[เลือกใช้ ]ครีมกันแดด ให้เป็น
15 เม.ย. 57 10:50 น. /
ดู 659 ครั้ง /
6 ความเห็น /
1 ชอบจัง
/
แชร์
รีรัน #### ว่าด้วยเรื่องครีมกันแดด ####
ช่วงนี้แดดเผามากๆครับ ใครเล่นน้ำกลางแดด+ไปทะเล มีโอกาสผิวไหม้เอาได้ง่ายๆ อย่างหมอเองเป็นต้น ตอนนี้ไหล่ไหม้ละ แต่หน้ายังขาวอยู่ เพราะทาไหล่&หลังไม่มากพอ แล้วก็ไม่ได้ซ้ำ อยู่ในน้ำ+กลางแดด นานเป็น2ชม.แต่ทาไปแค่รอบเดียว พลาดมาก!!!!
ข้อผิดพลาดที่เกิดบ่อยๆในการใช้ครีมกันแดดคือ ลงครีมไม่เยอะพอ ไม่ได้ซ้ำตามเวลา และทาไม่ทั่ว
1. ปริมาณที่เหมาะสมคือ 2 ข้อนิ้ว หรือเทลงฝ่ามือประมาณเหรียญ 5 นี่คือที่หน้า ตามตัวก็ประยุกต์เอา
2. ถ้าลงเล่นน้ำ ครีมกันแดดกันน้ำได้ คือ waterproof คือจะออกฤทธิ์กันแดดได้สูงสุด 80 นาที water resistant ออกฤทธิกันแดดได้สูงสุด 40 นาที เพราะฉะนั้นก็ทาซ้ำทุก 40-80 นาทีตามชนิดละกัน
3. หาคนทาให้บริเวณที่ทาไม่ถึง เช่น ไหล่หลัง
มาเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับครีมกันแดดกันหน่อยครับ
UVA คือรังสี ultraviolet ที่มีความยาวคลื่น 320-400 นาโนเมตร
UVB คือรังสี ultraviolet ที่มีความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร
UVA กับ UVB ส่งผลกับผิวหนังเราต่างกันยังไง ??? ก็คือ UVB จะเป็นตัวร้ายกว่า จะทำให้เกิด sunburn และเป็นสาเหตุหลักของเกิดการ
มะเร็งผิวหนังชนิด Basal cell และ Squamous cell carcinoma และ Melanoma
ส่วนเจ้า UVA ก็ร้ายไม่ใช่น้อย เพราะเป็นสาเหตุในการทำให้เกิดริ้วรอยย่นยับในใบหน้า (photoaging)และยังช่วยกันส่งเสริมให้เกิดมะเร็งผิวหนังร่วมกับ UVB
SPF และ PA คืออะไร??? ถ้าไปเลือกซื้อครีมกันแดด ต้องเห็น ตัวย่อ 2 ตัวนี้บนขวดแน่ๆ มาดูกันทีละอย่างครับ
SPF (Sun protection factor) คือ ความสามารถในการกัน UVB ไม่ให้เกิด อาการแดงหรือ sunburn นั่นเอง โดยจะเทียบเป็นเท่า
กับเวลาที่เราจะเกิดอาการแดงถ้าอยู่กลางแสงแดดโดยไม่ใช้ครีมกันแดด เช่น โดยปกติอยู่กลางแดดซัก 20 นาทีผิวจะเริ่มแดง
ครีมกันแดด SPF 15 ก็จะหมายถึงถ้าเราทาครีมกันแดดตัวนี้จะอยู่กลางแดดได้นาน 15x20=300 นาที หรือ 5 ชม. ผิวจึงจะเริ่มแดง แต่เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้ได้จากห้องทดลอง เมื่อมาใช้งานจริงๆก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง โดยเฉพาะปริมาณครีมกันแดดที่ทา ซึ่งค่า SPF ที่ได้เกิดจากการทดลองทากันแดด 2 mg/พื้นที่ผิวหนัง 1 ตาราง cm.
