วิจารณ์จัดเต็ม the Raid 2 หนังแอคชั่นภาคต่อที่โคตรมันแห่งปี

“The Raid 2: Berandal”�เป็นภาคต่อของ�The Raid: Redemption (2011)�หนังแอคชั่นสัญชาติอินโดฯที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก ซึ่งการกลับมาหนนี้ผู้กำกับ�Gareth Evans�ก็ยกระดับวาเข้มข้นของเนื้อหาและฉากแอคชั่นไปไกลกว่าเดิมหลายเท่าตัว เริ่มจากเนื้อหาที่เปลี่ยนจากสถานที่อันจำกัดไปเป็นเรื่องราวการแฝงตัวเข้าไปหาหลักฐานเอาผิดแก๊งมาเฟียสุดอันตรายประจำเมืองที่ลามปามไปสู่สงครามระหว่างแก๊งต่างชาติ โดยหนังภาคนี้ทำให้เราได้สัมผัสฉากแอคชั่นที่ใหญ่ขึ้น มีความทะเยอทะยานใหญ่ขึ้นและการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นตามไปด้วยสำหรับในแง่ของเนื้อหานั้น แม้จะเป็นภาคต่อ แต่หนังก็ไม่ได้มีการอิงความต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในภาคที่แล้วเท่าไหร่นัก�(หนังเล่าเรื่อง 2 ชั่วโมงต่อมาหลังจากฉากจบในหนังภาคแรก ตามด้วยการเล่าเรื่องในอีก 2 ปีต่อมา)�ฉะนั้นใครที่ไม่เคยดูหนังภาคแรกมาก็น่าจะพอทำความเข้าใจและสนุกกับหนังภาคนี้ได้ไม่ยาก�(แต่ถ้าดูภาคแรกมาก่อน เราจะเข้าใจอารมณ์ตัวละครเอกมากขึ้นในความมุ่งมั่นชนิดเกินร้อยที่จะปราบคนชั่วในเมือง)�นอกจากนี้หนังยังมีความเข้มข้นและดราม่าที่เพิ่มมากขึ้นกว่าภาคแรก ทั้งในแง่ของประเด็นการแย่งชิงความเป็นใหญ่ของมาเฟียผู้กระหายอำนาจและการหักเหลี่ยมกันเพื่อขึ้นครองความเป็นใหญ่ ซึ่งหนังมีโทนที่ให้ความรู้สึกเหมือนหนังฮ่องกงมากทีเดียว�(หลายช่วงหนังทำเอาเราลืมไปเลยว่านี่คือหนังอินโดนีเซีย เนื่องจากการมีตัวละครต่างชาติเข้ามาเสริมและการเลือกโลเกชั่นและงานโปรดักชั่นที่ให้ความรู้สึกอินเตอร์มาก)�แม้ปมความขัดแย้งของมาเฟียจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เท่าไหร่ แถมพอจะเดาทางได้ไม่ยากว่ามันจะนำไปสู่บทสรุปแบบไหน แต่หนังก็ยังคงทำได้ดีกับการนำเสนอที่ชวนให้ติดตาม ซึ่งถ้ามองในแง่ของหนังมาเฟียมันก็ยังคงอยู่ในระดับที่ใช้ได้ทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้หนังที่เนื้อหาเดาทางไม่ยากนี้ดูสนุกมากยิ่งขึ้นก็คือฉากแอคชั่นและคิวบู๊และก็เป็นบรรดาฉากแอคชั่นนี่เองที่ยากจะคาดเดาได้ว่าผู้กำกับจะนำพาเราไปพบกับความหวาดเสียวหรือเร้าใจในระดับบ้าคลั่งมากน้อยเพียงใดในฉากนั้นๆฉากแอคชั่นในเรื่องล้วนออกแบบมาได้น่าทึ่งและเร้าใจมากๆ ซึ่งถ้าจะให้คะแนนกันเฉพาะในแง่ของฉากแอคชั่น หนังเรื่องนี้คู่ควรกับคะแนนเต็ม 100 เลยทีเดียว! ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้ในคุกที่ใช้สภาพแวดล้อม เช่น ดินโคลนหรือห้องน้ำแคบๆ มาสร้างสรรค์เป็นฉากบู๊ท่ามกลางตัวประกอบนับสิบๆรายได้อย่างน่าดูชมมากๆ, ฉากการต่อสู้ในอาคารผลิตหนังโป๊ที่โดดเด่นในแง่ของงานด้านมุมกล้องที่เหวี่ยงไปมา ตลอดจนตีลังกาตามตัวละครที่ถูกโยนทะลุหน้าต่างออกไปเลย, ฉากสาวค้อนโหดในรถไฟใต้ดินที่โหดชวนหวาดเสียวดีแท้ ซึ่งนี่น่าจะเป็นฉากแอคชั่นของตัวละครสาวโหดเลือดสาดที่ทำออกมาได้น่าดูชมที่สุดนับตั้งแต่ฉากการต่อสู้ระหว่าง The Bride และ Gogo ใน ‘Kill Bill: Vol. 1’ เลยก็ว่าได้โดยเฉพาะ 2 ฉากใหญ่ที่ต้องยกให้เป็นฉากแอคชั่นที่น่าตื่นตาและมันส์สะใจสุดๆกับฉากการไล่ล่าทางรถยนต์บนท้องถนนที่ผสมทั้งความวินาศสันตะโรของรถยนต์และการต่อสู้ของตัวละครในรถได้ลงตัวมากทั้งในแง่ความมันส์ ความสะใจ และ ฉากการต่อสู้ตรงระเบียงทางเดินลากยาวไปจนถึงการเผชิญหน้าในห้องครัวของตัวละคร Rama ที่กินเวลายาวถึง 10 นาทีเต็ม !

