Review Godzilla(2014)..The King Roar!..(Spoil)

16 พ.ค. 57 18:11 น. / ดู 5,410 ครั้ง / 4 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
เนื้อหาต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ และมี Spoil ใครที่ยังไม่ได้ดู ควรระวัง!!


การกลับมาอีกครั้งของราชันแห่งแดนญี่ปุ่นอย่าง "Gojira" หรือในชื่อต่างประเทศว่า "Godzilla" ที่เว้นจากการเป็นภาพยนตร์มาตั้งแต่ Godzilla Final Wars ปี 2004 (ฉบับญี่ปุ่นสร้างโดย โตโฮ) และการรีเมคครั้งแรกกับฉบับอเมริกาใน Godzilla (1998) ซึ่งการกลับมาคราวนี้ทางผู้สร้างเผยไว้ตั้งแต่ต้นว่าจะเป็นการย้อนกลับไปยังรากเหง้าเดิมของก็อตซิลล่าในภาพยนตร์ต้นฉบับ "Gojira" (1954) หรือการรีบูตพี่ก็อตใหม่นั่นเอง โดยผู้สร้างที่เราผ่านผลงานที่เราๆคุ้นเคยอย่าง Legendary Picture ซึ่ง Godzilla (2014) นี่เองที่เป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายภายใต้การร่วมมือกันของ Legendary และ Warner Bros. อีกด้วย (ซึ่งทิศทางของภาคต่อถ้ามีผมไม่แน่ใจว่า Warner จะยังอยู่ในโปรเจคท์หรือไม่?)

ออกตัวก่อนเลยว่า ถ้าว่ากันตามความคาดหวังแล้วตัวผมซึ่งชื่นชอบ Godzilla ฉบับรีเมคของอเมริกา (ผมว่ามันเป็นหนังที่ดูสนุกใช้ได้เลยนะ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะพูดยังไงก็เหอะ) และไม่ได้เป็นแฟนของพี่ก็อตเวอร์ชั่นญี่ปุ่นเลย กล่าวคือไม่เคยดูภาคญี่ปุ่นสักภาค ดูแค่ภาคของอเมริกาภาคเดียว พอการนำกลับมาทำใหม่ครั้งนี้ทำให้ผมไม่ได้มีภาพของพี่ก็อตในฉบับดั้งเดิมเลย แต่ก็ติดตามข่าวการพัฒนาของหนังเรื่องนี้มาตลอด และหาข้อมูลของภาคญี่ปุ่นพอเป็นความรู้เฉยๆ เนื่องจากภาคญี่ปุ่นมันค่อนข้างเก่าเกิน และจากความที่เก่านั่นเองผมจึงติว่าความสมจริงน่าจะมีน้อยเลยไม่ได้เลือกเสพฉบับเก่า อีกทั้งหลังๆพี่ก็อตในฉบับญี่ปุ่นตีกับสัตว์ประหลาดตัวอื่นไปทั่ว (King Kong, Anguirus, Mothra, King Ghidorah, อีกทั้งยังสัตว์ประหลาดอีกนานับชนิด รวมไปถึงมีเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวอีก) สำหรับผมจึงไม่เลือกเสพเพราะแนวหนังไม่ตรงกับความชอบอย่างแรง หลังจากที่หนังฉบับ 2014ได้เริ่มโปรโมตออกมาเป็นช่วงๆ กระตุ้นให้เกิดความอยากดูมากยิ่งขึ้น ทั้งยังขยันปล่อยมาให้เห็นแวบๆ เรียกความสนใจของคนดู (โดยเฉพาะกับแฟนๆพี่ก็อตเอง) มาข้ามปีกันเลย และเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา Warner ก็โหมโปรโมตชนิดไม่หยุดหายใจเลยทีเดียว ทั้ง Trailer, Sneak Peak, Tv spot ที่ค่อยเผยพี่ก็อตออกมาอย่างละนิดละหน่อย และสัตว์ประหลาด Unknown ในเรื่อง จนเห็นพี่แกเต็มหน้าสักทีก่อนหนังเข้าฉายไม่นานนัก ซึ่งต้องบอกว่าการตลาดของ Warner นั้นเป๊ะจริงอะไรจริง (หลังจากมีบทเรียนจาก Pacific Rim) มาแล้ว แล้ววันที่รอคอยก็มาถึงหลังจากที่ผมได้สัมผัสกับพี่ก็อตเวอร์ชั่นนี้กับตาตนเองในวันที่ 14 ที่ผ่านมา (ขอขอบคุณกิจกรรมชิงบัตรรอบพิเศษของ True Life และที่นั่งโรง Imax ของเมเจอร์ รัชโยธินด้วยครับ)
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | ZzCC | 16 พ.ค. 57 18:11 น.