ซึ่งในชีวิตจริงเรามักทากันปริมาณไม่ถึงหรอก ประสิทธิภาพที่บอกไว้ก็อาจจะลดลง 2/3- 50 % เช่น จากตัวเลข 5 ชม.ข้างบนอาจเหลือแค่ 2 ชม ครึ่ง- 3 ชม.ครึ่ง เป็นต้น
PA (Protection of UVA) คือ ค่าการป้องกัน UVA โดยวัดเป็นเท่าของการเกิดผิวคล้ำดำ (persistent pigment darkening; PPD)
PA + คือ ป้องกัน UVA ได้ 2 เท่า
PA ++ คือ ป้องกัน UVA ได้ 4 เท่า
PA +++ คือ ป้องกัน UVA ได้ 8 เท่า
และล่าสุดในปี 2013 นี้เอง สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ญี่ปุ่น ได้กำหนดค่า PA เพิ่มมา คือ PA ++++ ซึ่งจะสามารถกันรังสี UVA ได้ถึง 16 เท่า และเริ่มมีครีมกันแดดของญี่ปุ่นที่มี PA ++++ ออกมาแล้ว ยังไงก็ลองติดตามกันดูนะครับ
ค่า PA นี้เป็นค่าที่ประเทศญี่ปุ่นคิดขึ้น ไม่ใช่ค่าสากล ดังนั้นครีมกันแดดบางยี่ห้อจะไม่ระบุค่า PA มาให้ แต่จะบอกถึงสารที่ใส่มาซึ่งสามารถกัน UVA ได้ เช่น avobenzone, zinc oxide, oxybenzone , dioxybenzone เป็นต้น
แล้วเราควรจะเลือกครีมกันแดดอย่างไร ???
อันดับแรกก็คือ เลือกครีมกันแดดที่สามารถกันรังสีได้ทั้ง UVA/UVB โดยดูจากค่า SPF/PA ที่ได้อธิบายแล้วข้างต้นครับ หรือดูจากส่วนประกอบ
อันดับถัดมา ดูเงินในกระเป๋า เพราะราคามันหลากหลายมากขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพ และยี่ห้อ
จากนั้นก็ต้องมาดูกันในรายละเอียด ว่าผิวของเราเป็นลักษณะแบบไหน ไหม้ง่ายไหม้ยากแค่ไหน
ถ้าไหม้ยากก็ SPF น้อยๆพอ ถ้าโดนแดดไม่นานก็เริ่มแสบแดงแล้วก็ต้อง SPF สูงๆหน่อย
SPF 2 กัน UVB ได้ 50 %
SPF 4 กัน UVB ได้ 75 %
SPF 8 กัน UVB ได้ 87.5 %
SPF 15 กัน UVB ได้ 93.3%
SPF 20 กัน UVB ได้ 95%
SPF 30 กัน UVB ได้ 96.7%
SPF 50 กัน UVB ได้ 98 %
โดยทั่วไปก็แนะนำให้ใช้ SPF 15 ขึ้นไปในวันปกติ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าแดดเมืองไทยเป็นยังไง ถ้าในวันที่ต้องออกแดดมากเป็นพิเศษ เช่น ไปทะเล
ก็ต้อง up ขึ้นไป 30-50 และถ้าจะลงทะเลเล่นน้ำก็ต้องเลือกครีมกันแดดที่กันน้ำและทาซ้ำบ่อยๆ
ศัพท์สำหรับ ครีมกันแดดกันน้ำได้ คือ waterproof คือจะออกฤทธิ์กันแดดได้สูงสุด 80 นาที water resistant ออกฤทธิกันแดดได้สูงสุด 40 นาที เพราะฉะนั้นก็ทาซ้ำทุก 40-80 นาทีตามชนิดละกัน
อ่อ! และควรทาครีมกันแดดทุกวัน ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกหิมะตก เพราะ UV ส่องโดนผิวเสมอแม้ไม่เห็นแดดนะครับ
Admin Dr.Jame
ขอบคุณความรู้ดีๆจาก ใกล้มิตรชิดหมอ ค่ะ
ช่วงนี้แดดเผามากๆครับ ใครเล่นน้ำกลางแดด+ไปทะเล มีโอกาสผิวไหม้เอาได้ง่ายๆ อย่างหมอเองเป็นต้น ตอนนี้ไหล่ไหม้ละ แต่หน้ายังขาวอยู่ เพราะทาไหล่&หลังไม่มากพอ แล้วก็ไม่ได้ซ้ำ อยู่ในน้ำ+กลางแดด นานเป็น2ชม.แต่ทาไปแค่รอบเดียว พลาดมาก!!!!
