-The Imitation Game- (2014) A+ "อัจฉริยะผู้เงียบเหงา"
1 ก.พ. 58 01:59 น. /
ดู 861 ครั้ง /
0 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
"Sometimes, it is the people who no one imagines anything of, who do the things that no one can imagine."
-The Imitation Game- (2014) A+
หนังชีวประวัติว่าด้วยเรื่องราวของ Alan Turing นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะที่ได้รับมอบหมายให้แก้รหัสลับในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หนังนำแสดงโดย Benedict Cumberbatch นักแสดงชายมากบทบาทที่สุดคนหนึ่ง และเพิ่งได้เข้าฉายในไทยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
เมื่อกล่าวถึงคณิตศาสตร์ หลายคนอาจนึกถึงหนังที่ "ดูเข้าใจยาก" แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ หากจะให้เปรียบเทียบกับหนังเรื่องอื่นคงต้องยก A Beautiful Mind (2001) ที่กล่าวถึงอัจฉริยะด้านตัวเลขและความแปลกแยกคล้ายกับเรื่องนี้ แม้เหตุการณ์ชีวิตที่ทั้งสองต้องพบเจออาจจมีความแตกต่างกันไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์สูงสุดในเรื่องคือ "ความอบอุ่น" และ "เศร้าสร้อย" ที่ติดอยู่ในใจหลังจากหนังจบลง ตัวหนังเดินเรื่องและถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างราบรื่น โดยมีภาวะสงครามและความเป็นไปของชาติอยู่หลังฉาก หนังไม่ได้มุ่งนำเสนอภาพความแร้นแค้นและพินาศจากสงคราม (ซึ่งผู้ชมเห็นในหนังสงครามมาแล้วนับไม่ถ้วน) เกินไปจนดึงความสนใจผู้ชม แต่คงเสน่ห์ของหนังชีวประวัติเอาไว้นั่นคือบอกเล่าสถานการณ์ต่าง ๆ ผ่านตัวละครหลัก
องค์ประกอบในภาพยนตร์อย่างดนตรีประกอบได้ Alexandre Desplat ผู้เคยฝากผลงานดนตรีลึกลับและล่องลอยไว้ในเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button (2008) และ Harry Potter and the Deathly Hallows (2010-2011) การจัดแสงที่นุ่มนวลแต่ชวนมืดหม่น และฝีมือการแสดงจาก Benedict Cumberbatch ที่ได้รับโหวตเป็นอันดับหนึ่งจากนิตยสารไทม์จากเรื่องนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เสริมให้ตัวหนังเข้มข้นไปด้วยอารมณ์ จนรู้สึกว่าไม่อยากให้เรื่องราวของเขาจบลงเพียงแค่เวลา 2 ชั่วโมง
สิ่งที่น่าประทับใจสูงสุด และเป็นส่วนที่ตัวหนังทำออกมาได้ยอดเยี่ยมที่สุดจนต้องให้คะแนน A+ หรือ "ต้องสัมผัสก่อนตาย" นั่นคือความผูกพันและมิติตัวละคร ชีวิตของ Alan Turing ถูกบอกเล่าผ่านอุปนิสัยของเขาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นอดีตปวดร้าวที่ฝังใจ บุคลิกอันขัดแย้งที่ผสมความอัจฉริยะแต่กลับไม่เข้าใจสิ่งเรียบง่ายอย่าง "มนุษยสัมพันธ์" เงียบเหงาแต่กลับวางท่าหยิ่งยโสและรังเกียจสังคม และแง่มุมใหม่ ๆ ที่ตัวเขาต้องเรียนรู้ ก่อให้เกิดการพัฒนาของตัวละครและชวนให้คนดูรู้สึกได้ว่าเขาเป็นบุคคลที่เคยมีชีวิตอยู่จริง ไม่ได้มีแค่ส่วนร้ายหรือดีเพียงส่วนเดียว
ฉากที่จะขอยกมากล่าวถึงในรีวิวนี้คือฉากที่ตัวละครของ Alan Turing เดินเข้าไปหาเพื่อนร่วมงานที่หมั่นไส้เขาพร้อมกับถุงกระดาษ จากนั้นเขาหยิบแอปเปิ้ลส่งให้เพื่อนทีละลูกอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ และเปิดฉากเล่าเรื่องตลกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉากนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้อย่างมาก แต่ส่วนตัวแล้วมันกลับเป็นฉากสั้น ๆ ที่สื่อให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่เลือกจะแปลกแยก และภายใต้ความหยิ่งยโสเหล่านั้นอาจซ่อนความโหยหาการยอมรับไว้สักมุมหนึ่ง
โดยรวมแล้ว หากใครเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกคอก เข้ากับใครไม่ค่อยได้ หนังเรื่องนี้อาจ "โดน" เข้าอย่างจังจนตกใจ ถือเป็นหนังชีวประวัติที่ประทับใจมากอีกเรื่องหนึ่ง และคงติดในลิสต์หนังน่าประทับใจของปีนี้แน่นอน #isaracinema
