New update ตัวอย่างฉบับเต็ม+พรีวิวนวนิยายระทึกขวัญ Gone Girl

8 ก.ค. 57 03:47 น. / ดู 2,937 ครั้ง / 2 ความเห็น / 1 ชอบจัง / แชร์


หนึ่งในหนังตัวอย่างที่เรียบง่ายแต่ดูดีสมราคา ซึ่งหนังเรื่องนี้นั้นดัดแปลงจากนวนิยายระทึกขวัญชื่อดังอย่าง Gone Girl ที่ต้องเรียกได้ว่า " เป็นม้ามืดแห่งปีนี้ก็เป็นได้ "
หากเมื่อพูดถึงนวนิยายระทึกขวัญในปัจจุบัน ไม่แปลกใจที่นวนิยายเรื่องนี้นั้นจะติดอยู่ในลิสต์ของหลายๆสถาบันลำดับต้นๆ รวมทั้งกระแสในโลกโซเชียลหลังจากได้มีการสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างเป็นรูปร่างจวนจะออกฉายในไม่กี่เดือนนี้


ตัวอย่างหนังนั้นเปิดฉากมาด้วยคำถามที่ว่า " ตกลงแล้ว คุณฆ่าเมียคุณหรือเปล่า " ก่อนที่รายละเอียดของหนังจะค่อยเฉลยออกมาทีละนิด ตั้งแต่ภรรยาของนิคหายไป บันทึกของภรรยานิคที่บ่งชี้ว่านิคอยากจะฆ่าเธอ รวมไปถึงการสืบสวนของตำรวจและคนรอบข้างที่เริ่มสงสัยในตัวนิค ในตัวอย่างหนังแทบจะเสมือนไร้วิญญาณเฉกเช่นเดียวกับตัวหนัง ทำให้ตัวอย่างหนังดูต่างไปจากหนังตัวอย่างเรื่องอื่นที่ได้ดูกันมาและสงสัยใคร่รู้ในจุดจบของตัวหนังที่จะเกิดขึ้น



เรื่องย่อของตัวหนังและหนังสือ (ไม่สปอยด์)

ชีวิตแต่งงานที่เริ่มสั่นคลอนหลังจากแต่งกันมาได้ 5 ปี คือจุดเริ่มต้นของความลึกลับซ่อนเงื่อนในเรื่องนี้  Nick กับ Amy คู่สามีภรรยาในนิวยอร์ก แต่เมื่อทั้งคู่ตกงานและแม่ของ Nick ก็ป่วยเป็นมะเร็ง พ่อก็เป็นอัลไซเมอร์ ทั้งคู่จึงตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ Carthage, Missouri พร้อมเงินก้อนสุดท้ายในทรัสต์ของ Amy

เรื่องเริ่มด้วยการหายตัวไปอย่างลึกลับของ Amy เมื่อวันครบรอบแต่งงานปีที่ 5 พอดี พร้อมกับเงื่อนงำที่ Amy ทิ้งไว้ คือ treasure hunt ซึ่ง Amy ซ่อนคำใบ้ปริศนาไว้ให้ Nick ผู้ไม่ค่อยยี่หระกับเกมนี้ตามหาของขวัญวันครบรอบฯ เรื่องดำเนินคู่ขนาดไปกับการบรรยายโดยไดอะรี่ของ Amy ในช่วงชีวิตต่างๆ และมุมมองของ Nick หลังจากภรรยาหาไป เมื่อนานวันเข้า Nick กลับตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าภรรยาแล้วอำพรางศพ พยานหลักฐานต่างๆ เหมือนจะผู้มัดเขา ไม่ว่าจะเป็นสภาพบ้านก่อนภรรยาหายไป ก็เหมือนกันจัดฉาก ตัวเขาเองไม่สามารถระบุที่อยู่ขณะเกิดเหตุได้ หรือการที่เขาโกหก (เพื่อรักษาหน้า) เรื่องมีชู้กับผู้หญิงที่เด็กกว่าร่วมสิบปีคนหนึ่ง พฤติกรรมในช่วงต่างๆ ก็น่าสงสัย หลักฐานผู้มัดเขาให้ดูเหมือนคนถังแตก โหดร้ายกับภรรยาจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน จึงเป็นเหตุจูงใจได้อย่างดี




ตัวหนังนั้นจะมีความยาวประมาณ 116 นาที ลงทุนสร้างไปถึง $50 ล้าน โดยมีผกก.เดวิด ฟินเชอร์ จาก The social network, The girl with the dragon tattoo, Seven และ Fight Club

นอกจากนี้แล้วตัวหนังยังได้มีการเปลี่ยนบทในองค์ที่ 3 ใหม่ เพื่อให้ตอนจบนั้นแตกต่างจากในนิยายรวมทั้งจากรายงานข่าวที่ออกมา เบน เอฟเฟคท์ ได้อ่านบทแล้วถึงกับอึ้งไปกับบทภาพยนตร์ในเรื่องนี้ ยังไงต้องรอติดตามชมกันได้