ฉากการต่อสู้ระหว่างคนสองคนในห้องครัวที่ยาว 10 นาทีนี้เป็นฉากที่ไร้ที่ติในแง่ของความเป็นแอคชั่น มันออกแบบมาได้ดีบวกกับความสามารถของตัวนักแสดงเองที่ฟาดหมัดกันอย่างดุเดือดสมจริง มันไม่ใช่แค่ฉากรัวหมัดใส่กันทั่วๆไป แต่มันเป็นฉากการต่อสู้โชว์ศิลปะป้องกันตัวของตัวละครที่ฝีมือดีที่สุดในเรื่อง 2 รายชนิดสู้กันได้แบบสมน้ำสมเนื้อสุดๆจนบีบอารมณ์ผู้ชมให้ลุ้นและเหนื่อยตามตัวละครกันไปเลยอีกด้วย ทั้งมันยังแฝงถึงความเท่ความอาร์ตกับซีนสุดท้ายของฉากนี้ที่เราจะเห็นตัวละครตัวหนึ่งฟุบลงมาบนซบบ่าตัวละครอีกคนที่นับเป็นการปิดฉากซีนแอคชั่นยาวต่อเนื่องนี้ได้เท่จริงๆ ชนิดที่ต้องปรบมือดังๆให้เลยกับหนึ่งในฉากแอคชั่นที่มันส์ที่สุดเท่าที่เคยได้ดูมา