มาเริ่มที่ตัวหนังกันเลยครับ
ตั้งแต่ฉากเปิดเครดิตเรื่องก็กระตุ้นความน่าสนใจของหนังได้ดี จากการถ่ายทอดเรื่องราวในอดีต อ้างอิงประวัติศาสตร์จริงนิดๆ ทำให้เราทราบว่าเมื่อนานมาแล้วในปี 1954 ที่น่าจะเป็นการปรากฏตัวของพี่ก็อตครั้งแรก แล้วมนุษย์เรานี่แหละครับก็ยิงระเบิดนิวเคลียร์ไปหวังจะทำลายมัน และการค้นพบสิ่งมีชวิตประหลาดในฟิลิปปินส์ของนักวิทยาศาสตร์ Dr. Ichiro Serizawa (Ken Watanabe) พร้อมกับผู้ช่วย(หรือคนรักด้วยก็ไม่รู้) Vivienne Graham (Sally Hawkins) ตัดมาที่ปี 1999 ก็เล่าถึง Joe Brody (Bryan Cranston) กับ Sandra Brody (Juliette Binoche) สองสามีภรรยาชาวอเมริกันที่ทำงานที่โรงงานนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น แต่จู่ๆก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดไม่คาดฝันขึ้นทำให้โจเสียภรรยาไป เหตุนี้เขาจึงยึดติด และตามล่าหาความจริงกับเหตุการณ์ที่พรากภรรยาเขาไปในครั้งนี้ ข้ามมา 15 ปี โจถูกจับข้อหาเข้าไปในเขตหวงห้ามร้อนถึง Ford (Aaron Taylor-Johnson) ทหารหนุ่มชำนาญเกี่ยวกับการทิ้งระเบิดลูกชายที่ห่างเหินกับโจต้องมาประกัน (หรือเปล่า?) ให้โจออกจากการคุมขังที่ญี่ปุ่น โดยต้องทิ้งภรรยา Elle (Elizabeth Olsen) และลูก Sam (Carson Bolde) ไว้ที่ซานฟรานซิสโก เมื่อมาถึงฟอร์ดก็ต้องยอมใจอ่อนแอบเข้าไปในเขตกักกันที่ซึ้งเคยเป็นเขตเมืองที่เกิดเหตุการณ์โรงงานนิวเคลียร์ในปี 1999 รวมไปถึงบ้านเก่าของเขาด้วย เพื่อมาค้นหาความจริง และเอาข้อมูลเก่าๆที่สามารถอ้างอิงทฤษฎีที่โจคิดไว้ออกไป เมื่อมาถึงพวกเขากลับถูกจับและไปยังสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงงานที่ถูกทำลายบัดนี้กลายเป็นสถานที่ทดลองที่มี ดร.อิชิโร และ วิเวียน ศึกษาอยู่ และกักกันซากของ Muto สัตว์ประหลาดโบราณที่กำลังจะออกมา ถึงแม้ว่าเรื่องที่โจสันนิษฐานนั้นจะถูกต้อง แต่ก็สายเกินไปเมื่อ Muto หลุดออกจากการควบคุมไปยังโลกภายนอกได้สำเร็จ พอประติดประต่อกับข้อมูลของโจรวมไปทั้งการมีบางอย่างโต้ตอบกันไปมา (จากข้อมูลที่ยากจะอธิบายในเรื่อง 555) ดร.อิชิโร ก็พบว่ายังมีสิ่งมีชีวิตที่จะออกมาทำความวินาศแก่บ้านเมืองมนุษย์อีกถึง 2 ตัว !!

