[เที่ยวเกาหลี] เล่าประสบการณ์เที่ยวเกาหลีครั้งแรกแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ,อาหาร ,วัฒนธรรมต่างๆ, การผ่านตม.เกาหลี
การไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 5 วันค่ะ เราไปกับพี่สาวซึ่งพี่สาวได้หาโปรแกรมทัวร์จากอินเตอร์เน็ตและโทรจองก่อนวันไปประมาณ 1 อาทิตย์ราคา 24,900 บาท/คน เมื่อจองได้แล้วก็ทำการโอนเงินหลังจากนั้นเค้าก็จะส่งรายละเอียดในการเตรียมของเตรียมตัว และโปรแกรมทัวร์อย่างละเอียดมาให้ทางอีเมลค่ะ
วันที่ 1
- หัวหน้าทัวร์นัดรวมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 21.00 น.ค่ะ โดยตำแหน่งในการรวมกันเค้ากำหนดไว้ในรายละเอียดที่ส่งให้ทางอีเมล เมื่อไปรวมกันเค้าจะขอพาสปอร์ตและเค้าจะมีเอกสารแผ่นสีขาวให้เซ็น มันเป็นเอกสารที่ให้เรายืนยันประมาณว่าเงิน 24,900 บาทจะไม่คืนให้เราถ้าหากว่าเราไม่ผ่านการตรวจจากตม.เกาหลี และเค้าก็ให้เราจ่ายเงินค่าล่ามคนละประมาณ 800 บาท โดยจ่ายเป็นเงินวอน(เงินเกาหลี) 25,000 วอน
- หลังจากนั้นเค้าก็เอากระเป๋าเดินทางของเราไปต่อแถวเพื่อที่จะโหลดกระเป๋าเข้าไปในเครื่องบินค่ะ ซึ่งเค้ากำหนดไว้แล้วว่ากระเป๋าที่โหลดน้ำหนักห้ามเกิน 15 กิโลกรัม ส่วนกระเป๋าที่เราแบกขึ้นเครื่องไม่ให้เกิน 10 กิโลกกรัมค่ะกระเป๋าที่เราแบกหรือถือขึ้นเครื่องไ่ม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่นะอาจจะน้ำหนักเกินก็ได้ค่ะ แต่กระเป๋าที่เราเอาขึ้นเครื่องไปกับเราไม่ควรมีของเหลวนะคะพวกน้ำหอม ยาสีฟัน ถ้าจะเอาไปก็มีกฎเยอะมากวุ่นวายทางที่ดีคือพวกของเหลวให้ใส่ไปในกระเป๋าใหญ่ที่โหลดลงเครื่องไปเลยค่ะ
ในรูปเป็นกระเป๋าของคณะทัวร์ที่ไปกับเราค่ะ กระเป๋าเรากับพี่สาวคือกระเป๋าเล็กๆ 2 ใบนั้น
- หลังจากที่ฝากกระเป๋าไว้กับทัวร์แล้วเค้าก็ให้เราไปทานข้าวได้ เพราะจะขึ้นเครื่องประมาณ 00.45 น. ค่ะ เรากับพี่เลยไปกินข้าวในร้านที่คนไม่มากนักเป็นข้าวกล่อง กล่องละ 100 บาทค่ะ
- พอกินข้าวเสร็จก็กลับไปที่ๆรอโหลดกระเป๋า พอไปถึงหัวหน้าทัวร์ก็แจกพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินให้ค่ะ สายการบินที่เราไปคือสายการบินเจจูแอร์ เป็นสายการบินของเกาหลีค่ะ