เมื่อพูดถึงหนังไปแล้วคราวนี้มาพูดถึงด้านตัวนวนิยายบ้าง
" หลายคนอาจจะไม่รู้จักหรือบางทีไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำไป "
ต้องบอกเลยว่านวนิยายเล่มนี้นั้นเคยอยู่ในอันดับที่ 1 ของ New York times ถึง 8 สัปดาห์ และขายได้เฉพาะในอเมริกาถึง 2 ล้านเล่ม ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์เมื่อได้มีการวางจำหน่ายไปเมื่อปี 2012




พรีวิว
ณ.ตอนนี้ตัวผมเองยังไม่ได้ซื้อหนังสืออย่างเป็นรูปธรรมแต่เคยอ่านของเพื่อนที่วางทิ้งไว้ ด้วยความไม่รู้มันคืออะไร ว่างๆไม่มีไรทำ เลยอ่านไปซักหน่อย ปรากฏว่าวางไม่ลงครับท่านผู้อ่านทั้งหลาย (ต้องขอบอกก่อนเลยว่าผมไม่ได้อวยอะไรทั้งนั้น ดีคือดี แย่คือแย่ครับ)
ในช่วงแรกองค์แรกของนวนิยายนั้นส่วนใหญ่เป็นการปูพื้นฐานรายละเอียดให้คนดูจับจุดว่ามันจะต้องเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ โดยมีตัวละครอย่าง นิค ที่เป็นตัวเดินเรื่อง และบันทึกของภรรยานิคที่หายตัวไป ควบคู่กันไป
แต่เมื่อผ่านไปครึ่งเล่ม ต้องบอกเลยว่า ความสนุกและลุ้นระทึกเพิ่มเป็นทวีคูณ ด้วยการหักมุมเซ็ทแรกเข้ามาว่า... ซักพักยังไม่ทันคลี่คลายไรต่อ ก็หักมุมเซ็ทสองและเซ็ทสามและเซ็ทต่อไปไม่ยั้ง จุดๆนี้แหละทำให้หลายๆคนที่อ่านหนังสือแทบจะวางหนังสือไม่ลงกันเลยทีเดียวหลังจากโดนปูพื้นฐานรายละเอียด (ปรากฏว่าคุณหลอกดาว 555+เพราะมันไม่เป็นอย่างที่คาดไว้) ว่าใครเป็นฆาตกร ใครเป็นตัวบงการ ใครคือคนกุมอำนาจ ใครคิดอย่างไรบ้าง รวมทั้งตัวละครอย่างนิคเป็นคนทำหรือมีคนชักใยเบื้องหลัง ต้องบอกเลยว่าต่อให้คุณเดา คุณก็เดาไม่ได้

และเมื่อถึงองค์ 3 ก็เป็นจุดพีคของทุกอย่าง แต่ความเป็นจริงแล้วนั้น องค์ 2 ต่างหากที่เป็นจุดพีค เพราะช่วงองค์ 3 คือช่วงแก้ไขหลายๆอย่างและมีสถานการณ์ที่น่าชวนทึ่ง แม้ส่วนตัวแล้วยังไม่ประทับใจกับตอนจบมากนะก็ตาม ไม่ใช่มันจบไม่ดีนะ มันเข้าขั้นดีเลยแหละว่าตามกันตรงๆ เพราะไม่คิดว่าจะจบแบบนี้ คาดว่าการแก้ไขในองค์ 3 ของตัวหนังน่าจะมีผลอยู่พอสมควร กับการดูในครั้งนี้ มาพูดถึงองค์ 3 ในนิยาย ต้องบอกเลยว่าเป็นการหักมุมที่เรียกได้ว่าอึดอัดพอประมาณ แม้จะมีเหตุและผลรองรับก็ตาม แต่คาดว่าถ้าจบอีกแบบคนคงไม่พูดถึงกันแน่ๆ (ว่าไป)



สรุป
ถือเป็นหนังสือนวนิยายที่ต้องบอกว่า " เป็นหนังสือนวนิยายระทึกขวัญสืบสวนที่คุณแทบจะวางไม่ลงเลยทีเดียว ด้วยตัวเนื้อหาที่เดาทางไม่ได้ว่าจะมีบทสรุปไปในทิศทางไหน สนุก ลุ้นระทึก หักมุม รวมทั้งยังกลายเป็นผลงานระดับ Masterpiece ของนวนิยายแนวนี้ไปโดยปริยาย " หากใครชอบนวนิยายแนวนี้ต้องรีบซื้อมาอ่าน อย่างไรก็ตาม ฉบับนวนิยายกับตัวภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายในอเมริกาในวันที่ 3 ตุลาคมนี้ก็มีเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงในช่วงองค์ 3 เท่านั้น หากมองเพียงนวนิยายเพียงอย่างเดียว ตัวเนื้อหาเองก็ทำออกมาได้ถึงกึ๋นและสร้างความแปลกใหม่ให้กับผู้อ่านได้ไม่น้อยเมื่อได้อ่านจบ คาดว่าหนังฉายเมื่อไหร่จะรีบมารีวิวให้ท่านผู้อ่านทันที 


แก้ไขล่าสุด 8 ก.ค. 57 13:54 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | Dorothy | 8 ก.ค. 57 12:07 น.