ถ้าจากเรื่องราวที่ร่ายมาข้างต้นทำให้ชวนสงสัยว่าเนื้อเรื่องมันแทบจะไม่มีพี่ก็อตเลยนิหว่าแล้วทำไมมันชื่อเรื่อง Godzilla ไม่ใช่ Muto ถล่มโลก แต่นี่แหละเมื่อหนังสร้างปม ลากยาวมาถึงเกือบครึ่งเรื่องราชันของเราก็จะเปิดตัวให้ได้อึ้ง! ทึ่ง! กันเสียที ฮาาาา

หนังเริ่มต้นด้วยการขับเน้นไปในเชิงอ้างอิงประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นความฉลาดที่ทำให้คนดูเชื่อได้ไม่ยากนัก และเกือบครึ่งเรื่องแรก หนังประเดิมด้วยอารมณ์ดราม่า จริงจัง และโศกนาฆกรรมที่ตัวเอกต้องเจอในอดีต รวมทั้งแง้มความสงสัยให้แก่คนดูถึงสิ่งมีชวิตในหนังเรื่องนี้ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ที่จะเจอกับพี่ก็อตในเรื่อง นับว่าเป็นการเปิดเรื่องที่ยิ่งใหญ่ชวนติดตาม และขับเน้นอารมณ์ความอยากรู้อยากเห็นของคนดู ซึ่งต้องบอกว่าได้อารมณ์ยิ่งใหญ่ดี ต่อมาพอถึงกลางเรื่องหลังจากพี่ก็อตเราโผล่มา หนังก็เริ่มจัดแจงตัวเองใหม่เข้าสู่ความเป็นแอคชั่น ระเบิดตูมตาม รวมไปถึงการติดตามของมนุษย์ และการแก้ไขสถานการณ์ที่มีสัตว์ประหลาดโผล่มาทำลายบ้านเมืองที่เล่นข้ามน้ำข้ามสมุทธกันเลย (ย้ำว่าข้ามประเทศเลยทีเดียว) โดยหนังสอดแทรกการประทะ และการเดินทางของสัตว์ประหลาดทั้ง 3 ตัวเป็นระยะสลับกับพาร์ทของมนุษย์ที่พยายามเอาชีวิตรอด และต่อสู้กับพวกมัน พอหนังเดินทางมาถึงช่วงท้ายก็จัดสังเวียนการต่อสู้ที่ทั้ง 3 ได้มาตีกันจนตึกถล่มระเนระนาดที่ ซานฟรานซิสโก!!! OMG ก่อนหนังจะปิดบทสรุปที่ดูเอพิคสุดๆ พร้อมเปิดทางให้มีภาคต่อได้ (ตามสูตรหนัง Hollywood)



ว่ากันตามจริงนั่นคือทั้งหมดของหนัง Godzilla 2014 ซึ่งตามความรู้สึกผมที่คาดหวังไว้สูงทีเดียว เมื่อดูจบต้องยอมรับว่าหนังทำได้ดี ถึงดีมากในหลายๆด้าน และยังดูขาดๆ แปร่งๆในบางส่วน

ในส่วนของด้านดี
-ผมคิดว่าจากต้นเรื่องที่หนังปูพื้นค่อนข้างแข็งแรงทำให้บทของพี่ก็อต และ มูโตนั้นดูไม่ใช่สัตว์ประหลาดธรรมดาๆที่อยู่ๆก็ฟื้นมาทำลายโลกแต่หนังมันมีเหตุผลมารองรับ

