The Secret Life of Walter Mitty (2013) ความลับของ “ชีวิต” ?

5 ม.ค. 57 17:08 น. / ดู 2,302 ครั้ง / 4 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
ภาพยนตร์สร้างแรงบัลดาลใจปี 2013 ... มันควรจะเป็นเช่นนี้นั่นเพราะชื่อเรื่องที่นำเสนอความลับของชีวิต โปสเตอร์ที่สื่อถึงการออกนอกกรอบและผจญภัย ตัวอย่างภาพยนตร์ที่นำเสนอแรงบัลดาลใจอันไปสู่อิสระและความหมายของชีวิต…
The Secret Life of Walter Mitty (ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้) เป็นภาพยนตร์ Feel Good ที่มีความโรแมนติก ตลก สร้างสรรค์ ให้แรงบัลดาลใจและผจญภัยไปพร้อมๆกัน การดำเนินเรื่องดูได้เรื่อยๆจนจบ เพลิดเพลิน ไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เหมาะกับทุกเพศทุกวัยอย่างแท้จริง ดังนั้นแล้วถ้าคุณอยากผ่อนคลาย หาอะไรสบายๆดูแล้วรู้สึกดีกับมัน The Secret Life of Walter Mitty น่าจะตอบโจทย์ได้ดีสำหรับคุณในระดับนึง

จากนี้มี Spoil ปนด้วย




หนังเปิดฉากด้วยความนิ่งเงียบและปัญหาจุกจิกของคนมีอายุ นั่นคือ ”ความรับผิดชอบ” ไล่เรียงในสมุดจดของ Walter Mitty (Ben Stiller) นั่นแสดงให้เห็นถึงชีวิตของมนุษย์เมื่อเราโตขึ้น ย่อมต้องแบกรับผิดชอบภาระอันเลี่ยงไม่ได้เหล่านั้น...

Walter Mitty เป็นแค่เพียงพนักงานเงินเดือนปกติทั่วๆไป ทำหน้าที่เบื้องหลังของงานที่หลายๆคนติดตาม ปลาบปลื้ม ชื่นชอบ เขาเป็นคนนึงในหลายๆคนที่ยังไม่มีคนรู้ใจและต้องการใครซักคน เขาเริ่มศึกษาคนที่แอบชอบ Cheryl Melhoff ( Kristen Wiig) ด้วยการใช้บริการเว็บหาคู่ (การเข้าหาคนที่เราชอบด้วยทางอ้อมแบบนี้หลายคนน่าจะเคยทำ ไม่ใช่จากเว็บหาคู่เท่านั้น)

Walter Mitty มีสิ่งที่หลายคนมีนั่นคือ “จินตนาการ” แต่จินตนาการของเขาทำให้เขาหลุดออกไปจากโลกความจริง นั่นทำให้เขาดู “เป็นคนเพ้อฝัน” ทั้งๆที่เราทุกคนต่างก็ “เพ้อฝัน” กันทั้งนั้น...

ภาพยนตร์ค่อนข้างนำเสนอนิตยสาร LIFE อย่างโจ่งแจ้งและให้แง่คิดรวมถึงคำขวัญเช่นกัน  คำว่า LIFE นั่นก็หมายถึง “ชีวิต” อยู่แล้ว การนำเสนออย่างโจ่งแจ้งและตอกย้ำแบบนี้นั่นแสดงว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องทำให้เราเข้าใจและสร้างแรงบัลดาลใจใน “ชีวิต” แน่ๆ

การดำเนินเรื่องหลักเริ่มด้วยปัญหาของนิตยสาร LIFE ต้องปิดตัวลงและ LIFE Online เข้ามาแทน ซึ่งต้องมีคนถูกไล่ออก สิ่งสำคัญคือ “ภาพสุดท้าย” ของปก LIFE จะต้องน่าจดจำสมกับการ “จากไป”

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ Walter Mitty คนทำงานเบื้องหลังหาภาพสุดท้ายที่ใช้เป็นปกนิตยสารไม่พบ และคิดว่า Sean O’Connell (Sean Penn) ส่งของขวัญและงานมาให้ แต่ลืมให้ภาพสุดท้าย และเขาต้องทำอะไรซักอย่าง




Walter Mitty เริ่มสืบหาเบาะแสเพื่อตามหา Sean O’Connell และได้สนิทสนมกับ Cheryl Melhoff มากขึ้น จนรู้ว่าเธอมีลูกและสามีแล้ว

รายละเอียดที่ผมจะข้ามมีฉากที่แสดงความเป็น Walter Mitty สมัยก่อนว่าเขาเคยมีความสุขและสุดเหวี่ยงกับชีวิตมาแค่ไหน แต่ด้วย “ความรับผิดชอบ” ในตอนต้นที่ผมกล่าวและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทำให้เขา “สูญเสียการใช้ชีวิต” และกลายเป็นแค่ “เครื่องจักร” ทำหน้าที่เพื่อรอวันหมดความหมายเหมือนกับหลายๆคน