- นอกจากนั้นทางทัวร์ก็ยังแจกเอกสารจำเป็นอื่นๆให้กับเราไว้ให้เราทั้งของเกาหลีและของไทยค่ะ เล่มสีฟ้านั่นเป็นโปรมแกรมทัวร์พร้อมรูปภาพ
- หลังจากนั้นก็รอขึ้นเครื่องค่ะเวลาอาจจะเลื่อนออกไปเล็กน้อยขึ้นเครื่องเกือบตี 1 ทัวร์ของเราคนเยอะมากค่ะเค้าแยกเป็น 2 กลุ่มย่อยๆ กลุ่มของเราเหลือแค่ 18 คน ส่วนกลุ่มแรกเยอะพอสมควรแต่ทั้งหมดก็ขึ้นเครื่องรอบเดียวกันค่ะ ในเครื่องมีคนเกาหลีเกือบครึ่งนอกนั้นก็เป็นคณะทัวร์ของพวกเรา
- เราไม่ได้นั่งติดหน้าต่างแต่ก็แอบถ่ายรูปมาเพราะมองไปจะเห็นวิวในเมืองสวยมากค่ะ ตอนที่เครื่องบินขึ้นทั้งเสียงดังและแอบเวียนหัวเล็กน้อยแต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรค่ะแค่หูอื้อบ้างเป็นครั้งคราว
- และแล้วก็มาถึงเกาหลี ณ สนามบินอินชอน ถึงประมาณ 08.00น. เวลาเกาหลี ถ้าเป็นเวลาไทยก็ 06.00 น.ค่ะ เพราะเวลาเกาหลีเร็วกว่าเรา 2 ชม. เมื่อถึงเกาหลีทางทัวร์ก็บอกให้เราปรับนาฬิกาให้เป็นเวลาเกาหลีเวลานัดจะได้เวลาตรงกันค่ะ
- หลังจากนั้นเราต้องขึ้นรถไฟฟ้าของสนามบินมีแค่ขบวนเดียวไป-มารอแค่ 5 นาทีก็มาแล้วค่ะ เราต้องขึ้นรถไฟฟ้านี้ไปเพื่อไปยังสนามบินหลักที่มีตม.(ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง) ซึ่งตม.เกาหลีนั้นได้ขึ้นชื่อว่าโหด! มาก! เพราะงั้นทางทัวร์จะเน้นมากว่าให้เราเตรียมเอกสารสำคัญในการทำงานให้ดีเพราะเราต้องทำให้ตม.เชื่อว่าเราไม่ได้จะเข้ามาทำงานที่เกาหลีค่ะ
- คนที่จะผ่านตม.เกาหลีได้ง่ายคือนักเรียน , นศ. , นักท่องเที่ยวที่แบกกล้อง , คนที่มาแบบครอบครัว ทางทัวร์บอกว่าถ้าตม.ยิ้มให้ใครให้ไปซื้อหวยได้เลยเพราะมันเกิดขึ้นยากมาก! ทางทัวร์ได้แจ้งด้วยว่าถ้าใครมีปัญหาไม่ผ่านตม.จะเข้ามาช่วยเราเบื้องต้นแต่ถ้าหลักฐานเราไม่ทำให้ตม.เชื่อว่ามาเที่ยวเราก็จะถูกส่งตัวกลับทันทีซึ่งทางทัวร์จะไม่คืนเงินให้นะคะ เพราะทุกคนต้องเซ็นสัญญาก่อนเดินทางในใบสีขาวแล้วว่าเราจะไม่คืนเงินถ้ามีปัญหาในเรื่องนี้
ภาพจาก http://amazingthaisea.com/
- ภาพข้างบนเป็นภาพตัวอย่างตม.ค่ะ เค้าจะให้เข้าแถวเข้าไปทีละคน แต่เราไม่ทันได้ถ่ายไว้เพราะมัวสั่นอยู่เพราะตัวเราเองเข้าข่ายคนที่ตม.จะไม่ให้ผ่านเรื่องจากเราเป็นวัยทำงาน เป็นหญิงสาว ส่วนใหญ่คนที่แอบไปทำงานก็จะประมาณนี้ค่ะ