ตัวหนังยังฉลาดในการเลือกใช้มุมกล้องที่ช่วยเสริมอารมณ์ความมันส์ของฉากแอคชั่นต่างๆ รวมถึงการตัดต่อที่เยี่ยมไม่แพ้กัน ยกตัวอย่าง ฉากการตัดสลับระหว่างการต่อสู้บนรถไฟของสาวค้อนโหดและ**หนุ่มไม้เบสบอลที่ใช้มุมกล้องเหวี่ยงขึ้นลงสลับฉากจาก 2 สถานที่ของ 2 ตัวละครได้ลงตัวจริงๆ หรือ ฉากการต่อสู้ตรงระเบียงระหว่างตัวเอกกับ 2 พี่น้องคู่โหดกับการเหวี่ยงไม้ของ Rama ที่ทีมงานผู้สร้างเลือกใช้การเหวี่ยงภาพตามทิศทางแรงกระแทกของไม้เบสบอลจากมุมทางเดินด้านหนึ่ง ลอยไปสุดมุมทางเดินอีกด้านหนึ่งจนทำเอาผู้ชมใจหายไปด้วยเลย�(เชื่อว่าหลายคนต้องเผลออุทานออกมาแน่ๆว่า ‘โอ้แม่เจ้า!!’)(หนังมีฉากแอคชั่นที่ดูโหดเลือดสาดและชวนหวาดเสียวอยู่มาก เช่น การใช้มีดคัตเตอร์ปาดคอคน หรือ ฉากการใช้ค้อนกระชากคอหอย ซึ่งหนังก็พยายามใช้มุมกล้องหลบไม่ให้เราได้เห็นความโหดแบบจะๆ เต็มๆตาได้อย่างชวนลุ้นมาโดยตลอด กระทั่งมาสู่ฉากยิงจ่อหัวในช่วงท้ายที่ผู้กำกับเลือกแช่กล้องให้ผู้ชมเห็นสมองคนกระจายแบบจัดเต็ม ซึ่งนี่น่าจะเป็นลูกเล่นที่ผู้กำกับใช้ล่อคนดูมาตั้งแต่ต้นให้คิดว่าหนังคงจะไม่มีฉากโหดแบบจะๆให้ได้เห็นหรอกและฉากนี้คงมีมุมกล้องมาช่วยไว้เหมือนที่ผ่านๆมา)

หนังยังโดดเด่นในแง่มุมของการเลือกใช้เสียงและการใช้ดนตรีประกอบอีกด้วย หนังฉลาดที่มีการดึงเอาเสียงอุปกรณ์ประกอบฉากมาใช้เสริมความเร้าใจในการต่อสู้ของตัวละครให้เร้าอารมณ์ยิ่งขึ้น อาทิ ฉากการต่อสู้ในห้องครัวที่เสียงของกระจก ตู้สแตนเลสและขวดไวน์ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ดี ส่วนดนตรีประกอบทำออกมาได้เร้าใจ แถมยังหาจังหวะเข้าออกได้เยี่ยมทีเดียวด้านนักแสดงและทีมสตั้นท์ล้วนทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชม โดยเฉพาะ�Iko Uwais�ที่บู๊แหลกได้สมจริงและทำได้ดีมากในฉากแอคชั่นที่รุนแรง จนผู้ชมพร้อมจะเอาใจช่วยเขาในทุกๆครั้งที่เปิดฉากสู้ ส่วน�Arifin Putra�ที่รับบทเป็น Uco ก็มีมาดเหมาะสมกับบททีเดียว ปิดท้ายกับYayan Ruhian�ที่เคยรับบท**หมาบ้าในหนังภาคแรกมาแล้ว ในภาคนี้ก็กลับมาร่วมแสดงในบทตัวละครใหม่ Prakoso ผู้มีอาชีพนักฆ่ารับจ้าง

“The Raid 2: Berandal” นับเป็นหนังแอคชั่นบู๊ดุเดือดที่มันส์ที่สุดในรอบหลายปีและหนังแอคชั่นที่คิวบู๊มันส์สะใจที่สุดในปีนี้และเชื่อว่าฉากแอคชั่นบางซีนคุณต้องไม่เคยเห็นมาก่อนจากหนังเรื่องไหนแน่ๆ ทั้งหมดนี้ทำให้นี่คือหนังแอคชั่นที่ควรค่าแก่การชมอีกเรื่องที่คอหนังแนวนี้ไม่ควรพลาดอย่างแท้จริง

ปล. ใครที่ยังไม่เคยดูภาคแรกรีบหามาดูด่วน ไม่งั้นคุณจะไม่รู้เลยว่าหนังแอคชั่นที่ดีและมันที่สุดมันเป็นยังไง นั่นถือว่าคุณพลาดมหันต์มากๆที่คุณยังไม่เคยดูหนังแอคชั่นเรื่องนี้