การเดินทางเริ่มขึ้นเมื่อ Walter Mitty รู้ว่าต้องไปหา Sean O’Connell ที่ไหน และนี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิต แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นดั่งหวังเมื่อเขาไม่ได้พบกับ Sean O’Connell และเขาต้องกลับบ้านพร้อมกับถูกไล่ออก เขาเริ่มคิดว่า Sean O’Connell ทำไมต้องทำให้ทุกอย่างดูยุ่งยากแบบนี้และทำให้ทิ้งของขวัญที่ Sean O’Connell ให้

การกลับบ้านโดยบังเอิญทำให้เขาได้เบาะแสเพิ่มและเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ท้ายที่สุดเขาได้พบ Sean O’Connell และพูดคุยกัน ซึ่งแท้จริงแล้วภาพนั้นอยู่ในของขวัญที่ Sean O’Connell ให้ไว้ตั้งแต่ทีแรก

การพูดคุยในฉากนี้ดีสุดในเรื่องสำหรับผม และชอบประโยค “ความงามที่แท้จริง... มักไม่เรียกร้องความสนใจ” เป็นพิเศษ หรือการที่ Sean O’Connell เป็นคนที่ทำให้ทุกคนเห็น “ความงาม” ผ่านอุปกรณ์ แต่นั่นไม่ใช่ “ความงามที่แท้จริง” การที่เขาเอ่ยว่า “บางครั้งก็ไม่อยากให้กล้องมาขัดจังหวะ” นั่นหมายความว่า “ความงามที่แท้จริง เราต้องออกไปสัมผัสด้วยตัวของเราเอง”

ถึงตรงนี้ Walter Mitty ได้ประสบการณ์ต่างๆมากมายเพราะความ “จำเป็น” ทำให้เขารู้สึกถึงการมี “ชีวิต” อีกครั้ง การกลับไปในคราวนี้พร้อม “ภาพสุดท้าย” ทำให้เขาทำงานสุดท้ายของ LIFE ลุล่วง และเรื่องราวจบลงอย่าง Happy เมื่อเขารู้ว่า Cheryl Melhoff และสามีไม่ได้อยู่ด้วยกัน การสานสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจึงเกิดขึ้น…

... แน่นอน “ภาพสุดท้าย” จะเป็นภาพอะไรไปได้ ถ้าไม่ใช่ “Walter Mitty”




หลังภาพยนตร์จบผมนั่งฟังเพลงอันแสนไพเราะต่อ ขอบอกว่าเพลงตอนนี้เพราะสุดๆเลยครับ

มีหลายสิ่งที่ผมข้ามหรือไม่ได้พูดละเอียดเท่าไร เช่น
มุขตลกในเรื่องนี้มีเยอะพอสมควร เป็นมุขที่โอเค หลายคนในโรงสนุกขำขันกันมาก แต่ผมว่ามันเยอะไปจนล้นและไม่ได้มีความสำคัญอะไรเท่าไรกับสิ่งที่หนังจะสื่อ  ยิ่งหน้าหนังเป็นหนังแห่งแรงบัลดาลใจ การเล่นแบบนี้ทำให้ขาดพลังไปเยอะเลยครับ
ความโรแมนติกก็เป็นระดับเล็กๆน้อยๆแนวคิดไปเอง ไม่ได้มีพลังอะไรมากมายเท่าไหร่ และมักจะมีมุขตลกแทรก
ความสวยงามของภาพ อันนี้ต้องบอกว่าทำได้ดีในระดับนึงเลยทีเดียว แต่ฉากความงามเหล่านั้นน้อยมาก ทั้งๆที่น่าจะเน้นส่วนนี้ ให้คนดูหลงใหลและอยากสัมผัส ไปเน้นที่มุขซะเป็นส่วนใหญ่

เหล่านี้เองทำให้หนังขาดพลัง แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะให้ Feel Good แก่เรามากแค่ไหน แต่ไม่สุดซักอย่าง “ขาดพลังเพราะการเล่นกับความตลกขบขันมากจนเกินไป การขยี้บทบาทหรือเรื่องราวไม่ถึงที่สุด หนังลืมจุดสำคัญ ความจริงจังของหนังหรือสิ่งที่จะสื่อจึงมีพลังไม่มากพอ” และเมื่อลองมองภาพรวมของหนัง “ไม่ได้ให้แรงบัลดาลใจเท่าไร” ช่วงเวลาการใช้ชีวิต การเรียนรู้ การพูดคุยที่น่าจะเป็นจุดสำคัญ หนังข้ามไปเยอะมากหรือใส่เป็นความตลกแทน กลายเป็นหนัง Feel Good ที่แสนธรรมดาให้คนดูรู้สึกมีความสุขและได้อะไรจากมันเล็กน้อย ไม่อาจขยี้หรือสร้างแรงบัลดาลใจที่ยิ่งใหญ่แก่คนดูนัก (สำหรับผม)




ค่าว่า “Secret Life” ดูธรรมดามาก เพราะ Walter Mitty ได้ประสบการณ์เพราะ “จำเป็น” ไม่ใช่การออกไป “ค้นหา”

แต่ภาพที่ผมประทับใจเป็นพิเศษนั่นคือภาพตอนที่ Walter Mitty “จมลงไปในน้ำและทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ” นี่น่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังในการให้แรงบัลดาลใจแก่ “ชีวิต” แต่เบาบางมากเมื่อมองภาพรวมของหนัง...