ข้อผิดพลาดที่เกิดบ่อยๆในการใช้ครีมกันแดดคือ ลงครีมไม่เยอะพอ ไม่ได้ซ้ำตามเวลา และทาไม่ทั่ว
1. ปริมาณที่เหมาะสมคือ 2 ข้อนิ้ว หรือเทลงฝ่ามือประมาณเหรียญ 5 นี่คือที่หน้า ตามตัวก็ประยุกต์เอา
2. ถ้าลงเล่นน้ำ ครีมกันแดดกันน้ำได้ คือ waterproof คือจะออกฤทธิ์กันแดดได้สูงสุด 80 นาที water resistant ออกฤทธิกันแดดได้สูงสุด 40 นาที เพราะฉะนั้นก็ทาซ้ำทุก 40-80 นาทีตามชนิดละกัน
3. หาคนทาให้บริเวณที่ทาไม่ถึง เช่น ไหล่หลัง
มาเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับครีมกันแดดกันหน่อยครับ
UVA คือรังสี ultraviolet ที่มีความยาวคลื่น 320-400 นาโนเมตร
UVB คือรังสี ultraviolet ที่มีความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร
UVA กับ UVB ส่งผลกับผิวหนังเราต่างกันยังไง ??? ก็คือ UVB จะเป็นตัวร้ายกว่า จะทำให้เกิด sunburn และเป็นสาเหตุหลักของเกิดการ
มะเร็งผิวหนังชนิด Basal cell และ Squamous cell carcinoma และ Melanoma
ส่วนเจ้า UVA ก็ร้ายไม่ใช่น้อย เพราะเป็นสาเหตุในการทำให้เกิดริ้วรอยย่นยับในใบหน้า (photoaging)และยังช่วยกันส่งเสริมให้เกิดมะเร็งผิวหนังร่วมกับ UVB
SPF และ PA คืออะไร??? ถ้าไปเลือกซื้อครีมกันแดด ต้องเห็น ตัวย่อ 2 ตัวนี้บนขวดแน่ๆ มาดูกันทีละอย่างครับ
SPF (Sun protection factor) คือ ความสามารถในการกัน UVB ไม่ให้เกิด อาการแดงหรือ sunburn นั่นเอง โดยจะเทียบเป็นเท่า
กับเวลาที่เราจะเกิดอาการแดงถ้าอยู่กลางแสงแดดโดยไม่ใช้ครีมกันแดด เช่น โดยปกติอยู่กลางแดดซัก 20 นาทีผิวจะเริ่มแดง
ครีมกันแดด SPF 15 ก็จะหมายถึงถ้าเราทาครีมกันแดดตัวนี้จะอยู่กลางแดดได้นาน 15x20=300 นาที หรือ 5 ชม. ผิวจึงจะเริ่มแดง แต่เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้ได้จากห้องทดลอง เมื่อมาใช้งานจริงๆก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง โดยเฉพาะปริมาณครีมกันแดดที่ทา ซึ่งค่า SPF ที่ได้เกิดจากการทดลองทากันแดด 2 mg/พื้นที่ผิวหนัง 1 ตาราง cm.
