American Hustle (2013) เธอหลอกฉัน... ฉันหลอกเธอ...

21 ธ.ค. 56 05:03 น. / ดู 2,161 ครั้ง / 4 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์


“โกง.. กระฉ่อนโลก” คือชื่อไทยของภาพยนตร์เรื่องนี้ และนี่เป็นชื่อภาพยนตร์ภาษาไทยไม่กี่เรื่องที่ดึงดูดผมได้ดีทีเดียว...
American Hustle เป็นผลงานล่าสุดของ David O. Russell และคงอดพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง Silver Linings Playbook (2012) ผลงานก่อนหน้าไม่ได้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ผมชอบมากทีเดียวในปีที่แล้ว

ถ้าให้พูดถึงความยากในการดูเรื่อง American Hustle ผมคงต้องบอกว่า ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดูยากจนเกินไปหรือง่ายแบบป้อนอาหารให้คนดู แม้เนื้อหาของมันไม่ใช่สิ่งที่หลายๆคนจะคุ้นเคยนัก แต่ข้อดีที่บอกว่าดูไม่ยากจนเกินไปนั่นคือ หนังค่อนข้างจะเฉลยข้อสงสัยในตอนท้ายหลังจากให้คนดูคิดตามแล้ว (ไม่ใช่ท้ายสุด มาเป็นระยะและจังหวะที่เหมาะสม) ดังนั้นการตั้งใจดูจึงไม่น่าจะทำให้ผู้ดูไม่เข้าใจสิ่งที่หนังบอกเล่า

ปัญหาหลักๆที่มักมีคนพูดถึงนั่นคือบทสนทนา ผมต้องยอมรับจริงๆว่ามันเป็นปัญหาสำหรับบางท่านแน่ๆ แต่เมื่อเทียบกับผลงานก่อนหน้าอย่าง SLP แล้ว มันช้ากว่ากันพอดู แม้จะยังคงบทสนทนาที่ยาวมาเป็นชุด โต้วาทีกันแบบถึงใจพร้อมกับยิงมุขแบบเนียนๆ การพูดคุยนั้นค่อนข้างจะดูมีเหตุผลและจับต้นชนปลายได้ง่ายกว่า SLP (ผมกลับชอบบทสนทนาแบบ SLP มากกว่า)

ซึ่งท้ายที่สุดแล้วถึงผมจะบอกว่ามีเหตุผลและจับต้นชนปลายได้ แต่นั่นกลับทำให้เราอาจไม่มั่นใจหรือเชื่อคำพูดเหล่านั้นทั้งหมดภายใต้มิติของตัวละครที่เราเริ่มสัมผัสได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ช่วงแรกของหนังค่อนข้างจะน่าเบื่อพอสมควร แต่เมื่อผ่านจุดนั้นไปได้ บทสนทนาจะพรั่งพรูมากขึ้น เราจะรู้จักตัวละครมากขึ้น บทจะถูกขยี้มากขึ้น ความเข้มข้นทั้งหมดจะถูกหล่อหลอมออกมาจนทำให้เราเข้าใจกับทุกสถานการณ์ในหนัง และมันทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว แม้ว่าตอนท้ายความเข้มข้นจะเบาบางลง และจุดจบที่หลายคนไม่คุ้นเคยนัก...




จากนี้มีสปอยล์และทัศนะของตัวผู้เขียนเองด้วย ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ทัศนะของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

คุณเคยโกหกหลอกลวงบ้างมั้ย ? แน่นอน ผมเชื่อว่าคุณต้องเคย แม้เราจะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กก็ตามว่าการโกหกหลอกลวงเป็นเรื่องไม่ดี...

Irving (Christian Bale) เป็นหนึ่งในตัวละครเรื่องนี้ที่ชีวิตของเขามีแต่หลอกลวง ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อความอยู่รอดของตัวเขาเอง เขาทำมันตั้งแต่เด็ก เขาจำเป็นต้องทำมัน จนเมื่อเขาโตขึ้น วิธีนี้ทำให้เขาอยู่รอดได้ เหตุใดล่ะที่เขาจะไม่ทำมันต่อไป...