สรุปแล้วหนังเรื่องนี้นำเสนอได้น่าสนใจ แต่ขยี้จุดขายและสร้างพลังไม่ได้เท่าที่ควร

7.5/10 (Good)

ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ติชม แบ่งปัน ร่วมแสดงความเห็นกันเถอะครับ
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | RulestheWorld | 6 ม.ค. 57 01:05 น.

เห็นด้วยกับทุกข้อที่กล่าวมาครับ
ว่าหน้าหนังจะพีคได้กว่านี้ หากตัวหนังมีความจริงจังมากกว่านี้หน่อย
เพราะเอาเขาจริง ตัวหนังก็มีความสนุกของมันอยู่แล้ว แต่หนังกลับไปเน้นในจุดที่ไม่ควรเน้นเลยกลายเป็นเกือบจะเสียของ

*********สปอย*********

ส่วนผม ผมประทับใจในฉากที่ Walter Mitty กระโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากการที่เขามโนนึกภาพของ Cheryl กำลังเล่นกีต้าร์และร้องเพลง Major Tom (หรือ Space Oddity) ซึ่งเป็นเพลงที่ตัวเองเคยโดนล้อเลียนตอนกำลังหลุดโลก

มันแสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนของตัวละคร ที่ยอมใช้ข้อด้อยของตัวเองพัฒนาให้กลายมาเป็นแรงผลักดัน เป็นหนึ่งในฉากที่แม้จะไม่ทรงพลังมากก็ตามแต่ก็สวยงามมากๆเช่นเดียวกัน


*********สปอย*********

ส่วนเพลงที่มีในหนัง ยิ่งกว่าเพราะ ครับ

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | mr.op | 6 ม.ค. 57 17:38 น.

เวลาที่เรามีความรักหรือชอบใครซักคน
มันมักจะไม่ค่อยมีเหตุผลว่าทำไม
สวย น่ารัก ? หุ่นดี มีเหตุผล ตลกขบขัน ?
เอาใจเก่ง ฉลาด มีความคิด เข้ากันได้ ?
สุดแล้วแต่เหตุผลของแต่ละคน ......

แต่สุดท้ายแล้ว ถ้าคุณนึกถึงเหตุผลที่แท้จริง
คุณจะนึกขึันได้ว่ามันไม่หรอกคับ
ชอบก็คือชอบ

ผมชอบ หนังเรื่องนี้คับ .... วอลเตอร์ มิตตี้

แก้ไขล่าสุด 6 ม.ค. 57 17:40 | ไอพี: ไม่แสดง

#3 | yeahh | 6 ม.ค. 57 21:00 น.

เราขัดใจการตัดซีนมาก คือกำลังดื่มด่ำกับซาวเเทรก
กับสกอเพลงอันใหญ่ยิ่ง อารมณ์กำลังมา จบละ ไรวะ 5555555
ฉากอื่นต่อเเทน มันไม่สมูธอะ


มาดิท เพิ่มเติม
เราชอบเวลามิตตี้อยู่กับเเม่ เเละก็น้องของเค้ามาก
ดูอบอุ่น ยิ่งตอนที่มิตตี้ขอโทษแม่เรื่องเปียโน เเละเเม่บอกโตๆกันเเล้ว
ยิ่งดูอบอุ่นมากๆ

แก้ไขล่าสุด 6 ม.ค. 57 21:03 | ไอพี: ไม่แสดง

#4 | Dorothy | 10 ม.ค. 57 15:16 น.

เห็นด้วยค่ะ
รู้สึกเหมือนดูเอ็มวียาวๆ มากกว่า (ในด้านของน้ำหนักเหตุการณ์)

เหมือนถ้าใช้ประสาทสัมผัสแค่หูกับตา หนังเรื่องนี้จะเป็นอะไรที่งามมาก

แต่พอลึกไปถึงระดับจิตใจแล้ว รู้สึกเบาบาง ผิวเผินมากๆ จนไม่รู้สึกร่วมกับหนังเลยสักนิด

เห็นด้วยที่สุดกับเรื่องบทพูดที่น่าจะสำคัญน่ะคะ
สำหรับเราการเดินทางมันสุดยอดตรงที่เราได้เจอผู้คน ทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยน
น่าเสียดาย อุตส่าห์ได้เดินทางไกลแท้ๆ กลับไม่ได้แลกเปลี่ยนทัศนะกับใครเลย
นอกจากฌอน (ที่ท่าทางจะรักสันโดษเหมือนกัน)

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google