Mockingjay Part 1 Movie Review by FallsDownz

20 พ.ย. 57 19:14 น. / ดู 882 ครั้ง / 11 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
The Hunger Games : Mockingjay Part 1 Movie Review

"Mockingjay Part 1 ยังคงเป็นภาพยนตร์ในชุด The Hunger Games ที่เราหลงรักและชื่นชอบ แต่การหั่นมันออกมาเป็นสองตอนดูเหมือนจะกระทบตัวภาพยนตร์มากกว่าแค่ต้องรอ Part 2 อีกหนึ่งปี"

บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz


The Hunger Games ณ ตอนนี้ก็เรียกได้ว่ากลายเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่มีต้นแบบมาจากนวนิยายและประสบความสำเร็จไปทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัย คล้ายๆกับ Harry Potter หรือ Twilight ที่ทั้งสองเรื่องหลังก็จบลงไปกันเรียบร้อยแล้ว มันเป็นภาพยนตร์ชุดที่เรียกได้ว่าฮิตขนาดกลายเป็นกระแสอะไรบางอย่างที่วัยรุ่นทั่วโลกจะต้องพร้อมใจกันจับมือไปดูถ้าหากไม่อยากคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่องในวันรุ่งขี้นเลยทีเดียวเชียว

ซึ่งในคราวนี้ตัวภาพยนตร์ชุดนี้ก็ได้ก้าวมาสู่ภาคที่สาม ซึ่งตามหนังสือควรจะเป็นภาคสุดท้ายอย่าง Mockingjay นั้นเอง แต่แน่นอนว่าตัวภาพยนตร์ก็อดไม่ได้ที่จะต้องตามเทคนิคทางการตลาดที่กำลังฮอตฮิตในขณะนี้ด้วยการหั่นเป็นสองตอน Part 1 กับ Part 2 แบบ Harry Potter and the Deathly Hallows หรือ Twilight Saga Breaking Dawn ซึ่งการทำเช่นนี้ใน Mockingjay ดูเหมือนจะกระทบตัวภาพยนตร์มากกว่าที่คาดคิดเอาไว้พอสมควร

The Hunger Games 3 : Mockingjay Part 1 ว่าเรื่องราวต่อเนื่องจากใน The Hunger Games : Catching Fire แคทนิสได้ทำลายเกมลงในภาคที่แล้ว จึงทำให้เกิดกระแสลุกฮือขึ้นมาอย่างรุนแรง ในขณะที่เธอได้มาอาศัยอยู่ในเขตที่ 13 เธอจึงถูกขอร้องให้มาเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของกลุ่มต่อต้านแคปปิตอล ท่ามกลางความกดดันอันใหญ่หลวง สถานการณ์อันรุนแรง และตัวพีต้าที่ถูกแคปปิตอลจับตัวไป แคทนิสจะสามารถผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้ไปได้หรือไม่ ?

Mockingjay Part 1 ต้องพูดก่อนเลยว่าไม่ใช่ภาพยนตร์ที่แย่แต่อย่างใดเลย มันยังคงเป็นภาพยนตร์บทสรุปของ The Hunger Games ที่เราหลายๆคนหลงรักและชื่นชอบ แต่ในเมื่อ Part 1 ก็เป็นจุดเริ่มต้นของภาคจบและภาคสรุปทุกๆสิ่งอย่างแล้ว ผู้เขียนก็คาดหวังเอาไว้ว่ามันจะปูทางไปสู่ Part 2 อย่างประทับใจได้บ้าง ยิ่งโดยเฉพาะในภาค Catching Fire ที่ตัวผู้กำกับฟรานซิส ลอว์เรนซ์ทำผลงานเอาไว้ได้ยอดเยี่ยมมาก ก็ยิ่งทำให้ความคาดหวังสูงยิ่งขึ้นไปอีก

