วิจารณ์ The Hobbit: The Desolation of Smaug

12 ธ.ค. 56 23:40 น. / ดู 935 ครั้ง / 2 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
The Hobbit: The Desolation of Smaug
By Bigtum

บทความนี้เปิดเผยรายละเอียดเล็กน้อย

: มหากาพย์ไตรภาคของนิทานก่อนนอน
    ไม่พลาดที่มีชื่อเข้าชิงออสการ์ด้านสาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยมครั้งล่าสุดเหมือนกันสำหรับหนัง The Hobbit ภาคนี้ ย้อนกลับไปเมื่อซักประมาณ 20 ปีกว่าปีก่อน ผู้กำกับปีเตอร์ แจ็คสัน ที่ตอนนั้นคงกำลังง่วนอยู่กับการสรรหาวัสดุราคาถูกมาทำเอ็ฟเฟ็กต์ในหนังสยองฮาเลือดสาดเรื่อง Bad Taste ของเค้า สมัยนั้นแจ็คสันยังทำหนังเองแบบไม่พึ่งพานายทุน เพราะอำนาจแห่งแหวนยังมาไม่ถึง บารมียังไม่ถือกำเนิด นั่นคือผลงานหนังอินดี้เจ๋งๆก่อนที่เค้าจะมีชื่อเสียง หลายคนคงไม่ลืมหนังสยองสุดโหดอย่าง Braindead ซึ่งไอเดียความสร้างสรรค์นั้นได้เริ่มฉายแววขึ้นเรื่อยๆ แบบเดียวกับแซม ไรมี่ ที่ให้กำเนิด Evil Dead เลย

สิ่งที่ทำให้โลกได้รู้จักเค้าในวงกว้างก็คือไตรภาค The Lord of the Rings มันคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต เพราะหลังทำเงินแบบถล่มทลายเพิ่มขึ้นในแต่ละภาคที่ฉาย ฮอลลีวู้ดอ้าแขนต้อนรับ สร้างความประทับใจทำให้คนดูทั่วโลกได้หลงใหล ชื่อของปีเตอร์ แจ็คสันคือความคาดหวังในการตอบสนองความบันเทิงต่อเเฟนๆ แถมยังเป็นชื่อที่นายทุนรัก ได้เป็นผู้อำนวยการสร้างก็หลายเรื่อง กำกับเองทั้งสเกลใหญ่อย่าง King Kong และสเกลเล็กอย่าง The Lovely Bones กลับมาหนนี้ขอหากินกับนิยายของ เจ.อาร์.อาร์. โทลคีนต่อ ด้วยการหยิบเอาการผจญภัยของเผ่าคนตัวเล็กที่ถือเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะไปชิงแหวนกันใน The Lord of the Rings มาสร้างเป็นหนัง

โอเค ในภาคแรกอาจจะยังไม่ออกลีลาแอ็คชั่นจัดจ้านให้เห็นเท่าไหร่นัก เพราะเป็นเรื่องของการแนะนำทีม 13 คนแคระขี้หงุดหงิดให้ผู้ชมได้รู้จัก แต่ในภาคสองที่ชื่อ The Desolation of Smaug ดินแดนเปลี่ยวร้างของสม็อกนั้นถือว่าเป็นภาคที่ดูสนุกขึ้นมากเลยทีเดียว อย่างแรกเลยที่ต้องออกปากชมคืองานด้านภาพอันสวยงามอลังการกับภูมิทัศน์เดิมที่นิวซีแลนด์บ้านเกิดของผู้กำกับ และงานด้านเทคนิคต่างๆที่เนียนกริบสมจริง สมกับเจ้าแห่งไอเดียความคิดสร้างสรรค์ที่ผู้เขียนได้เวิ่นเว้อไปในสองย่อหน้าแรก ส่วนประการต่อมาก็คือจุดเชื่อมโยงที่ได้ทิ้งไว้ในตอนจบของภาคที่แล้ว กับมังกรสม็อคที่เคยจะกั๊กไว้ภาคสาม ได้อวดโฉมเต็มๆตากันเลยในภาคนี้