เมื่อความจำเป็นถูกเปลี่ยนให้เป็นความเคยชิน มันทำให้เราเป็นเราในตอนนี้

และการพบกับ Sydney (Amy Adams) โดยบังเอิญ ทำให้เขายกระดับความเป็นนักหลอกลวงขึ้น เมื่อเธอเป็นดั่งคนรู้ใจ หุ้นส่วน สมองอีกซีก แม้กระทั่งเกราะกำบัง

ธุรกิจของทั้งคู่ไปได้ดี แต่หยุดชะงักลงเมื่อ Richie (Bradley Cooper) เข้ามาอย่างแนบเนียนเพื่อหลอกจับกุมทั้งคู่ และแน่นอน เมื่อ Sydney เป็นดั่งเกราะของ Irving เขาย่อมเป็นคนรับเคราะห์มากกว่า

เรื่องราวดูยุ่งยากขึ้นเมื่อ Richie ไม่ได้คิดจะหวังแค่จับกุมทั้งคู่ แต่ต้องการใช้ความสามารถเพื่อจับปลาที่ใหญ่กว่า โดยใช้อำนาจของตนข่มขู่และยื่นข้อเสนอให้ พร้อมทั้งปั่น Sydney ด้วยการบอกความจริงของตัวเองว่าเขาหลอกเธอสำเร็จ  เธอเชื่อใจเขา แต่ผลลัพธ์ออกมาแบบนี้ เหมือนกับที่ Irving หลอกเธอ (ทำลายความเชื่อใจ) และ (อาจ) โกหกว่า “เขาชอบ Sydney” ไม่อยากให้ลงเอยแบบนี้

ซึ่ง Richie เองก็เป็นคนนึงที่จำเป็นต้องโกหกหลอกลวง




การพูดคุยกันของ Irving และ Sydney ที่ยื่นข้อเสนอให้เราหนีไปดีกว่า ทำให้เห็นว่า Sydney แคร์ Irving แม้เขาจะรู้ว่าตัวเองโดนหลอก (ซึ่งอาจรู้มาตลอด และเธอสามารถหนีไปคนเดียวได้) แต่ Irving ไม่อาจทำได้ เพราะเขารักลูก (และเมีย) ทิ้งพวกเขาไปไม่ได้ บทสรุปจึงลงท้ายด้วยการทำตามข้อตกลง

การทำงานร่วมกันน่าสนใจเมื่อ Irving พูดเกี่ยวกับงานศิลปะว่า “นี่เป็นภาพปลอม” โดย Richie มีข้อโต้แย้ง แต่คำอธิบายของ Irving ก็ฟังดูเข้าที “ผู้คนมักเชื่อในสิ่งที่อยากจะเชื่อ เพราะคนที่ปลอมมันขึ้นมาฝีมือดี มันจึงดูจริงสำหรับทุกคน ทีนี้ใครเก่งกว่ากัน”

ด้วยคำพูดเพียงแค่นั้น ไม่มีข้อเท็จจริงว่าสิ่งที่ Irving พูดนั้นจริง แต่มันทำให้ความเชื่อของเราเคลือบแคลง เมื่อสิ่งที่เราเชื่อมาตลอดถูกแย้งด้วยความเชื่อที่ฟังดูเข้าที แล้วเราจะเชื่อสิ่งไหนกันละ ?

เรื่องราวดำเนินไปจนเรารู้จัก Carmine (Jeremy Renner) มากขึ้น หรือเหยื่อของพวก Richie ที่ใช้เป็นนกต่อนั่นเอง Carmine เป็นนักการเมืองคนนึงที่ติดสินบนเจ้าหน้าที่ มีอำนาจ ใครๆก็รู้จัก และมีครอบครัวที่ใหญ่พอสมควร

จนพวก Richie ใกล้ชิดสนิทสนมกับ Carmine มากขึ้น และถึงเวลาแล้วที่ Rosalyn (Jenifer Lawrence) ภรรยาอย่างถูกกฎหมายของ Irving ได้ออกมานอกห้องบ้าง การมาของเธอทำให้ทุกอย่างดูวุ่นวาย เหนือความคาดหมาย ซึ่งทำให้แผนของ Irving ราบลื่นหรือแย่ลงเช่นกัน




Sydney จึงเกิดความหึงหวงและประชดประชันด้วยการสนิทสนมกับ Richie มากขึ้น เพราะตนไม่ใช่ภรรยาอย่างถูกกฎหมาย ยังไงก็แสดงความเป็นเจ้าของสู้ไม่ได้อยู่แล้ว เกิดเป็นเรื่องราวความอลวนภายใน 4 คนนี้ และนี่เองที่เราเริ่มเห็นมิติของตัวละครแต่ละตัวมากขึ้นๆ