- เรากับพี่สาวได้เข้าไปพร้อมๆกันแต่คนละช่องนะคะ คนที่ไปก่อนหน้าพี่เราไม่ผ่านตม.ค่ะ พี่เราเริ่มสั่นๆแต่มันพีคตรงที่ว่าตม.ยิ้มให้พี่เราค่ะ! แถมไม่ดูพาสปอร์ตเลยปั้มให้แล้วก็ให้ผ่านเลยเพราะพี่เราหน้าเด็กและตัวเล็กเหมือนเด็กมัธยมเลยค่ะ แต่พอมาถึงเราตม.ที่เราไปตรวจเป็นผู้ชายหน้าหวานๆแต่ไม่ยิ้มเลยหน้าบึ้งมาก แกเปิดพาสปอร์ตเราไปมาต้องบอกก่อนว่าเราไม่เคยเดินทางไปเมืองนอกเลยทำให้ไม่มีประวัติการเดินทางและนั่นก็เสี่ยงที่ตม.จะให้ให้ผ่านค่ะ แต่เราต้องทำท่าทางมั่นใจไว้ต่อมาตม.ก็เริ่มสนทนากับเราเป็นภาษาอังกฤษค่ะ
ตม. : คุณมากับใคร
เรา : มากับพี่สาวค่ะ
ตม. : ไหน (มองหา)
เรา : (ชี้ไปทางด้านที่พี่สาวอยู่)
ตม. : ไหน (มองหา)
เรา : (เดินไปลากพี่สาวมาเลยค่ะ)
เรา : นี่พี่สาวของฉันค่ะ
ตม. : พี่สาวเหรอ งั้นขอดูพาสปอร์ตหน่อย
เรา : เราหยิบให้ พร้อมบอกนามสกุลค่ะ
ตม. : พวกคุณมาทำไม
เรา : มาเที่ยวค่ะ มากับทัวร์
ตม. : โอเค!
แล้วเราก็ผ่านค่ะ ผ่านเพราะมากับพี่สาว คนที่มากับครอบครัวจะดีหน่อยเพราะเค้าจะเชื่อว่าไม่ได้มาทำงาน แต่คณะทัวร์เราไม่ผ่านอยู่ 4 คนค่ะ ตอนแรกเค้าจะให้เข้าห้องเย็นก่อน ในห้องเย็นเค้าจะสัมภาษณ์ลึกมากถ้าผ่านห้องเย็นก็โชคดีไปแต่ถ้าไม่ผ่านต้องถูกส่งกลับทันทีค่ะ! สรุปคือทัวร์เราผ่านห้องเย็นได้ 2 คน ส่วนอีก 2 คนถูกส่งกลับเพราะพวกเค้าเป็นหญิงสาวเท่าๆเราแต่ยังไม่ทำงานและไม่มีเอกสารรับรองอะไรเลยแถมไม่ได้เป็นคนในครอบครัวเดียวกันด้วย
- สำหรับคนที่ผ่านได้ก็ไปรอเอากระเป๋าที่โหลด ล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หนาๆเตรียมเที่ยวค่ะ
- การเที่ยวครั้งนี้เรากับพี่สาวเตรียมเงินมาคนละ 10,000 บาท แลกเป็นเงินเกาหลีก็จะได้ประมาณนี้ค่ะแต่ก็แอบกดเงินไทยมาด้วยเพราะถ้าใช้เงินวอนหมดเราสามารถนำเงินไทยมาแลกกับทางทัวร์ได้ค่ะ
- และแล้วก็ได้ออกมาสัมผัสบรรยากาศข้างนอกซะที อุณหภูมิติดลบค่ะเวลาพูดก็จะเป็นไอน้ำออกจากปากตลอดเลยค่ะ
- คณะทัวเรา 18 คนได้ขึ้นรถคันที่ 2 ค่ะแอบเสียดายที่ไม่ได้ไปคันแรกเพราะแอบปลื้มหนุ่มคนนึง ฮ่าๆๆ พอขึ้นรถไปเค้าก็แจกน้ำให้คนละขวดค่ะ