บทภาพยนตร์ที่เขียนโดย ฟราน วอล์ช, ฟิลลิปป้า โบเยนส์, ปีเตอร์ เเจ็คสัน และกิลเลอร์โม เดล โตโร ก็ขยับเขยื้อนไปทีละนิดตามคาด เพราะมันคือการเอานิทานก่อนนอน 300 หน้า เล่มบางเฉียบของ เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน มาขยายเป็นหนังถึงสามภาค จังหวะที่จะใส่จุดไคลแม็กซ์ลงไปจึงต้องรอเวลาที่เหมาะสม พวกคนแคระทั้ง 13 ภายใต้การนำของ ธอริน โอเคนชีลด์ กำลังถูกพวกออร์คซุ่มจับตาดู เพื่อเฝ้ารอจังหวะโจมตี ทว่าการปรากฎตัวของแมงมุมยักษ์นั้นกลับอันตรายยิ่งกว่า มันดูน่ากลัวพอๆกับที่โฟรโด้เจอใน The Lord แต่มากันเป็นฝูงใหญ่ทำให้เมิร์ควู้ดกลายเป็นป่าเเห่งฝันร้ายไปเลย ขณะที่พวกเอล์ฟป่าก็มีทั้งพวกที่ช่วยเหลือและพวกขัดขวางมาจับตัวไปขัง ซึ่งพวกเค้าจะต้องใช้ไหวพริบหนีออกไปให้ได้

ฉากเท่ห์ๆ (หรือเปล่า) ของ 'เลโกลัส' พ่อเอล์ฟหนุ่มรูปงามออลันโด้ บลูม ก็คือการเหยียบหัวพวกคนแคระขึ้นไปต่อสู้ ด้วยลีลาตีลังกายิงธนูอันแสนคล่องแคล่วว่องไวนั้น แหม เห็นแล้วมันน่าจับให้ไปเจอกับฮอว์คอาย หรือแคทนิสซะจริงๆ คงจะมันส์พิลึกน่าดู ฉากเด่นที่หลายคนพูดถึงกันมากก็คือฉากหลบหนีของพวกคนแคระที่หลบอยู่ในถังไม้ไหลไปตามร่องน้ำแคบๆนั้นทำออกมาได้ดีมากๆ ซึ่งลากยาวไปจนถึงประตูด่านตรวจเลค-ทาวน์ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างอารมณ์ขันและแอ็คชั่นออกมาได้อย่างลงตัว รวมไปถึงไฮไลต์เด็ดของหนังที่หลายคนคาดหวังเมื่อไปถึงหุบเขาเดียวดาย เพื่อพบกับเจ้ามังกรสม็อคก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ

มันคือน้ำจิ้มเรียกให้ชิมพอเป็นน้ำย่อยก่อนจะจัดมื้อหนักกันในภาคที่สาม ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เทคนิคโมชั่นแคปเจอร์ได้ทะยานขึ้นสู่จุดที่เหนือระดับขึ้นไปอีกขั้น (หลังทำได้สำเร็จกับเจ้ากอลลั่ม) ภายใต้การแสดงออกทางท่วงท่าและสีหน้าของ เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ ผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งรวมถึงน้ำเสียงอันน่ายำเกรงนั่นด้วย มาร์ติน ฟรีแมน ในบท 'บิลโบ แบ็กกินส์' ยังคงมีสีสัน เค้าดูมีความกล้าหาญขึ้นยามเมื่อใส่แหวน อำนาจของมันกำลังดูดกลืนผู้ครอบครองโดยที่เค้าไม่อาจรู้ตัว ริชาร์ด อาร์มิเทจ ในบท 'ธอริน โอเคนชีลด์' ผู้นำขบวน ยังคงหล่อเข้มเหมือนเดิม เค้าดูพึ่งพาได้และรู้ใจบรรดาเพื่อนพ้องที่ร่วมทีม

มาถึงคนแคระที่สาวกรี๊ดที่สุดกันบ้าง 'คิลี' รับบทโดย ไอเเดน เทอร์เนอร์ ที่นอกจากจะหล่อสุดแล้วยังโชคดีอีกต่างหาก มีฉากกุ๊กกิ๊กกับเอล์ฟสาวสวยอย่าง 'ทอเรียล' ที่รับบทโดย อีแวนเจลีน ลิลลี่ ซึ่งบทของทั้งคู่นั้นถูกเพิ่มขึ้นมาจากในหนังสือ จะหวานหรือจะจืดก็ต้องไปลุ้นกันเอาเอง ลูค อีแวนส์ นักเเสดงหนุ่มชาวเวลช์ช่วงนี้ถือว่าเนื้อหอม ทั้ง Fast 6, Clash of the Titans, Robin Hood, Immortals และ The Hobbit ได้รับแต่บทเด่นๆ ในเรื่องรับบทเป็น 'บาร์ด' ผู้คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าคนแคระของเรา ขาดไม่ได้คือพ่อมดเทา 'แกนดัล์ฟ' คุณปู่เอียน เเม็คเคลเลน ภาคนี้ออกไม่มาก แต่ก็เป็นบทที่เป็นภาพจำติดตาคนของดูไปแล้ว