อย่างที่บอกไปแล้วว่าปัญหาที่ผู้เขียนคิดว่าร้ายแรงที่สุดของ Mockingjay Part 1 เลยก็คือ การหั่นหนังสือเพียงเล่มเดียวออกมาเป็น 2 Part ซึ่งมันทำให้การกำกับของตัวฟรานซิส ลอว์เรนซ์เองถูกจำกัดลง จากการที่ตัวเขาเคยเล่าเรื่องอย่างน่าสนใจ น่าตื่นเต้นในภาคก่อนๆ ก็ต้องถูกบังคับให้เล่าช้าลงเนื่องจากมิเช่นนั้นมันจะไปทับเวลาที่จะเอาไปใส่ใน Part 2 พาเอา Part 1 ในครั้งนี้รู้สึกน่าเบื่อและยืดยาดในหลายๆฉากที่ตัวภาพยนตร์พยายามจะยืดเรื่องมากจนเกินไปทั้งๆที่บางทีก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น

นอกจากนั้นจุดที่ผู้เขียนรู้สึกได้เลยว่าหายไปและเป็นจุดที่สำคัญมากๆของตัวภาพยนตร์ชุดนี้ก็คืออารมณ์ของการประลองกันในเกมแบบในภาคแรกหรือภาคสอง การประลองหรือ"เกม"ในภาพยนตร์ชุดนี้ เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าทำให้ตัวชุดภาพยนตร์โดดเด่นและแตกต่างออกมาจากภาพยนตร์ที่มีต้นแบบมาจากนวนิยายเรื่องอื่นๆที่คล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด เฉกเช่น Divergent ใช่มันยังคงพูดถึงโลกแบบดิสโธเปีย เสียดสีสังคมและการต่อต้านอยู่เช่นเคย แต่เมื่อ The Hunger Games ได้ใส่เรื่องราวของโลกแห่งเกมเข้ามามันก็ได้ทำให้ตัวมันเองน่าสนใจขึ้นมาอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องราวของการเอาชีวิตรอด ในการเอาใจผู้สนับสนุนนอกเกมเพื่อที่พวกเขาจะได้ส่งของมาให้ในเกม ความเชื่อใจ การทรยศ การเอาชีวิตรอดและโดยเฉพาะการที่ผู้ชมรู้ดีว่าจะต้องมีภัยอันตรายมากระทบตัวละครอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกเอาใจช่วยและตื่นเต้นไปพร้อมๆกับตัวละคร ซ้ำยังด่านต่างๆก็ยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจและเพิ่มความเข้มข้นของตัวเกมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นี้เป็นจุดที่ทำให้ภาพยนตร์ชุด The Hunger Games โดดเด่นอย่างแท้จริง ด้วยเกมที่กดดัน จริงจังและเคร่งเครียด ที่ภัยอันตรายจะมาจากทางใดก็ได้ และภัยอันตรายนี้ก็ถูกห่อหุ้มด้วยโลกภายนอกเขตต่างๆและแคปปิตอลที่อันตรายไม่แพ้กันอีกชั้นหนึ่ง

ซึ่งอารมณ์ ความรู้สึกและสิ่งเหล่านี้มันได้หายไปหมดใน Mockingjay Part 1 เหลือเพียงแต่เรื่องราวของการต่อต้าน สงครามและความรักอันสุดแสนจะน่าเบื่อ ซ้ำซาก ทั้งๆที่พูดเลยว่าตัวผู้เขียนไม่เคยประทับใจการเล่าเรื่องในโลกภายนอกเขตต่างๆรวมถึงแคปปิตอลของผู้กำกับฟรานซิส ลอว์เรนซ์เลยตั้งแต่ภาคแรกๆ คือน่าสนใจแต่เทียบอะไรไม่ได้กับตอนที่เขากำกับฉากช่วงที่อยู่ในเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคสองที่การเล่าเรื่องและปูเรื่องในโลกภายนอกดูจะเป็นจุดอ่อนแอที่สุดของภาค แล้วเมื่อใน Mockingjay Part 1 มันถูกยัดเข้ามาเต็มๆ 2 ชั่วโมงแบบตัดเรื่องราวของเกมออก มันก็เหมือนการเอาเปลือกนอกของผลไม้ที่ไม่สำคัญเท่ากับเปลือกในมาให้เรารับประทานแทนที่จะให้เนื้อในที่ทำให้ตัวผลไม้เอร็ดอร่อยและน่าทานอย่างแท้จริงมาให้