-หนังไม่ได้นำเสนอพี่ก็อต และ Muto ออกมาแบบโต้งๆ แต่เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ เราจะค่อยๆเห็นตัวของสัตว์ประหลาดทั้ง 3 ตัวทีละนิดๆ เหมือนกับในตัวอย่างที่เห็นหางบ้าง เห็นหัวบ้าง เห็นแค่ขา ทำให้พอหนังดำเนินถึงช่วงสุดท้ายมันเลยทำให้ดูยิ่งใหญ่ และตื่นตาตื่นใจ (เพราะเพิ่งมาเห็นตัวเต็มๆตากันสักที) ซึ่งนี่ผมคิดว่าเป็นการฉลาดที่ผู้สร้างเลือกที่จะให้หนังไต่ระดับขึ้นไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมเอง

-ธีมของหนังในด้านจริงจัง ขึงขังทำให้บรรยากาศของพี่ก็อตเวอร์ชั่นนี้ต่างจากนักสัตว์ประหลาดอื่นๆ

-งานด้านภาพที่ต้องสารภาพเลยว่าดูตื่นตาตื่นใจมาก โดยพี่ก็อตเวอร์ชั่นนี้เน้นไปที่การดูในมุมมองของคนเดินดินที่อยู่ในเหตุการณ์ (จึงไม่น่าแปลกถ้าบางทีเราจะเห็นแค่บางส่วนของตัวสัตว์ประหลาดทั้ง 3) ทำให้หนังดูเข้าถึง และสัตว์ประหลาดดูน่าเกรงขามดี การทำลายบ้านเมือง หมอกควัน ระเบิด ทั้งหลายทั้งแหล่ล้วนดูน่าตื่นตาอย่างยิ่ง

-งานดนตรีดูยิ่งใหญ่ได้อารมณ์ร่วมดีแท้

-การนำเสนอภาพของผู้คนที่เดือดร้อน สิ่งที่ผมชอบที่สุดคือหนังจะนำเสนอเน้นหนักไปที่เหตุการณ์หลังจากสัตว์ประหลาดถล่มแล้ว ไม่ใช่การวิ่งไล่หรือหนีสัตว์ประหลาดเหมือนเรื่องอื่นๆ ทำให้เราได้บรรยากาศที่แตกต่าง และแปลกใหม่ออกไปเช่น ฉากศูนย์ผู้บาดเจ็บในฮาวาย, ฉากกู้ซากตึกที่โดนถล่ม, ฉากที่คนต้องมารวมกันในสนามกีฬาเพื่อหลบภัย/ตามหาคนสูญหาย เป็นต้น โดยฉากพวกนี้ผมมองว่าเป็นการแสดงจุดยืนที่ผู้สร้างกล่าวว่า ก็อตซิลล่า(รวมทั้ง Muto ด้วย) คือพลังธรรมชาติ ที่เราจะหนีหรือต่อสู้ยังไงก็เป็นรองอยู่ดี ทั้งที่เห็นได้จากทั้งเรื่องไม่ว่ามนุษย์จะทำการอะไร ก็จะล้มเหลว หรือต้องเปลี่ยนแผนใหม่ตลอด กระสุน ทหาร กองกำลัง หรือระเบิด ก็ทำอันตรายพวกมันไม่ค่อยจะได้ และแนวคิดของ ดร.อิชิโร ที่ควรปล่อยให้พวกมันสู้กัน (คล้ายกับการคัดเลือกทางธรรมชาติ) มากกว่าการใช้ระเบิดไปฆ่าพวกมัน เพราะกับธรรมชาติแล้วสุดท้ายมนุษย์เดินดินก็ทำได้แค่หลบ วิ่งหนีเข้าที่ปลอดภัย รอให้พวกมันผ่านไปเท่านั้นเอง

-พี่ก็อตกลับมาอย่างอิพิค น่าเกรงขาม และสมศักดิ์ศรีมาก ดีไซน์เนื่องจากผมไม่ได้ติดภาพของเวอร์ชั่นคอมิคจึงคิดว่าพี่ก็อตเวอร์ชั่นนี้ก็ดูเท่ ดุดัน และยิ่งใหญ่ดี (หลายเสียงของแฟนๆบอกว่ามันอ้วนไป) ส่วน Muto ก็เป็นสัตว์ประหลาดที่ดูน่ากลัว น่าเกรงขามดี (ผมดูครั้งแรกเห็นหัวมันนึกถึง Starship Trooper เห็นขานึกถึง Cloverfield ซึ่งผู้สร้างก็จับเอาสัตว์นู่นนี่รวมทั้งเรื่องทั้งสองนี้มายำรวมเป็น Muto 555)