งานด้านวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ดูเนี๊ยบสมราคา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าดูแบบระบบ High Frame Rate 3D (HFR 3D) ผลจะออกมาเป็นยังไง ใครได้ดูระบบนี้ก็มาเล่าให้ฟังบ้างเน้อ ผู้เขียนได้ดูแค่ระบบธรรมดาก็ประทับใจซะแล้ว เห็นว่าถ่ายทำด้วยระบบ 3 มิติ 48 เฟรมต่อวินาที มันก็น่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีอยู่ ดนตรีประกอบของ ฮาเวิร์ด ชอว์ เป็นส่วนเสริมให้ภาพตรงหน้าดูเข้มข้นขึ้น มีหลายธีมที่โดดเด่น ถ้าลองหลับตาฟังนั้นถึงขั้นจินตนาการออกมาเป็นฉากๆได้เลย เปลวเพลิงของมังกรกำลังร้อนระอุได้ที่ แต่มันได้ถูกหยุดลงกลางคัน เสมือนกำลังจะบอกให้รู้ว่าของจริงมันหลังจากนี้ต่างหาก อดใจรอไว้ อีกหนึ่งปีไม่นานหรอก!

ระดับคะแนน "B+"

ติดตามอ่านรีวิวเรื่องอื่นๆได้อีกเพียบ อาทิ Like Father, Like Son / Snowpiercer / Don Jon / Mary is Happy, Mary is happy ได้ที่ https://www.facebook.com/pages/The-.........101573433344532
แก้ไขล่าสุด 12 ม.ค. 57 14:32 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | MTH.Channel | 13 ธ.ค. 56 06:00 น.

ภาคนี้ดีกว่าภาคแรกจริงๆ ฉากที่ดีที่สุดก็คือฉากคนแคระหนีจากเอลฟ์นี่แหละ ท่วงท่าการเคลื่อนไหนสวยงาม มีความลื่นไหลและเท่ อีกทั้งมุมกล้องเฉียบๆถ่ายแพลนไปตามได้สมูทมาก เป็นฉากที่ต่างจาก Action ธรรมดาดี ดูมีกระบวนการคิด

หลังๆผมว่ายืดมาก ตั้งแต่ลอบเข้าเมืองนั่นแหละ มีตกหล่นบ้างก็พวกอ็อคแกเข้าเมืองง่ายผิดกับพวกพระเอก ความสัมพันธ์ของเอลฟ์กับคนแคระดูจะง่ายดายเกินไปหน่อย ใช้การถ่ายสลับไปมาเล่าเหตุการณ์ย้อนซ้ำเพื่อยืดเวลา(เทคนิคเดียวกับพวกการ์ตูนน่ะครับ) ซึ่งแกทำเนียนตรงไม่รู้สึกเบื่อ แต่รู้ว่าแกพยายามยืดแบบชัดมาก(ในความรู้สึกผม) และรู้เลยว่าจะจบยังไง(กว่าจะจบก็ยืดแล้วยืดอีก ที่สม็อคบ่นๆไม่ได้มีผลกับบทเลย หรือการกระทำพวกคนแคระก็แมวไล่หนูดีๆ) พยายามลากแบบสุดๆแล้วแหละมั้ง

ซึ่งที่กล่าวมาข้างต้นใช่ว่าไม่ดี แต่บทไม่เดินมากกว่า ปกติหนังแบบนี้น่าจะกังวลว่าจะตัดบทให้มันพอดียังไงมากกว่าทำให้ยืด บทเลยดูเล็กๆ แต่ก็เข้าใจว่าภาคนี้แกกั๊กกะปล่อยของภาคหน้าอะนะ

เลโกลัสฟัดกับอ็อคยังกั๊กเลย มันจะหนีทำไม อุตส่าบอกเพื่อนได้ดูอะไรเฟี้ยวๆแล้ว ตอนที่เห็นเลโกลัสตามไป สรุปแป็กเลย) 

ผมให้ 8.4/10(Good) นะครับ 

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | Mars'andMe | 14 ธ.ค. 56 10:13 น.

ท้ายๆเรื่องยืดยาว ชวนง่วงเหมือนกัน แต่โดยรวมก็สนุกสนานดีครับ (เข้าใจว่าหนังสือเล่มบางเฉียบ เอามาหั่นเป็น 3 ภาค ภาคละเกือบ 3 ชั่วโมง มันก็ต้องมียืดยานกันบ้าง  )

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google