ถึงกระนั้นก็ตามตัวนักแสดงนำอย่างเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ก็ยังคงรับบทแคทนิส เอเวอร์ดีนได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคยถึงแม้ว่าตัวบทอาจจะไม่ได้ดีซักเท่าไรนักก็ตาม และโดยเฉพาะในภาคนี้ที่แฟนๆหลายคนก็คงจะจับตานักแสดงอย่างฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเขาซึ่งเป็นนักแสดงมากฝีมือคนหนึ่งในโลกได้จากพวกเราไปแล้วในต้นปีที่ผ่านมานี้ ยังถือว่าเป็นที่โชคดีของตัวผู้สร้างที่ในช่วงนั้นตัวภาพยนตร์ Part 1 ได้ถ่ายทำในส่วนของเขาจบลงไปแล้ว เราก็คงจะต้องมาดูกันอีกทีว่าใน Part 2 จะกระทบต่อตัวภาพยนตร์มากน้อยแค่ไหน คาดว่าก็อาจจะต้องใช้เทคนิคดิจิตอลเข้าไปแทนที่กันไป


ในท้ายที่สุด The Hunger Games 3 : Mockingjay Part 1 ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ในชุด The Hunger Games ที่เราหลงรักและชื่นชอบ แต่การหั่นมันออกมาเป็นสองตอนดูเหมือนจะกระทบตัวภาพยนตร์มากกว่าแค่ต้องรอ Part 2 อีกหนึ่งปี ด้วยบทส่วนที่ถูกหั่นออกมาทั้งซ้ำซากจำเจและไม่น่าสนใจ ส่วนการกำกับของฟรานซิส ลอว์เรนซ์เองก็อืดอาดยืดยาดจนจะพาหลับ ยังไงก็ตามนี้ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่แฟนๆไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ถึงกระนั้นผู้เขียนก็คงได้แต่หวังว่าใน Part 2 ทุกอย่างจะลงตัวและจบลงได้อย่างสวยงามมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

Final Score : [ B ]


ติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆในอนาคต และอัพเดทข่าวหรือตัวอย่างวงการภาพยนตร์/เกมได้ที่แฟนเพจเลยครับผม
https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/
http://fallsdownz.blogspot.com/
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | [W]in[D]i[L]ien | 20 พ.ย. 57 20:40 น.

ยังไม่ได้ดูแต่คิดเหมือนกันเลยค่ะว่าไม่ควรหั่นเป็น2พาร์ท คือหนังสือมันไม่ได้หนาอะไรขนาดนั้นอ่ะ ที่แฮร์รี่ต้องหั่นเพราะหนังสือหนา ส่วนทไวไลท์ที่ต้องหั่นนี่คือเหตุผลทางต้นทุนนั่นคือถ้ามีเงินไม่พอจ้างนักแสดงให้มายัดลงในภาคเดียว แต่เรื่องนี้มันสั้นไง มันสามารถทำได้(ถึงแม้ว่าหนังจะต้องเดินเรื่องยาวไป2ชั่วโมงครึ่งก็ยังเชื่อว่าคนก็ยังสนใจจะดู) เรื่องเนื้อเรื่องนี่ไม่ได้หวังเท่าไหร่เพราะภาค3ก็ขึ้นชื่อว่าเนื้อเรื่องอ่อนสุดในบรรดาทุกภาคอยู่แล้ว

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | FallsDownz | 20 พ.ย. 57 21:02 น.

ผมคาดว่าเหตุผลหลักๆก็เพราะการตลาดเนี้ยแหละครับ แต่ว่ามันทำร้ายตัวหนังมากๆเลย
หนังนี้เบาโหวงเหวง เล่าเรื่องก็ยืดยาด  แต่แปลกตอน Harry นี้ Deathly Hallow Part 1 ผมชอบมากกว่า Part 2 อีกฮ่าๆๆๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | ผงพิเศษ | 20 พ.ย. 57 21:22 น.

จขกท.ดูซาวด์แทร็กหรือพากย์ไทยคะ

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | ทารกแกะ | 20 พ.ย. 57 21:52 น.

เราว่ามันก็โอเคนะ แต่ก็แอบอืดไปนิดนึง
หนังสือก้แบบนี้แหล่ะ
อืดยืด ไม่หนุกเหมือนกัน
แต่หนังทำได้ดีกว่าหนังสือนิดนึงนะ เราว่า
ต้องชมคนทำฉากอ่ะ ครีเอทมากๆๆๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | jackie | 20 พ.ย. 57 22:43 น.