- นี่ก็เป็นภายในรถทัวร์ซึ่งรถคันนี้จะบริการเราทุกวันในการทัวร์เลยค่ะ
- ตอนนี้รถกำลังพาพวกเราไปเกาะนามิค่ะ เดินทางประมาณ 2 ชม.ครึ่ง ระหว่างทางก็ดูวิวไปด้วยนี่เป็นที่นาของเกาหลีมีหิมะคลุมเต็มไปหมด
- แต่ก่อนไป เค้าพาไปกินข้าวก่อนค่ะ เป็นข้าวผัดกับไก่และกะหล่ำปลีแล้วก็ผัดกับน้ำซอสเผ็ดๆถ้าใครชอบเผ็ดๆก็ใส่เยอะๆได้ค่ะ ทุกอย่างที่เรากินถ้าไม่อิ่มทางทัวร์จะมีคนมาเติมให้ตลอดรวมทั้งเครื่องเคียงต่างๆโดยเฉพาะกิมจิค่ะ
แต่ละชุดเค้าจะจัดให้นั่งโต๊ะละ 4 คนค่ะ แต่โต๊ะเราได้นั่ง 3 เรากับพี่สาวและพี่ผู้ชายอีกคนนึงค่ะกินกันไม่หมดซะทีเพราะเค้าเติมให้ตลอด
- นี่เป็นส้วมของที่ร้านเราเพิ่งเคยเห็นเลยถ่ายไว้ดู ใช้คล้ายๆชักโครกที่กดอยู่ตรงด้านล่างขวาค่ะ
และแล้วก็มาถึงเกาะนามิ ตอนแรกเราต้องซื้อตั๋วก่อนซึ่งทางทัวร์จะจัดการให้ค่ะ แล้วจะได้นั่งเรือไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงค่ะอากาศหนาวมากๆๆๆๆ
นี่เป็นเรือที่สวนทางกับเราคนในเรือลำนู้นโบกมือทักทายด้วยเราก็โบกกลับ ฮ่าๆ เราอยู่ด้านนอกของเรือเพราะมาท้าทายอากาศหนาวค่ะ ภายในเรือจะอุ่นมากเพราะมีฮิตเตอร์ที่ทำให้อุ่นค่ะ
ถึงฝั่งแล้ว
ในเกาะมีภาษาไทยอยู่หลายที่เลยค่ะ
- ในเกาะจะมีของกินขายอยู่ 5-6 ร้านค่ะ แต่ละร้านคนต่อคิวเยอะมาก มีซาลาเปา , บาร์บีคิว , ข้าวโพดย่าง , ไส้กรอก
- เราทนความน่าอร่อยของไส้กรอกไม่ไหวทั้งๆที่คิวยาวมาก เค้าขายอันละ 2,500 วอน ประมาณ 75 บาท มันอร่อยมากค่ะถ้าถามถึงเกาะนามิก็คงเป็นไส้กรอกที่เรานึกถึง
- ในเกาะจะมีการก่อไฟอยู่หลายๆที่ค่ะเพื่อให้คนมายืนเอาความอุ่นจากกองไฟเพราะมันหนาวมาก
- นักท่องเที่ยวที่มาจะหาฝรั่งยากมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยและคนเกาหลี คนเกาหลีมักจะมาแบบคู่รัก 80 % เลยทีเดียว คนเกาหลีเค้าค่อนข้างจะนิยมการมีคู่ค่ะเรื่องเดทเป็นเรื่องสำคัญ และการแสดงความรักค่อนข้างที่จะเปิดเผยมากกว่าคนไทย เช่น การจับมือ การกอด การจุ๊บ มาที่นี่เราเห็นบ่อยมาค่ะ แบบว่า ยืนรออาหารอยู่ดีๆมองหน้ากันก็จุ๊บกันต่อหน้าคนเยอะๆเลย เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วค่ะ