การหลอกอีกครั้งของ Richie ที่เริ่มสนิทสนมกับ Sydney มากขึ้น ด้วยการหลอกตัวเอง ปิดกั้นตัวเองว่ามีคู่หมั้นแล้ว (เหมือน Irving ที่มีภรรยาอยู่แล้ว เลิกกันไม่ขาดแต่ก็สานสัมพันธ์กับ Sydney)

การหลอกของ Sydney ที่เคยพูดว่าจะหลอกให้ Richie ตายใจ และทำสำเร็จ แม้กระทั่งหลอกว่าถ้าคบกันจริงต้องพูดแต่ความจริง ซึ่งตนปิดงำความจริงเรื่องตัวตนของเธอไว้ แม้ท้ายที่สุดจะบอกก็ตามที

Irving คงไม่ต้องพูดถึง เขาชำนาญที่สุดแล้ว แต่ Rosalyn เป็นคนเดียวที่ไม่โกหกหลอกลวงในช่วงนี้

ซึ่งในระหว่างนั้น ฉากที่ทำให้ผมนิ่งที่สุดก็คือฉากที่ Victor Tellegio (Robert De Niro) เจรจาธุรกิจกับพวก Richie ในห้อง เป็นความกดดันที่สูงสุดแล้วในเรื่อง แม้จะโผล่มาแค่แปปเดียวก็ตามที

บทสนทนาช่วงที่ผ่านมานั้นเข้มข้นสุดๆ กะเทาะเปลือกตัวละครออกมาอย่างชัดเจน ความลวงหลายๆอย่างถูกเผยออกมา ความรู้สึกนึกคิดจิตใจความอ่อนไหวแต่ละคนก็เช่นกัน

ก่อเกิดจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เมื่อ Rosalyn เริ่มคบกับคนใหม่เพราะความน้อยใจที่ Irving ดูจะไม่สนใจเธอ และเผลอเล่าช่วงเวลาที่เธออยู่กับ Irving ว่า เธอเคยได้ยินเขาแอบคุยโทรศัพท์เกี่ยวกับหน่วยงานรัฐ เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเมื่อคนที่เธอคบนั้นเป็นคนของเป้าหมายพวก Richie




Irving เกือบเอาตัวไม่รอดและกลับมาพบกับ Rosalyn พร้อมทั้งรู้ว่า คราวนี้เดือดร้อนแบบสุดๆ แต่ก็ได้ไอเดียการเอาตัวรอด และเป็นครั้งแรกที่ Rosalyn ต้องโกหก เนื่องจาก Irving บอก ซึ่งฉากนี้เล่นเอาผมฮาไม่เบา

ฉากนี้ดีตรงที่ Irving เอาลูกออกไปจากห้องเพราะรู้ว่าต้องทะเลาะกัน (ซึ่งเห็นบ่อยๆในภาพยนตร์เมื่อมีฉากทะเลาะ) แต่เป็นการทะเลาะกันที่ไม่ลงไม้ลงมือ จะสังเกตเห็นว่า ต้องมีการยอมเพื่อให้สถานการณ์ไม่ตึงเครียด บ่อยครั้งที่เรามักทะเลาะกันเพราะความคิดว่า “ฉันต่างหากล่ะที่ถูก” บางทีการยอมเป็นคนโj บ้างก็เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่เลวเลยทีเดียว

เมื่อเรื่องราวดำเนินไปจนถึงความสำเร็จของ Richie ที่เขาสามารถหลอกให้เหยื่อพูดในสิ่งที่เขาต้องการโดยเสียเงิน 2 ล้านให้ เป็นความสำเร็จที่เขาภาคภูมิใจอย่างที่สุด และการล้อเลียนหัวหน้าของตนในห้อง เป็นฉากที่ยียวนกวนโอ๊ยไม่เบา

ท้ายที่สุดแล้ว ผลกลับไม่เป็นดั่งที่คิด เมื่อเงิน 2 ล้านนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย และถูกยื่นข้อเสนอกลับมาอีกด้วยว่าจะคืนเงินให้ แต่แน่นอนว่างานนี้ไม่บรรลุตรงเป้า จับได้แค่ปลาเล็ก ซึ่ง Carmine ที่เชื่อใจอย่างสนิทก็ติดร่างแหไปด้วย แต่ Irving ก็กล่าวขอโทษเพราะเขารู้สึกผูกพันและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