ที่ต้องหั่นเพราะเหตุผลทางด้านการการค้า ล้วนๆครับ

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | FallsDownz | 20 พ.ย. 57 23:00 น.

ตอบ คห.3 ผมดู Soundtrack ครับผม ปกติเป็นคนดู Soundtrack อยู่แล้ว ยกเว้นไร้ทางเลือกจริงๆ

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | michaelangarano | 21 พ.ย. 57 12:13 น.

โดยรวมผมว่าการแบ่งภาคนี่แหละที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดร็อปลงอย่างเห็นได้ชัด�ผมแค่รู้สึกว่า หนังมันเดินเรื่องอืดอาดยืดยาดเกินไป พยายามจะเก็บรายละเอียดยิบย่อยเยอะแยะมากมายในภาคนี้ให้มากที่สุด หนึ่งชั่วโมงแรกผ่านไปหนังยังไม่ได้เล่าอะไรถึงไหนเลย ซึ่งหนังมันประมาณสองชั่วโมง ซึ่งเป็นสองชั่วโมงที่ไม่อิ่มกับความเข้มข้นของหนัง จุดพีคน้อยมากไม่ค่อยมีฉากที่เข้าถึงอารมณ์สักเท่าไหร่ หนังยังส่งให้คนดูอินกับสิ่งที่จะสื่อไม่ได้

ข้อเสียของการแบ่งพาร์ทตอนจบเป็น 2 ตอนนั่นถือว่าเป็นข้อเสียใหญ่ของหนังภาคนี้เลยเพราะภาคนี้จะเน้นการปูเรื่องซะมากกว่า แต่เข้าใจได้อยู่ ความสนุกจึงน้อยกว่า2สองภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด เลยรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย

ไอพี: ไม่แสดง

#8 | This_kiss_(Blow_me) | 21 พ.ย. 57 18:44 น.

อ่าาา ต่องรีบไปดูซะเเล้ว

ไอพี: ไม่แสดง

#9 | `alienxoxo. | 21 พ.ย. 57 19:49 น.

ยังไม่ได้ดูเลย คือตอนนี้กลัวโดนเอาออกจากโรงมากๆ
เห็นประเทศจีนก็ย้ายวันฉายไป ฉายปีหน้าเลย กลัว 

ไอพี: ไม่แสดง

#10 | yukinbc | 22 พ.ย. 57 07:19 น.

หนังเรื่องนี้น่าจะทำเป็นserie มากกว่านะ หนังพูดเยอะมาก แล้วแอ็คชั่นก็เป็นแอ็คชั่นสไตล์ serie ไม่ใช่ระเบิดภูเขาเผากระต๊อบ คนที่ชอบแนวแอ็คชั่นจ๋าผิดหวังแน่ๆ แล้วแอ็คชั่นกว่าจะเริ่มก็ท้ายๆเรื่องแล้ว นอกจากจะพูดเยอะแล้ว ความยาวหนังยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่า ฟังตัวละครสนทนากันเบื่อไปเลย ถ้าทำเป็น serie จะทำกี่ซีซั่นก็ได้ เก็บรายละเอียดได้มากกว่า จะคุยเยอะแค่ไหนก็ได้ ตามสไตล์หนัง serie

ไอพี: ไม่แสดง

#11 | what's.a.นามแฝง | 22 พ.ย. 57 23:29 น.

เราว่าหนังดีนะ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นที่แอคชั่นหรอก แต่เขาเน้นเรื่องการเมืองและนิสัยของคน
เราดูภาคนี้ไปใจเต้นไปด้วย (ดูแบบซับ) แบบมันกดดันไง เพราะสงครามมันจะมีก็ไม่ใช่มีง่ายๆ เพราะชีวิตคนจะต้องมาเสียไปเยอะ หนังเลยแสดงให้ดูลายละเอียดว่าเป็นไงมาไง จะให้มาแบบ โกรธกันแล้วตีกันเลยอันนี้มันก็เอาชีวิตคนมาขว้างทิ้งง่ายไป

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google