ต้องหาอ่านซะแล้ววววว
ขอบคุณค่ะที่แนะนำ

ถามหน่อยค่ะ เจ้าของกระทู้คิดเรื่อง อ่านหนังสือก่อนดูหนัง และ ดูหนังก่อนอ่านหนังสือยังไงคะ?

ตัวเราคือทำมาทั้งสองแบบ แล้วยังสรุปกับตัวเองไม่ได้ว่าชอบอันไหนมากกว่ากัน 
เลยคิดไม่ออกว่าอันนี้จะยังไงก่อนดีอะ ฮือ 

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | [REC.O] | 8 ก.ค. 57 13:51 น.

ตอบ คุณ Dorothy

เรื่องการอ่านหนังสือก่อนดูหนังและดูหนังก่อนอ่านหนังสือคิดยังไง

ผมว่าส่วนใหญ่แล้วการอ่านหนังสือก่อนดูหนังนั้น ทำให้เรารู้รายละเอียดปลีกย่อยมากกว่า เนื่องจากตัวหนังนั้นคงไม่สามารถเก็บรายละเอียดได้ทั้งหมด ทำให้หนังส่วนใหญ่เลือกที่จะตัดประเด็นย่อยที่จะส่งผลให้หนังอืดหรือน่าเบื่อออกไป ยกเว้นในกรณีหนังสือวรรณกรรมอย่าง Harry Potter ที่ผมชอบอยู่ภาคเดียวคือ ภาค 3 นักโทษแห่งอัซคาบัน ที่ดัดแปลงบทจากวรรณกรรมให้กลายเป็นหนังที่สนุกได้ แม้จะตัดรายละเอียดไปมากพอสมควร โดยส่วนมากคนที่อ่านหนังสือมักจะรู้สึกเฟลมากไปกับการดูหนังมากกว่าครับ เห็นได้จากเพื่อนๆผมที่เคยอ่านหนังสือกันมา ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกครับ โดยเฉพาะวรรณกรรม Harry Potter นี่แหละที่เด่นชัด แต่ก็มีที่อยู่ในระดับที่ดีหรือเท่าทุนเมื่อเทียบกับหนัง อาทิ The Hunger games
แต่การดูหนังก่อนมาอ่านหนังสือนั้น เราก็จะได้อรรถรสในการชมอีกแบบ ด้วยความที่เราไม่รู้อะไรมาก่อนเลย ทำให้เรารู้สึกค่อนข้างแปลกใหม่กับสิ่งที่เราชม แต่ด้านเนื้อหาให้รายละเอียดน้อยกว่าในหนังสืออยู่พอประมาณ คนส่วนใหญ่จึงเลือกวิธีนี้มากกว่าครับ ยกเว้น The girl with the dragon tattoo หรือ  The lord of the ring  ที่ต้องยอมรับว่าตัวหนังทำได้ดีและเข้าใจง่ายกว่าการอ่านหนังสืออยู่พอประมาณ

โดยระยะหลังนี้ส่วนใหญ่ผู้ดัดแปลงบทภาพยนตร์พยายามสร้างความแปลกใหม่ในหลายๆครั้งเพื่อให้คนดูรู้สึกว่ามีความอยากในการเข้าไปชมภาพยนตร์ โดยอิงเนื้อหาไว้ 80% ส่วนที่เหลือเก็บไว้เป็นช็อตเด็ด ที่แน่ๆโดยเฉพาะ Twilight saga Breaking dawn part 2 ที่เล่นกับคนดูได้อย่างอยู่หมัดและสร้างความแปลกใหม่ให้กับหนังชุดนี้

ผมคิดว่า Gone Girl ก็เช่นเดียวกัน ในการสร้างองค์3ใหม่ ทำให้ตัวหนังที่อยากชมอยู่แล้ว สร้างความตื่นเต้นในความอยากเข้าไปดูมากยิ่งขึ้น ด้วยศักยภาพทั้ง ผกก.และดารานักแสดง อีกทั้งผู้ดัดแปลงบทภาพยนตร์ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นี่เอง

ส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามีดีคนละแบบกันครับในการอ่านหนังสือก่อนหรือว่าการดูหนังก่อนครับ

แก้ไขล่าสุด 8 ก.ค. 57 13:55 | ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google