- ที่เที่ยวต่อไปเป็นลานสกีค่ะ เค้าจะพาเราไปเช่าชุดก่อนมีชุดให้เลือกเยอะมาก ถ้าใครอยากเล่นสกีก็ต้องเช่าอุปกรณ์ไปด้วย แต่เราเช่าแค่ชุดเพื่อไปดูบรรยากาศค่ะ
- ต่อมาก็มาทานข้าวอีกค่ะเป็นอาหารเย็นของวันนี้ หมูและปลาหมึกผัดน้ำคลุกคลิก
อันนี้น้ำจิ้มพันท้ายนรสิงห์ของไทยค่ะ ทางทัวร์เค้าเอามาเพื่อคนไทยอย่างเรา ฮ่าๆๆ
เครื่องเคียงวันนี้เราชอบสาหร่ายสดที่สุดค่ะอร่อยออกเค็มนิดๆกรอบๆพี่ๆเค้าก็เติมให้ตลอดกินได้เรื่อยๆเลย
หน้าร้านนี้เอาผลไม้มาขายด้วยค่ะ สตรอเบอรี่ลูกใหญ่มากราคา 10,000 วอนหรือประมาณ 300 บาทค่ะ
- หลังจากนั้นก็เดินทางไปที่พักค่ะเค้าพาเราไปพักที่กรุงโซล เค้าส่งเราเข้าโรงแรมตอนสองทุ่มหลังจากนั้นใครจะพักผ่อนหรือออกไปข้างนอกก็แล้วแต่เราค่ะ เรากับพี่เลยออกมาเดินเล่นและเข้าร้านสะดวกซื้อ
ชอบที่โรงแรมมีเครื่องสำอางให้เล็กน้อย ก็ใช้กันเต็มที่ค่ะโดยเฉพาะที่ฉีดผม
ได้ดู MV วงที่ชอบที่เกาหลีรู้สึกฟินได้อีก
บรรยากาศภายนอกถ่ายมาไม่ชัดเพราะหนาวจนมือสั่นไปหมดค่ะ
นี่เป็นของในร้านสะดวกซื้อน่ากินทั้งนั้น แต่เป้าหมายเราคือมาม่าที่ได้ดึงตะเกียบเหมือนในซี่รี่นั่นเอง อิอิ
วันที่ 2
- ทานอาหารเช้าที่โรงแรม และรวมตัวกันหน้าล็อบบี้เวลา 08.00 น.
- เดินทางไปวัดวาวูซองจา ความจริงแล้วคนเกาหลีไม่ค่อยนับถือศาสนากันเลยแต่ก็มีบ้างที่นับถือศาสนาพุทธ วัดนี้ดูเงียบมากๆค่ะมีแค่พวกเรา 18 คนนี่แหละที่เดินชมอยู่แถวนั้นอากาศหนาวมากค่ะ เรายกให้ที่นี่เป็นที่ๆหนาวอันดับ 2 จากการมาทัวร์ครั้งนี้
น้ำที่ขังอยู่ตามพื้นกลายเป็นน้ำแข็งหมดเลยค่ะ อุณหภูมิตินนี้ประมาณ -8 องศา หนาวมากน้ำมูกไหลก็ไม่รู้สึกเลยเพราะหน้าชาไปหมด
น้ำในบ่อก็เป็นน้ำแข็งค่ะ สังเกตตรงผิวน้ำนะคะจะเป็นเกล็ดน้ำแข็งคลุมไปหมด
ตรงนี้เค้าให้โยนเหรียญอธิษฐานแต่ตอนนี้คงทำไม่ได้เพราะน้ำแข็งคลุมไปหมด
ตามต้นไม้ก็เช่นกัน
อันนี้เป็นกระเบื้องที่เค้าให้เราบริจาคค่ะ เราสามารถเขียนชื่อและคำอธิษฐานลงไปได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นของคนไทย
