Blackhat ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
20 ม.ค. 58 12:39 น. /
ดู 657 ครั้ง /
0 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
Blackhat ( 2015 ) บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย FallsDownz
"ไม่น่าเชื่อว่าผลงานอันสับสน น่าเบื่อและยังไม่เสร็จดีนี้จะอยู่ในการควบคุมของผู้กำกับมากฝีมืออย่าง ไมเคิล มานน์"
ดูเหมือนว่าคำสาปแห่งเดือนมกราคมฮอลลีวูด ก็ยังคงไม่ไปไหน และยังคงแผ่มาถึงภาพยนตร์แอ็คชั่นเช่นเคย แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ การที่ตัวภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในการควบคุมและกำกับโดยผู้กำกับมากฝีมือคนหนึ่งของฮอลลีวูดอย่าง ไมเคิล มานน์ ซึ่งอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แอ็คชั่นยอดเยี่ยมมากมายไม่ว่าจะเป็น Heat ปี 1995 , Ali ปี 2001 , Collateral ปี 2004 , Miami Vice ปี 2006 หรือ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดอย่าง Public Enemies ปี 2009
Blackhat ว่าด้วยเรื่องราวของ นิค กับเพื่อนๆของเขาที่จะต้องร่วมมือกับตำรวจในการตามล่าหาอาชญากรไซเบอร์ซึ่งสร้างความปั่นป่วนและหายนะไว้มากมายทั่วโลก
สิ่งแรกที่ผู้เขียนรู้สึกถึงหลังจากที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบเลย ก็คือความสงสัยที่ว่าผู้กำกับอย่าง ไมเคิล มานน์ ปล่อยภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาในสภาพที่เป็นอยู่ได้อย่างไรกัน เพราะสภาพของ Blackhat ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือผลงานอันสับสน น่าเบื่อและเหมือนยังสร้างไม่เสร็จดี
โดยเฉพาะทางด้านของ Post-Production ตั้งแต่การตัดต่อ การใส่เสียงประกอบ และการใส่เทคนิคอื่นๆซึ่งออกมาสุกเอาเผากินอย่างมาก ซึ่งทำให้ฉากต่างๆในภาพยนตร์ที่เกือบจะตลอดเวลาไม่มีการใส่เสียงหรือเพลงประกอบเข้ามาเลย ให้ความรู้สึกแห้งแล้งและน่าเบื่อ ซึ่งเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดสำหรับภาพยนตร์ประเภทนี้
อีกอย่างหนึ่งที่น่ารำคาญไม่ใช่น้อย ก็คือเวลาที่ตัวภาพยนตร์มีการเข้าฉากแฮคต่างๆนาๆทีไร ก็มักจะมีการใส่ฉากที่พาเราเข้าไปในคอมพิวเตอร์และก็มีแสงวิ่งไปวิ่งมา เสมือนเป็นตัวแทนคำพูดที่ว่า "เนี้ยกำลังแฮคอยู่นะ"ทุกที ซึ่งฉากๆนี้พาเอารู้สึกว่าตัวผู้กำกับ ไมเคิล มานน์ ไม่มีความสามารถในการที่จะทำให้ผู้ชมตื่นเต้นไปกับฉากการแฮคต่างๆในภาพยนตร์ได้ จึงต้องหันมาพึ่งฉากแสงวูบวาบอันน่ารำคาญนี้แทน
ในด้านของบทภาพยนตร์ก็ถือได้ว่าค่อนข้างจะกึ่งดีกึ่งร้าย ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่บทค่อนข้างจะซ้ำซากอยู่พอสมควร แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับเลวร้ายจนทนดูไม่ได้
เพียงแต่ว่าวิธีการเล่าเรื่องและวิธีที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นและสนใจไปกับบทชิ้นนี้ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อ การใส่เสียงประกอบ การกำกับ หรืออื่นๆ ค่อนข้างจะทำออกมาได้เลวร้ายจนทำให้เราไม่รู้สึกอยากที่จะติดตามซักเท่าไรนัก