-ฉากต่อสู้ตอนท้ายที่มีแบบหอมปากหอมคอ ขับเน้นความเป็นสัตว์ที่ใช้สัญชาตญาณ ไม่เยอะและไม่น้อยเกินไป ซึ่งส่วนนี้มีคนบอกว่าหนังเดินเรื่องมาท้ายเรื่องดันสู้กันไม่มันส์เลย ซึ่งตรงจุดนี้แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของผู้ชมจริงๆ แต่ถ้าเอาท่าจับหางฟาด สู้นัวเนียราวกับมวยปล้ำแบบเวอร์ชั่นญี่ปุ่น หรือบู๊หนักๆแบบ Pacific Rim มันก็คงจะดูตลก เวอร์ พิลึก 555

-ฉากจบที่ฟิน และรู้สึกยิ่งใหญ่ดีแท้


มาดูในส่วนที่ขาด หรือพล่องของหนังกันบ้าง
-ดราม่าพาร์ทของมนุษย์ที่ดูไม่สุด ทั้งเรื่องความสัมพันธ์พ่อลูกของฟอร์ด และโจที่ไม่ได้ลงลึกสักเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ของฟอร์ดและเอล(ภรรยา) ก็เช่นเดียวกัน ส่งผลให้ตัวละครหลักดูแล้วรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ลุ้นให้เอาใจช่วยสักเท่าไหร่ ความน่าติดตามอยู่ในระดับเรื่อยๆ สำหรับพระเอก (ฟอร์ด) ของเราที่เสน่ห์ (นอกจากรูปร่าง และหน้าตา) ที่ยังไม่ถึงนัก รวมไปถึงนางเอกอย่างเอลที่น่าจะมีบทบาทมากกว่านี้สักนิด จุดนี้เองทำให้ฉากตอนจบเรื่องทำให้เราไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งอย่างที่ควรจะเป็น จึงอยู่ในระดับพอซึ้งนิดๆ

-บทบาทของดร.อิชิโร และโจมีน้อยไปหน่อย สำหรับผมคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนขับเคลื่อนหนังได้เยอะกว่านี้

-การตัดสลับช่วงสัตว์ประหลาดกับมนุษย์บางจุดมันทำให้ขาดช่วง

-ด้วยความที่หนังมีกลิ่นอาย โร้ดมูฟวี่ ที่ตัวเอกไปหลายสถานที่มาก เนื่องจากเรื่องมันเกิดทั่วโลกทั้ง (ฟอร์ดเดินทางไปทั้งญี่ปุ่น-บนเรือ-ฮาวาย-ในป่า-และอีกหลายที่ 55) มันทำให้มีเหตุการณ์ที่บังเอิญเกินไป (ทั้งโชคดี และซวย) และการจับพลัดจับพลูไปตามสถานที่ต่างๆ ทำให้รู้สึกว่า อะไรมันจะง่ายปานนั้น แปปๆ เดินทาง แปปๆ เปลี่ยนที่ 555 และตัวละครสมทบที่แทบไม่มีบทบาทอะไรเลย (มาแปปๆก็ตาย)

-ตอนจบน่าจะมีฉากให้ลุ้นของพระเอกกับระเบิดมากกว่านี้

-หนังถึงแม้จะมีกลิ่นอาย และอารมณ์ต่างจากเรื่องอื่น แต่สุดท้ายหนังก็ลงสูตรหนังทำนองสัตว์ประหลาดบุกโลกเช่นเดิม


-เนื้อหาในส่วนของผลกระทบจากนิวเคลียร์ในเวอร์ชั่น 1954 ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากนัก แต่เวอร์ชั่นนี้เน้นไปที่การเปรียบว่ามนุษย์เหิมเกริมกับธรรมชาติ แล้วธรรมชาติมาทวงคืนมากกว่า (เข้ากับยุคสมัยนิดนึง55) และในต้นฉบับรุ่นแรกพี่ก็อตเป็นตัวร้ายถล่มเมือง และถูกกำจัดในตอนท้าย

-จากที่มีคนถกเถียงกันว่าสรุปพี่ก็อตนี่มาปกป้องโลกจาก Muto หรือเปล่า?