หมาเกาหลี หายากมากนะคะนี่เห็นเพราะไม่ได้อยู่ในเมืองนะตั้งแต่ไปเที่ยวมา3-4วันนี่เห็นหมาอยู่แค่ 3 ตัวค่ะเค้าค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องหมามากค่ะ ตัวนี้ก็นอนนิ่งเชียวไม่รู้ว่าหนาวจนน้ำแข็งเกาะแล้วรึป่าว ฮ่าาาาาาาา
- หลังจากนั้นเค้าก็พาเราไปไร่สตรอเบอร์รี่ค่ะ หลังจากที่แอบซื้อกินไปเมื่อวานวันนี้ก็จะได้เห็นไร่มันแล้ว ความจริงแล้วเค้าจะให้แก้วเราคนละใบและเก็บสตรอเบอรี่จากต้นเองเลย แต่มันก็เกิดปัญหาตรงที่ว่าบางคนเก็บเต็มแก้วแล้วก็ยังไปเก็บกินต่ออยู่ดีทำให้ทางไร่ต้องเสียสตรอเบอรี่ให้กับคนโกงแบบนี้อยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้นเค้าจึงเปลี่ยนกฏให้เป็นแจกสตรอเบอร์รี่คนละแก้วนั่นเอง แต่ก็ให้เดินดูไร่ได้นะคะ
ในรูปจะสังเกตเหนแก้วที่มีสตรอเบอร์รี่อยู่ นั่นแหละค่ะเค้าจะแจกเราคนละแก้ว แก้วนึงได้ 5 ลูกโตๆเลย
รสชาติหวานมากๆค่ะ หอมมาก เนื้อของสตรอเบอร์รี่นิ่มและฉ่ำไปด้วยน้ำสตรอเบอรี่
ส่วนนี้จะเป็นส่วนของไร่ค่ะ จะไม่มีลูกสีแดงๆให้เห็นเลยมีแต่เขียวๆเพราะส่วนที่เค้าจะเก็บมาขายไม่ได้อยู่ตรงนี้ค่ะ นอกจากนี้ก็เห็นดอกมันด้วยเป็นดอกสีขาาวสวยดี
พอเที่ยวชมไร่เสร็จ เค้าก็ให้เรามานั่งชิมสาลี่และแอปเปิ้ลค่ะลูกใหญ่มาก หวานฉ่ำ
หลังจากที่เราได้เยี่ยมชมไร่แล้วเค้าจะให้เราสั่งผลไม้ที่เราต้องการค่ะพวกสาลี่กับแอ๊ปเปิ้ลเราสามารถขนขึ้นมาไว้บนรถทัวร์เราได้เลย แต่ถ้าใครจะสั่งสตรอเบอร์รี่ให้สั่งจองกับไกด์ทางไร่จะนำสตรอเบอรี่มาให้เราที่สบามบินในวันที่เราจะกลับเลยค่ะ สตรอเบอร์รี่จะเก็บไว้นานไม่ได้มันจะไม่สดและอาจจะเน่าได้เราสั่งไป 2 กล่องใหญ่ราคา 100,000 วอนหรือ 3,000 บาทนั่นเองค่ะ
ระหว่างที่ทุกคนกำลังสั่งผลไม้กันเรากับพี่สาวแอบออกมาเดินเล่นด้านนอกตรงนี้น่าจะเป็นนานะคะมีน้ำขังเลยลองเดินไปดู น้ำกลายเป็นน้ำแข็งอีกแล้วค่ะ
ด้วยความอยากรู้ว่ามันจะแข็งแค่ไหนเลยถีบน้ำแข็งเข้าให้ สรุปคือน้ำข้างล่างยังเป็นน้ำส่วนผิวน้ำเป็นน้ำแข็งนั่นเอง
- หลังจากนั้นเค้าก็พาเรามาทานข้าวค่ะ เมนูมื้อนี้เป็นเมนูที่เรากินได้เยอะที่สุดเลยทั้งๆที่ไม่ชอบกินหมูเท่าไหร่ เมนูที่ว่าก็คือ หมูย่างเกาหลีหรือคาลบี้ ส่วนประกอบในการกินก็มีหมูหมัก ผักสลัดสด กระเทียมสด ถั่วงอก สาหร่ายสด ผักดอง กิมจิ ซุปสาหร่าย ข้าวสวยร้อนๆ น้ำจิ้ม ทุกอย่างเติมได้ไม่อั้นค่ะ