สิ่งที่เป็นตัวคอยฉุดตัวภาพยนตร์ลงมาเรื่อยๆอีกสิ่งก็คือตัวละครอันสุดแสนจะซ้ำซากของภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวร้าย เพื่อนพระเอก หรือแม้กระทั่งนางเอกที่ไม่ได้น่าสนใจและน่าเอาใจช่วยซักเท่าไรนัก ที่สำคัญก็คือความสัมพันธ์ของพระเอกและนางเอกซึ่งล้มเหลวสุดๆ ตั้งแต่นักแสดงซึ่งเคมีไม่ค่อยจะเข้ากันซักเท่าไร และยังตัวบทที่พยายามยัดเยียดความรักของพวกเขาทั้งสองคนเข้ามาให้ผู้ชมจนทำให้เราไม่มีทางเลือกนอกจากที่จะเมินหน้าหนี
คงจะมีเพียงสองสิ่งเท่านั้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ไม่ได้อยู่ในระดับหายนะไปซะทีเดียว อย่างแรกก็คือการแสดงของ คริส เฮมส์เวิร์ธ และ วิโอลา เดวิส ซึ่งค่อนข้างจะดีทีเดียว และเราก็น่าจะเห็นถึงความพยายามของพวกเขาได้อยู่บ้าง
อีกสิ่งก็คือการกำกับฉากแอ็คชั่นและต่อสู้ต่างๆในภาพยนตร์ ซึ่งพอที่จะให้ความสนุกและพอที่จะทำให้ผู้เขียนมองเห็นถึงเศษเสี้ยวฝีมือที่แท้จริงของ ไมเคิล มานน์ ได้บ้าง
แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยฉุด Blackhat ขึ้นมาจากความหายนะและความน่าเบื่อที่ยาวนานถึง 133 นาทีได้ซักเท่าไรนัก
ทำให้ในท้ายที่สุดแล้ว Blackhat กลายเป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกสับสน น่าเบื่อและยังไม่เสร็จดี ตั้งแต่การตัดต่อหรือการใส่เสียงประกอบที่สุกเอาเผากิน ฉากแฮคข้อมูลที่มีแสงวิ่งไปมาอันน่ารำคาญ ตัวละครที่ซ้ำซาก ความรักของสองพระนางที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างน้อยภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สอนให้ผู้เขียนได้รู้ว่า แม้ผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าได้ในเดือนมกราคมสุดอาถรรพ์ และเพศหญิงซึ่งยอมสยบให้แก่เพศชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
Final Score : [ D ]
ถ้าหากท่านชอบบทวิจารณ์ก็อย่าลืมเข้าไปกดไลค์แฟนเพจและอย่าลืมบอกเพื่อนๆพี่ๆต่อไปด้วยนะคร้าบ
https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/
http://fallsdownz.blogspot.com/
ดูเหมือนว่าคำสาปแห่งเดือนมกราคมฮอลลีวูด ก็ยังคงไม่ไปไหน และยังคงแผ่มาถึงภาพยนตร์แอ็คชั่นเช่นเคย แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ การที่ตัวภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในการควบคุมและกำกับโดยผู้กำกับมากฝีมือคนหนึ่งของฮอลลีวูดอย่าง ไมเคิล มานน์ ซึ่งอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แอ็คชั่นยอดเยี่ยมมากมายไม่ว่าจะเป็น Heat ปี 1995 , Ali ปี 2001 , Collateral ปี 2004 , Miami Vice ปี 2006 หรือ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดอย่าง Public Enemies ปี 2009
Blackhat ว่าด้วยเรื่องราวของ นิค กับเพื่อนๆของเขาที่จะต้องร่วมมือกับตำรวจในการตามล่าหาอาชญากรไซเบอร์ซึ่งสร้างความปั่นป่วนและหายนะไว้มากมายทั่วโลก
สิ่งแรกที่ผู้เขียนรู้สึกถึงหลังจากที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบเลย ก็คือความสงสัยที่ว่าผู้กำกับอย่าง ไมเคิล มานน์ ปล่อยภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาในสภาพที่เป็นอยู่ได้อย่างไรกัน เพราะสภาพของ Blackhat ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือผลงานอันสับสน น่าเบื่อและเหมือนยังสร้างไม่เสร็จดี
โดยเฉพาะทางด้านของ Post-Production ตั้งแต่การตัดต่อ การใส่เสียงประกอบ และการใส่เทคนิคอื่นๆซึ่งออกมาสุกเอาเผากินอย่างมาก ซึ่งทำให้ฉากต่างๆในภาพยนตร์ที่เกือบจะตลอดเวลาไม่มีการใส่เสียงหรือเพลงประกอบเข้ามาเลย ให้ความรู้สึกแห้งแล้งและน่าเบื่อ ซึ่งเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดสำหรับภาพยนตร์ประเภทนี้