แอบเห็นสีหน้า Irving ตอน Carmine พูดถึงครอบครัว ตอนนั้น Irving ก็คงนึกถึงครอบครัวตัวเองเหมือนกัน (เหมือนตอนต้นที่คิดว่าถ้าตัวเองต้องติดคุก ครอบครัวจะเป็นยังไง)

คนที่ดูน่าสงสารที่สุดคงไม่พ้น Richie ที่บทบาทหลังจากนี้เปรียบเสมือนคนที่ไร้ซึ่งตัวตน ไม่มีการเห็นอกเห็นใจ และบทสรุปออกมานั่นเพราะ Irving เอาตัวรอดได้อีกครั้ง โดยการใช้คนที่รู้จักเป็นเหยื่อล่อ Richie ซ้อนด้วยกลลวงของ Sydney และตนที่เล่นตามบทอย่างสมบูรณ์ นั่นทำให้เขาทำตามสัญญาได้คือช่วยจับกุมนักการเมืองให้ FBI และยังช่วยให้พวกตัวเอ้ไม่ต้องติดคุก เป็นการเอาตัวรอดที่สมบูรณ์แบบไม่เบา




จุดจบลักษณะนี้เองที่ทำให้บางคนหลังดูจบบ่นว่า งงแฮะ ดูไม่รู้เรื่อง เหตุก็เพราะมันเป็นบทสรุปที่เราไม่เคยชิน เราเคยถูกสอนว่า “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” แต่บทสรุปเห็นชัดเจนว่าอธรรมยังลอยนวล หรือภาพที่เรามักเห็นว่าตำรวจชนะคนร้าย ซึ่งก็ขัดแย้งกับภาพของเรื่องนี้เช่นกัน

คำพูดตอนต้นของ Irving เป็นสิ่งที่พูดถึงจิตใจมนุษย์ได้ดีที่สุดแล้วในเรื่องนี้ “เรามักหลอกคนอื่นเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการ เราหลอกแม้กระทั่งตัวเราเอง”

สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะสื่อผมถือว่าเป็นความจริงที่เราไม่อาจหลอกตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆอย่างการหลอกคนแค่ไม่กี่คน ไปจนถึงเรื่องใหญ่คือการหลอกคนกลุ่มมาก ไม่ว่าจุดประสงค์การหลอกนั้นจะเพื่อตัวเราหรือคนอื่น มันจะดีจะร้ายยังไง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นเสียแล้ว ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่เรามักถูกสอนหรือได้ยินว่า “มันเป็นสิ่งไม่ดี ห้ามทำนะ”

หรือภาพของอาชญากร มาเฟียที่ลอยนวล การติดสินบน อำนาจ ชื่อเสียง บลาๆ มนุษย์เราหลายคนต้องการมีมันเพื่อให้เราอยู่รอด เพื่อให้เราเป็นที่ยอมรับ บ้างก็เพราะความจำเป็น แต่นั่นมันก็ค่อยๆหล่อหลอมให้เป็นตัวเราในปัจจุบัน และมันมีผลให้จุดสีเทาของเราอ่อนหรือเข้มมากขึ้น ไม่มีขาวและดำสนิทอย่างที่ Irving ว่า

ท้ายที่สุด มนุษย์เราเลือกได้ว่าจะเชื่อสิ่งไหน ไม่ว่าสิ่งที่เราเชื่อจะถูกหรือผิด มันก็แค่ความเชื่อ มันผลักดันเราไปข้างหน้าและทำให้เราอยู่รอดได้ นั่นก็คงเพียงพอแล้ว...




สำหรับผมแล้วระหว่าง AH กับ SLP ชอบเรื่องไหนมากกว่า ขอบอกว่าชอบพอๆกัน ชนิดกินกันไม่ลง ให้ AH แต้มต่อนิดนึง เพราะ SLP ช่วงแรกๆผมปลื้มมาก เป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ บทแกก็เจ๋งดี ชอบแนวไม่ธรรมดาแบบนี้ แต่ตอนท้ายผมรู้สึกเฉยๆ ส่วน AH ช่วงต้นเรื่องก็ไม่เท่าไร แต่หลังๆมาเข้มข้นมาก ผมให้ AH บทเข้มกว่าและใหญ่กว่า SLP อีกนะ

8.3/10 (Best)

หลังดู AH จบตอน 2 ทุ่มเกือบ 20 ผมก็ดู Captain Phillips (2013) ต่อ ไว้กระทู้หน้าจะเขียนเรื่องนี้นะ

พูดคุย แบ่งปัน ร่วมแสดงความเห็นกันเถอะครับ


Edit* โj
แก้ไขล่าสุด 21 ธ.ค. 56 05:16 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | [REC.O] | 21 ธ.ค. 56 18:40 น.