วิธีการกินก็แล้วแต่เรานะคะ แต่โดยทั่วไปแล้วก็หั่นหมูเป็นชิ้นๆ วางบนผักสดและใส่น้ำจิ้มค่ะ ชอบน้ำจิ้มมากค่ะหลักๆทำมาจากเต้าเจี้ยวค่อนข้างเผ็ดนะคะแต่ก็ไม่เท่าของไทยหรอกค่ะ
- หลังจากกินข้าวเสร็จมันจะมีร้านขายของฝากอยู่ใกล้ๆกันเลยเค้าก็ให้เราไปซื้อค่ะมีของเยอะแยะทั้งของที่ระลึกและของกิน
เรากับพี่ก็ซื้อประมาณนี้ค่ะถ้วย ช้อน ตะเกียบเกาหลี และขนมช็อคโกแลต ในรูปเป็นขนมธัญพืชอบกรอบมั้งคะรสชาติมันๆมีไส้ครีมสีส้มอยู่ข้างในคนที่ไปด้วยกันก็มักจะซื้อขนมอันนี้เพราะอะไรที่สุดแล้วค่ะเค้ามีให้ชิมก่อนด้วย
- เลื่อนลงไปอ่านต่อในช่องความคิดเห็นที่ 2 นะคะ -
V
V
V
V
V
มุมสมาชิก กระทู้ล่าสุดโดย ireneii
- [Red Velvet] รวมภาพ IRENE ในชุดอลิซอินวันเดอร์แลนด์กับกระโปรงฟูฟ่องและผ้ากันเปื้อนสีสดใส (บันเทิง)
- [Red Velvet] รวมภาพ SEULGI ในชุดอลิซอินวันเดอร์แลนด์กับกระโปรงฟูฟ่องและผ้ากันเปื้อนสีสดใส (บันเทิง)
- [Red Velvet] รวมภาพ JOY ในชุดอลิซอินวันเดอร์แลนด์กับกระโปรงฟูฟ่องและผ้ากันเปื้อนสีสดใส (บันเทิง)
- [Red Velvet] รวมภาพ WENDY ในชุดอลิซอินวันเดอร์แลนด์กับกระโปรงฟูฟ่องและผ้ากันเปื้อนสีสดใส (บันเทิง)
- [Red Velvet] รวมภาพ YERI ในชุดอลิซอินวันเดอร์แลนด์กับกระโปรงฟูฟ่องและผ้ากันเปื้อนสีสดใส (บันเทิง)
- [Red Velvet] รวมภาพ " ไอรีน " ในชุดโทนสีขาว - ชมพู สวยหวานวิ๊งๆ (บันเทิง)
- กระทู้โดย ireneii ทั้งหมด
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
#1 จ้าๆเดี๋ยวมาต่อเรื่อยๆจ้า
- สถานที่ท่องเที่ยวต่อไปก็คือ เอเวอร์แลนด์ สวนสนุกกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีค่ะ
- ทางเข้าสวยมากค่ะ ข้างในก็สวยเช่นกัน
- ทางทัวร์จะเป็นคนจัดการซื้อตั๋วให้เราค่ะ พอเข้าไปรวมกันด้านในเค้าจะนัดหมายเวลาและสถานที่ให้เรียบร้อยเวลากลับจะได้ไม่มีปัญหา หลังจากแจ้งเวลาแล้วเค้าจะยังไม่แยกย้ายกันนะคะ ทางทัวร์จะพาเราไปจุดไฮไลซะก่อน นั่นก็คือ กระเช้าลอยฟ้านั่นเอง
มุมนี้ถ่ายจากด้านล่างค่ะ