อีกอย่างหนึ่งที่น่ารำคาญไม่ใช่น้อย ก็คือเวลาที่ตัวภาพยนตร์มีการเข้าฉากแฮคต่างๆนาๆทีไร ก็มักจะมีการใส่ฉากที่พาเราเข้าไปในคอมพิวเตอร์และก็มีแสงวิ่งไปวิ่งมา เสมือนเป็นตัวแทนคำพูดที่ว่า "เนี้ยกำลังแฮคอยู่นะ"ทุกที ซึ่งฉากๆนี้พาเอารู้สึกว่าตัวผู้กำกับ ไมเคิล มานน์ ไม่มีความสามารถในการที่จะทำให้ผู้ชมตื่นเต้นไปกับฉากการแฮคต่างๆในภาพยนตร์ได้ จึงต้องหันมาพึ่งฉากแสงวูบวาบอันน่ารำคาญนี้แทน
ในด้านของบทภาพยนตร์ก็ถือได้ว่าค่อนข้างจะกึ่งดีกึ่งร้าย ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่บทค่อนข้างจะซ้ำซากอยู่พอสมควร แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับเลวร้ายจนทนดูไม่ได้
เพียงแต่ว่าวิธีการเล่าเรื่องและวิธีที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นและสนใจไปกับบทชิ้นนี้ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อ การใส่เสียงประกอบ การกำกับ หรืออื่นๆ ค่อนข้างจะทำออกมาได้เลวร้ายจนทำให้เราไม่รู้สึกอยากที่จะติดตามซักเท่าไรนัก
สิ่งที่เป็นตัวคอยฉุดตัวภาพยนตร์ลงมาเรื่อยๆอีกสิ่งก็คือตัวละครอันสุดแสนจะซ้ำซากของภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวร้าย เพื่อนพระเอก หรือแม้กระทั่งนางเอกที่ไม่ได้น่าสนใจและน่าเอาใจช่วยซักเท่าไรนัก ที่สำคัญก็คือความสัมพันธ์ของพระเอกและนางเอกซึ่งล้มเหลวสุดๆ ตั้งแต่นักแสดงซึ่งเคมีไม่ค่อยจะเข้ากันซักเท่าไร และยังตัวบทที่พยายามยัดเยียดความรักของพวกเขาทั้งสองคนเข้ามาให้ผู้ชมจนทำให้เราไม่มีทางเลือกนอกจากที่จะเมินหน้าหนี
คงจะมีเพียงสองสิ่งเท่านั้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ไม่ได้อยู่ในระดับหายนะไปซะทีเดียว อย่างแรกก็คือการแสดงของ คริส เฮมส์เวิร์ธ และ วิโอลา เดวิส ซึ่งค่อนข้างจะดีทีเดียว และเราก็น่าจะเห็นถึงความพยายามของพวกเขาได้อยู่บ้าง
อีกสิ่งก็คือการกำกับฉากแอ็คชั่นและต่อสู้ต่างๆในภาพยนตร์ ซึ่งพอที่จะให้ความสนุกและพอที่จะทำให้ผู้เขียนมองเห็นถึงเศษเสี้ยวฝีมือที่แท้จริงของ ไมเคิล มานน์ ได้บ้าง
แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยฉุด Blackhat ขึ้นมาจากความหายนะและความน่าเบื่อที่ยาวนานถึง 133 นาทีได้ซักเท่าไรนัก
ทำให้ในท้ายที่สุดแล้ว Blackhat กลายเป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกสับสน น่าเบื่อและยังไม่เสร็จดี ตั้งแต่การตัดต่อหรือการใส่เสียงประกอบที่สุกเอาเผากิน ฉากแฮคข้อมูลที่มีแสงวิ่งไปมาอันน่ารำคาญ ตัวละครที่ซ้ำซาก ความรักของสองพระนางที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างน้อยภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สอนให้ผู้เขียนได้รู้ว่า แม้ผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าได้ในเดือนมกราคมสุดอาถรรพ์ และเพศหญิงซึ่งยอมสยบให้แก่เพศชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
Final Score : [ D ]
ถ้าหากท่านชอบบทวิจารณ์ก็อย่าลืมเข้าไปกดไลค์แฟนเพจและอย่าลืมบอกเพื่อนๆพี่ๆต่อไปด้วยนะคร้าบ
https://www.facebook.com/fallsdownzcritic/
http://fallsdownz.blogspot.com/
แก้ไขล่าสุด 20 ม.ค. 58 12:41 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google