สำหรับเรื่องนี้ถือว่าไม่แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้เป็นหนึ่งในหนังตัวเต็ง รวมทั้งมีสิทธิ์เข้าชิงรางวัลออสการ์อย่างแน่นอน สำหรับเรื่องนี้มีความเป็นอเริกันสูงพอตัว ออสการ์คงไม่พลาด แต่ยังไงก็ตาม 12 years of slave  หนังดราม่าอีกเรื่องที่น่าจะได้ลุุ้นแบบไม่ต้องคาดเดา แต่ที่แน่ๆ American Hustle ชื่อเจนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ คงได้กลับมาแน่นอนอีกปี 

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | MTH.Channel | 21 ธ.ค. 56 21:33 น.

ผมรอ 12 Years A Slave อยู่นะ อยากสัมผัสตัวเต็งออสการ์ มันเป็นเรื่องที่ถูกใจคนดูทั่วไปและนักวิจารณ์ ซึ่งทั้งคู่ให้คะแนนสูงมาก ฝั่งนักวิจารณ์ rotten ให้ตั้ง 9 เท่าๆกับ Gravity เลย ไม่มีทางพลาดแน่นอนครับ

ส่วน Jenifer Lawrence แกมีพัฒนาการด้านการแสดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในหนังแต่ละเรื่องที่เล่น ในเรื่องนี้บทที่แกได้ดูมีสีสันที่สุด เพราะแกทำอะไรได้ตามอำเภอใจมาก ต่างจากแต่ละคนที่มีขีดจำกัด ตรงนี้เองที่ทำให้เธอดูเด่นออกมา เหมือนจุดดำในการดาษขาว แต่ผมว่าทุกคนเล่นได้ดีพอๆกันเลยครับ 

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | .::นู๋กระต่าย::. | 24 ธ.ค. 56 11:12 น.

ตอนแรกแอบเข้าใจผิดว่าจะออกดราม่าทิลเลอร์ แต่พอดูจบแล้ว อ่าวมิใช่อ่า  ไปดูแบบหัวสมองโล่งๆ ไม่อ่านรีวิว ไม่อ่านอะไรทั้งนั้น ดูแค่ตัวอย่างหนังแล้วพุ่งตัวไปดูเลย

บ่องตงว่าตอนดูจบ "งง" แต่ถามว่าเข้าใจไหมว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง "เข้าใจ" แต่ออกโรงมาก็ยัง "งง" ฮ่าๆๆๆๆ
การดำเนินเรื่องตามฉบับผกก.เดวิท เรื่องนี้ พูดเยอะกว่า SLP เยอะ และเนื้อหาแน่นและเข้มข้นกว่า ตั้งใจว่าถ้าแผ่นออกต้องหามาดูใหม่

เห็นตรงกันหลายจุดเลยว่า ฉากที่เออร์วิ่งกับโลซาลีนทะเลาะที่ห้องนอนฮาได้อีก กับอีกฉากที่ลิชชี่ล้อเลียนเจ้านายกวนติมมาก 

เรื่องนี้เข้มข้นเจ้มจ้นมาก ใช้พลังในการชมเยอะพอสมควร

ระหว่าง AH กับ SLP ชอบอันไหนมากกว่า
ชอบทั้งสองเลย แต่เราชอบ SLP มากกว่าตรงที่มันดูแล้วไม่งงอะ ฮ่าๆๆๆ

ปล. เอมี่เด่นมากเรื่องนี้ 

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | MTH.Channel | 24 ธ.ค. 56 21:13 น.

ขอบคุณที่ร่วมแสดงความเห็นครับ 

ปล.Sydney (Amy Adams) เป็นตัวละครที่ชักสีหน้าเยอะสุดในกลุ่ม สีหน้าแกหลากหลายอารมณ์มาก มีทั้งสีหน้าที่คาดเดาได้ สีหน้าที่ไม่รู้ว่าเธอคิดยังไง และสีหน้าที่เธออัดอั้นกับหลายๆสิ่งที่ไม่อาจพูดออกมาได้ สมควรแล้วที่แกเป็นนำหญิง 

ผมไม่รู้จะปลื้มใคร แต่ละคนทำหน้าที่ในบทที่ตัวเองได้ดีทั้งนั้น ลงท้ายชอบหมดเลยครับ  ฮ่าๆๆ

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google