ก็กลับมาเล่นในบทเดิมๆของตัวเอง

แก้ไขล่าสุด 23 พ.ย. 56 16:52 | ไอพี: ไม่แสดง

#2 | แพรี่. | 23 พ.ย. 56 20:20 น.

หนังภาคต่อที่ทำจาหนังสือหลายเรื่องไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวจากหนังสือได้ชัดเจน
เรื่องนี้ก็ไม่ เพอร์เฟกต์ แต่ทำได้ดีไม่น่าผิดหวังสำหรับผู้อ่านอย่างเราๆเลย

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | Mars'andMe | 23 พ.ย. 56 22:54 น.

ต้องยอมรับว่า ภาพยนต์ชุดนี้แฟนหนังสือไม่มีผิดหวังจริงๆ ถึงจะเก็บรายละเอียดได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ผมที่เป็นแฟนหนังสือ ไม่รู้สึกผิดหวังเลย // บางฉากอินกว่าในหนังสือซะอีก

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | ma_meaw | 24 พ.ย. 56 03:03 น.

ภาคนี้ผุ้กำกับให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องในหนังสือน่ะ ดัดแปลงไม่มากจนเกินไป ขนาด Harry Potter ยังโดนด่าแทบจะทุกฉากทุกภาคเลย 

ถ้าฉากสู้กันมากไปกว่านี้ก็คงไม่สนุกแล้ว แบบนี้กำลังดีเลย

ส่วนฉากซึ้งยังไงก็สู้ฉากริวตอนภาคแรกไม่ได้

สรุปแล้วเดินออกมาจากโรงอย่างมีความสุข 

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | .::นู๋กระต่าย::. | 25 พ.ย. 56 09:58 น.

อยากดูอีก สองรอบแล้ว 

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | yukinbc | 25 พ.ย. 56 11:58 น.

หนังมันบู๊แอ็คชั่นมากไหมอ่ะ

จากที่ฟังๆ อ่านๆ มา หนังมันเหมือนออกแนวซีรี่ย์อ่ะ

เคยดูภาคแรก แอ็คชั่นเหมือนซีรี่ย์ในทีวีเลยอ่ะ กลัวว่าภาค 2 จะเป็นแบบเดิม

แล้วกลิ่นไอหนังมีความรู้สึกเหมือนเข้าข่ายหนังรักวัยรุ่นแต่แฝงadventure เข้าไป

คล้ายๆกับ บิวตี้ฟูลครีเอเจอร์ , นักรบครึ่งเทวดา , แวพไพรทไวไลท์ ประมาณนั้นเลยอ่ะ

เราเข้าใจถูกป่ะ

แล้วจากที่ดูตัวอย่าง ฉากที่ป้าเจนกระโดดน้ำ คงเป็นฉากตอนครึ่งหลังแล้วแน่ๆ

แล้วครึ่งแรก ไม่มีแอ็คชั่นเลย ถ้าใครที่ชอบหนังแอ็คชั่นแบบจัดเต็มตลอดทั้งเรื่อง

คงผิดหวังกับช่วงแรก และหลับในช่วงครึ่งแรกแน่ๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | FallsDownz | 25 พ.ย. 56 14:32 น.

ส่วนตัวคิดว่า ดีกว่าพวก Beautiful Creatures , Mortal Instrument ฉบับภาพยนตร์เยอะครับ คือที่บอกว่ามันน่าเบื่อๆในช่วงแรกนี้ มันเนื้อหาทั้งนั้นเลยนะครับ และ**ในช่วงแรกเนี้ยแหละ มันจะไปเสริมความตึงเครียดในฉากต่อสู้ตอนท้ายที่อยู่ในสนามแล้ว เพราะ **เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น มันส่งผลกับตัวละคร ไม่ใช่แค่ไปเป็น Stage ๆ ไม่มี Connection กันเท่าไรแบบภาพยนตร์บางเรื่อง ฉากตอนที่เข้า Arena แล้วก็ดีกว่าเดิมมากครับ ดีกว่า TV-Series เยอะ (นึกถึง Arrow สินะ)

บอกตามตรงครับ ใครที่ชอบหนัง Action ล้างผลาญ บู้กระจาย เผากระท่อม แล้วไม่คิดจะสนใจเนื้อเรื่องเลย คือสรุปมาดูหนังเอาแต่ฉาก Action ซะใจแบบ Transformers ผมว่าดูเรื่องนี้ไป ไม่ว่ามุมไหน ยังไงก็ไม่น่าจะสนุกซักเท่าไร เพราะ The Hunger Games มันมีบท มันมีประเด็นของภาพยนตร์ที่ใส่เข้าไปด้วย ไม่ใช่มาถึงระเบิดตูมตาม ไร้เหตุผลอย่างเดียว รวมถึงกับการที่ตัวหนังแฝงความเป็น Survival เอาชีวิตรอดเข้าไป ผลก็คือมันทำให้ตัวหนังมันมีความ "สมจริง" ครับ เราจะเชื่อว่าในสนามคือของจริง ตายคือตายจริง มันจะทำให้เรารู้สึกได้ถึงความกดดันจากภาพยนตร์ และ ลุ้นมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ๆ ในภาพยนตร์บู้ล้างผลาญ เผากระท่อม จะไม่ค่อยมีนัก เพราะมันระเบิดกันอย่างไร้เหตุผลอยู่แล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าเราจะแคร์ตัวละครไปเพื่ออะไร

ไอพี: ไม่แสดง

#8 | TaytayNRTB | 25 พ.ย. 56 18:49 น.

ดูรอบแรกแล้วอารมณ์ค้างมากค่ะ อยากดูรอบสองอีก 

ไอพี: ไม่แสดง

#9 | Magellan | 28 พ.ย. 56 11:53 น.

หนังเฉพาะแฟนหนังสือหรือป่าว ไม่เคยอ่านซักภาค ส่วนตัวหนังภาคแรกเคยดู แต่เฉยๆ เห็นมีแต่กระทู้แฟนหนังสือ ไม่ทราบผู้วิจารณ์เป็นแฟนหนังสือ หรือนักดูหนังทั่วไปครับ

ไอพี: ไม่แสดง

#10 | FallsDownz | 28 พ.ย. 56 21:42 น.

ตอบ คห.9  คำตอบอยู่ในบทวิจารณ์แล้วครับผม
"สาเหตุและเหตุผลเต็มๆก็น่าจะมาจากการที่ไม่เคยอ่านหนังสือภาคใดๆของ The Hunger Games มาก่อนเลย"

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google