โดยส่วนตัวผมคิดว่า ไม่!! เพราะเหมือนกับว่าพี่ก็อตแกขึ้นมาเพื่อปราบ Muto ที่อาละวาดต้องการผสมพันธุ์มากกว่า ซึ่งพี่ก็อตอิงตามของญี่ปุ่นที่เป็นเหมือนราชัน (ในเวอร์ชั่นหลังๆที่จับคู่บู๊กับตัวอื่นๆ) ไม่ยอมจึงตื่นขึ้นมาเพื่อปราบ Muto พอปราบเสร็จก็ลงน้ำเหมือนเดิม ฮาาา ส่วนมนุษย์เราเป็นคนที่จับพลัดจับพลูมาอยู่ในสถานที่ที่มันสู้กันมากกว่า โดยถ้าดูจากทั้งเรื่องแล้วเนี่ยสัตว์ประหลาดทั้ง 3 ตัวแทบไม่ได้สนใจมนุษย์อย่างเราๆเลย เรียกได้ว่าเดินหน้าตามทางของมันเองเพื่อให้ภารกิจสำเร็จรุร่วง 55 โดยเราก็แค่ยิงระเบิด ยิงกระสุนไปให้เปลืองเล่นๆ มีอยู่ฉากเดียวที่น่าจะเป็นฉากที่สัตว์ประหลาดสนใจมนุษย์คือ Muto มองพระเอกหลังจากไประเบิดไข่มัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าทั้งสองเป็นเหมือนธรรมชาติ และธรรมชาติมีบทบาทของมันเองในการทำให้เกิดสมดุล มนุษย์อย่างเราๆไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรเลย


ในภาพรวมนั้น Godzilla เป็นหนังที่ให้ความบันเทิง และความประทับใจในระดับน่าพอใจอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ ถึงแม้จะมีบางเสียงแย้งว่าหนังยังทำลุ้นสู้ Cloverfield ไม่ได้เลย อันนี้ต้องแล้วแต่ว่าจะมอง เพราะ Godzilla ดูเป็นหนังที่ให้ความสำคัญกับฝั่งสัตว์ประหลาดมากกว่าฝั่งมนุษย์ และการดำเนินเรื่องที่เป็นแบบหลังจากสัตว์ประหลาดทำลายแล้วไม่ใช่มาวิ่งหนีสัตว์ประหลาด อารมณ์ทางด้านฝั่งมนุษย์จึงพร่องไปอย่างเสียมิได้ แต่หนังชดเชยได้ความยิ่งใหญ่ ความเอพิคของเนื้อเรื่อง และสเกลของหนังเอง Godzilla จึงเป็นหนังที่แฟน และขาจรที่ต้องการความตื่นตาตื่นใจ(และไม่ได้คาดหวังกับการต่อสู้บู๊ ระเบิดมากนัก)ควรตีตั๋วเข้าชมได้ดีนักแล

...(8.5/10)...

ปล. พี่ก็อตในเรื่องเหมือนรู้งาน พอกล้องแพนไปที่หน้านี่ร้องคำรามใส่ตลอด ฮาาา
ในเวอร์ชั่นนี้หนังใช้เงินทุน $160 ล้าน และสำนักต่างๆฟันธงว่าสุดสัปดาห์แรกหนังจะเปิดตัวที่ประมาณ $73 ล้านยังไงรอลุ้นกันครับ (จาก BoxOfficeMojo)
ขอขอบคุณหนังสือ Starpics Special Godzilla The Legend Of King
และที่ขาดไม่ได้ เว็บ IMDb

แก้ไขล่าสุด 16 พ.ค. 57 18:16 | ไอพี: ไม่แสดง

#2 | michaelangarano | 16 พ.ค. 57 18:47 น.