หนังชีวประวัติว่าด้วยเรื่องราวของ Alan Turing นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะที่ได้รับมอบหมายให้แก้รหัสลับในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หนังนำแสดงโดย Benedict Cumberbatch นักแสดงชายมากบทบาทที่สุดคนหนึ่ง และเพิ่งได้เข้าฉายในไทยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
เมื่อกล่าวถึงคณิตศาสตร์ หลายคนอาจนึกถึงหนังที่ "ดูเข้าใจยาก" แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ หากจะให้เปรียบเทียบกับหนังเรื่องอื่นคงต้องยก A Beautiful Mind (2001) ที่กล่าวถึงอัจฉริยะด้านตัวเลขและความแปลกแยกคล้ายกับเรื่องนี้ แม้เหตุการณ์ชีวิตที่ทั้งสองต้องพบเจออาจจมีความแตกต่างกันไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์สูงสุดในเรื่องคือ "ความอบอุ่น" และ "เศร้าสร้อย" ที่ติดอยู่ในใจหลังจากหนังจบลง ตัวหนังเดินเรื่องและถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างราบรื่น โดยมีภาวะสงครามและความเป็นไปของชาติอยู่หลังฉาก หนังไม่ได้มุ่งนำเสนอภาพความแร้นแค้นและพินาศจากสงคราม (ซึ่งผู้ชมเห็นในหนังสงครามมาแล้วนับไม่ถ้วน) เกินไปจนดึงความสนใจผู้ชม แต่คงเสน่ห์ของหนังชีวประวัติเอาไว้นั่นคือบอกเล่าสถานการณ์ต่าง ๆ ผ่านตัวละครหลัก
องค์ประกอบในภาพยนตร์อย่างดนตรีประกอบได้ Alexandre Desplat ผู้เคยฝากผลงานดนตรีลึกลับและล่องลอยไว้ในเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button (2008) และ Harry Potter and the Deathly Hallows (2010-2011) การจัดแสงที่นุ่มนวลแต่ชวนมืดหม่น และฝีมือการแสดงจาก Benedict Cumberbatch ที่ได้รับโหวตเป็นอันดับหนึ่งจากนิตยสารไทม์จากเรื่องนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เสริมให้ตัวหนังเข้มข้นไปด้วยอารมณ์ จนรู้สึกว่าไม่อยากให้เรื่องราวของเขาจบลงเพียงแค่เวลา 2 ชั่วโมง
สิ่งที่น่าประทับใจสูงสุด และเป็นส่วนที่ตัวหนังทำออกมาได้ยอดเยี่ยมที่สุดจนต้องให้คะแนน A+ หรือ "ต้องสัมผัสก่อนตาย" นั่นคือความผูกพันและมิติตัวละคร ชีวิตของ Alan Turing ถูกบอกเล่าผ่านอุปนิสัยของเขาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นอดีตปวดร้าวที่ฝังใจ บุคลิกอันขัดแย้งที่ผสมความอัจฉริยะแต่กลับไม่เข้าใจสิ่งเรียบง่ายอย่าง "มนุษยสัมพันธ์" เงียบเหงาแต่กลับวางท่าหยิ่งยโสและรังเกียจสังคม และแง่มุมใหม่ ๆ ที่ตัวเขาต้องเรียนรู้ ก่อให้เกิดการพัฒนาของตัวละครและชวนให้คนดูรู้สึกได้ว่าเขาเป็นบุคคลที่เคยมีชีวิตอยู่จริง ไม่ได้มีแค่ส่วนร้ายหรือดีเพียงส่วนเดียว
ฉากที่จะขอยกมากล่าวถึงในรีวิวนี้คือฉากที่ตัวละครของ Alan Turing เดินเข้าไปหาเพื่อนร่วมงานที่หมั่นไส้เขาพร้อมกับถุงกระดาษ จากนั้นเขาหยิบแอปเปิ้ลส่งให้เพื่อนทีละลูกอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ และเปิดฉากเล่าเรื่องตลกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉากนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้อย่างมาก แต่ส่วนตัวแล้วมันกลับเป็นฉากสั้น ๆ ที่สื่อให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่เลือกจะแปลกแยก และภายใต้ความหยิ่งยโสเหล่านั้นอาจซ่อนความโหยหาการยอมรับไว้สักมุมหนึ่ง
โดยรวมแล้ว หากใครเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกคอก เข้ากับใครไม่ค่อยได้ หนังเรื่องนี้อาจ "โดน" เข้าอย่างจังจนตกใจ ถือเป็นหนังชีวประวัติที่ประทับใจมากอีกเรื่องหนึ่ง และคงติดในลิสต์หนังน่าประทับใจของปีนี้แน่นอน #isaracinema
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google