ซึ่งในชีวิตจริงเรามักทากันปริมาณไม่ถึงหรอก ประสิทธิภาพที่บอกไว้ก็อาจจะลดลง 2/3- 50 % เช่น จากตัวเลข 5 ชม.ข้างบนอาจเหลือแค่ 2 ชม ครึ่ง- 3 ชม.ครึ่ง เป็นต้น
PA (Protection of UVA) คือ ค่าการป้องกัน UVA โดยวัดเป็นเท่าของการเกิดผิวคล้ำดำ (persistent pigment darkening; PPD)
PA + คือ ป้องกัน UVA ได้ 2 เท่า
PA ++ คือ ป้องกัน UVA ได้ 4 เท่า
PA +++ คือ ป้องกัน UVA ได้ 8 เท่า
และล่าสุดในปี 2013 นี้เอง สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ญี่ปุ่น ได้กำหนดค่า PA เพิ่มมา คือ PA ++++ ซึ่งจะสามารถกันรังสี UVA ได้ถึง 16 เท่า และเริ่มมีครีมกันแดดของญี่ปุ่นที่มี PA ++++ ออกมาแล้ว ยังไงก็ลองติดตามกันดูนะครับ
ค่า PA นี้เป็นค่าที่ประเทศญี่ปุ่นคิดขึ้น ไม่ใช่ค่าสากล ดังนั้นครีมกันแดดบางยี่ห้อจะไม่ระบุค่า PA มาให้ แต่จะบอกถึงสารที่ใส่มาซึ่งสามารถกัน UVA ได้ เช่น avobenzone, zinc oxide, oxybenzone , dioxybenzone เป็นต้น
แล้วเราควรจะเลือกครีมกันแดดอย่างไร ???
อันดับแรกก็คือ เลือกครีมกันแดดที่สามารถกันรังสีได้ทั้ง UVA/UVB โดยดูจากค่า SPF/PA ที่ได้อธิบายแล้วข้างต้นครับ หรือดูจากส่วนประกอบ
อันดับถัดมา ดูเงินในกระเป๋า เพราะราคามันหลากหลายมากขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพ และยี่ห้อ
จากนั้นก็ต้องมาดูกันในรายละเอียด ว่าผิวของเราเป็นลักษณะแบบไหน ไหม้ง่ายไหม้ยากแค่ไหน
ถ้าไหม้ยากก็ SPF น้อยๆพอ ถ้าโดนแดดไม่นานก็เริ่มแสบแดงแล้วก็ต้อง SPF สูงๆหน่อย
SPF 2 กัน UVB ได้ 50 %
SPF 4 กัน UVB ได้ 75 %
SPF 8 กัน UVB ได้ 87.5 %
SPF 15 กัน UVB ได้ 93.3%
SPF 20 กัน UVB ได้ 95%
SPF 30 กัน UVB ได้ 96.7%
SPF 50 กัน UVB ได้ 98 %
โดยทั่วไปก็แนะนำให้ใช้ SPF 15 ขึ้นไปในวันปกติ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าแดดเมืองไทยเป็นยังไง ถ้าในวันที่ต้องออกแดดมากเป็นพิเศษ เช่น ไปทะเล
ก็ต้อง up ขึ้นไป 30-50 และถ้าจะลงทะเลเล่นน้ำก็ต้องเลือกครีมกันแดดที่กันน้ำและทาซ้ำบ่อยๆ
ศัพท์สำหรับ ครีมกันแดดกันน้ำได้ คือ waterproof คือจะออกฤทธิ์กันแดดได้สูงสุด 80 นาที water resistant ออกฤทธิกันแดดได้สูงสุด 40 นาที เพราะฉะนั้นก็ทาซ้ำทุก 40-80 นาทีตามชนิดละกัน
อ่อ! และควรทาครีมกันแดดทุกวัน ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกหิมะตก เพราะ UV ส่องโดนผิวเสมอแม้ไม่เห็นแดดนะครับ
Admin Dr.Jame
ขอบคุณความรู้ดีๆจาก ใกล้มิตรชิดหมอ ค่ะ
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google