เห็นด้วยคับ

สำหรับตัวหนังต้องพูดก่อนว่า นี่ไม่ใช่หนังที่จะเสริฟฉากฟัดกันแบบไม่ลืมหูลืมตาแบบ Pacific Rim เพราะด้วยความที่ตัวหนังถูกขับเคลื่อนด้วยโทนดราม่า ไม่ใช่แอ็คชั่นแฟนตาซี ผู้กำกับเลือกที่จะเล่าถึงเหตุการณ์การเอาตัวรอดของคนกลุ่มหนึ่งท่ามกลางภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งกรณีภัยพิบัติในครั้งนี้คือการต่อสู้ระหว่าง ก๊อตซิลล่า และ มุโต ในด้านของตัวหนังนั้นดูมีความลึกลับในตัวเองสูง�

คนส่วนมากหวังที่จะไปดู godzilla แบบวินาศสันตะโร แอคชั่นตูมตาม เลยผิดหวังกันเยอะ แต่นี่หนังแนวหดหู่แบบเรื่องวันโลกแตกที่ธรรมมชาติลงโทษโดยใช้สัตว์ประหลาดเป็นสื่อแทนตัวของธรรมชาติ คิดว่าหนังเรื่องนี้ทำดีมากในส่วนนี้ แต่เรื่องบทและตัวละครภาคมนุษย์ยอมรับคับว่ายังอ่อนทำให้เรื่องของอารมณ์ดูดรอปลงไปพอสมควร แต่ยังไงผมก็ยังแนะนำว่าให้ไปดูคับหนังมันมีอะไรมากกว่าความแอคชั่นวินาศสันตะโร คือไปเสพความอาร์ตด้านภาพ ความอลังการของตัวสัตว์ประหลาด และเรื่องความระทึกของหนังที่ทำไว้ได้โอเคมากๆ  แค่นี้ก็คุ้มแล้

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | Nameslesz | 16 พ.ค. 57 18:48 น.

ผมนึกว่า น้องก๊อตขึ้นมาช่วยเพราะต้องการให้โลกสมดุลสะอีก ประมาณว่าถ้า Muto อยู่จะทำลายความสมดุลของโลกหมด ดูดกลืนกัมตรังสีที่แกนโลก อะไรประมาณนี้ป่ะครับ

ปล.ผมก็ไม่ได้หวังว่า ก๊อตซิลลาจะแอคชั่น ตูมตามอ่าครับ แต่ทำไมผมรู้สึกผิดหวังไม่รู้อ่า แต่ไม่ได้ผิดหวังมากนะครับ ตอนนี้รู้สึกคิดถึงเสียง บรรยากาศมืดๆของในหนังอยู่ แต่แบบดูหนังไม่มีอะไรเลย แรกๆยังสนุกลุ้นๆดี หลังๆดูยังไงไม่รู้ บทของคนก็ดูน้อยไปเลยครับ ปกติเฉยๆกับ Pacific Rim นะครับ แต่ชอบ Clover field ครับ ชอบ 2012 ด้วยดูขนลุก ตื่นเต้นดีครับ มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ผสมกันอยู่ระหว่าง Pacific กับ Clover
แต่ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกผิดหวังนิดๆกับก็อตซิลลา อาจเพราะฉากหนังไปอยู่ในตัวอย่างหมดแล้วหรือเปล่า เพราะหนังก็ตามตัวอย่างหมดเลยอ่าครับ

แก้ไขล่าสุด 16 พ.ค. 57 21:54 | ไอพี: ไม่แสดง

#4 | michaelangarano | 16 พ.ค. 57 22:14 น.

ในเรื่อง godzilla ทั้งคู่(ในบทสามีภรรยา)ไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ แต่หวังว่าเรื่องหน้าทั้งคู่(บทพี่น้องฝาแฝด)ในหนังคงจะไปได้สวยกับ the avengers 2 ในบท คลิกซิลเวอรกับสกาเลท วิซ น่ะ แอบเชียร์อยู่555

แก้ไขล่าสุด 16 พ.ค. 57 23:58 | ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google