ทางทัวร์จะมีคนที่รอถ่ายรูปเราอยู่เมื่อเราถึงด้านล่างค่ะ คนที่ถ่ายรูปคนนี้ถูกส่งมาช่วยไกด์ก่อนเรากลับเค้าจะนำรูปภาพที่ถ่ายมาขายให้เรา เราอาจจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ค่ะ แต่เพื่อเป็นการช่วยเราก็เลยซื้อกับเค้าทั้งหมด คนที่ถ่ายรูปจะช่วยเหลือเราทุกอย่างตั้งแต่วิ่งไปจองตั๋ว ยกกระเป๋า เติมอาหารให้เราทุกๆร้านเลย เค้าจะไม่ได้ค่าจ้างจากเงิน 24,900 ที่เราจ่ายนะเพราะเค้าไม่ใช่คนของบริษัทถ้าจำไม่ผิดจะเป็นคนของรัฐบาลหรือมหาลัยที่เป็นอาสาสมัครค่ะ
- เมื่อเสร็จสิ้นจากการขึ้นกระเช้าลอยฟ้า เค้าก็จะปล่อยให้เราไปเล่นตามที่ๆเราต้องการมีที่เล่นเยอะมากแบบหวาดเสียวก็เยอะแต่เราไม่ไหวเพราะแก่แล้วค่ะเราก็เลยเลือกไปดูอะไรที่เข้ากับตัวเองนั่นก็คือ...สัตว์ป่าซาฟารีค่ะ
สองภาพข้างบนเป็นสัตว์ต่างๆที่อยู่ระหว่างทางที่เราจะขึ้นรถทัวร์ของสวนสัตว์ซาฟารีค่ะ และพอถึงรถเค้าก็ให้ขึ้นไปนั่งและจะมีไกด์ขึ้นมากับเรา 1 คน เค้าจะอธิบายและร้องเพลงตลอดระยะทาง แต่เราฟังไม่รู้เรื่องเพราะเป็นภาษาเกาหลีค่ะ
- ถ้าจำไม่ผิดสัตว์ชนิดแรกที่เราได้เห็นคือ อูฐ เค้าค่อนข้างหยิ่งมากค่ะเชิดใส่เชียวแต่ปากก็แอบยิ้ม ฮ่าๆๆๆๆๆ แซวเล่นๆ
- ส่วนตัวนี้คืออะไรไม่รู้ เราไม่แน่ใจค่ะน่าจะเป็นแพะภูเขาอยู่กันเป็นกลุ่มเลย
- ตัวนี้ก็ไม่รู้ค่ะ ฮ่าๆ ฟังล่ามไม่ออกแถมเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องสัตว์กว้างนักแต่ชอบพวกเค้าเลยเลือกมาที่นี่
- เรื่องที่น่าตกใจเรื่องนึงคือทางข้างหน้าเป็นน้ำออกสีฟ้าอมเขียว แล้วรถทัวร์ที่เรานั่งอยู่ก็กลายเป็นเรือไปซะงั้นประมาณว่าขบบนบกก็ได้ในน้ำก็ได้ แล้วจะมีเป็ดลอยอยู่หลายตัวเลยค่ะแต่ถ่ายมาได้เท่านี้
- พอเรือ(รถทัวร์)แล่นไปเรื่อยๆก็จะเห็นสัตว์ต่างๆพอถึงที่นึงมีรูปช้างตั้งอยู่เราก็คิดในใจว่ามีแค่รูปละมั้งถ้าจะดูต้องไปดูที่ไทยนะ แต่อยู่ๆรถก็จอดค่ะ แล้วช้างตัวหนึ่งก็ค่อยเดินออกมากลางแท่นหินนั้นค่ะเราตกใจมากไม่คิดว่าจะมีช้างจริงๆ แต่เค้าตัวผอมมากเลยนะคะ
- จากนั้นรถก็แล่นออกมาอีกนิดนึงก็เจอช้างอีกตัวหนึ่งซึ่งตัวใหญ่และอ้วนกว่าตัวแรกนิดหน่อยค่ะ
- ต่อไปก็เป็นสิงโตตัวเมียกับตัวผู้อยู่ด้วยกันค่ะ
- และแล้วก็มาถึงช่วงของยีราฟสร้างเสียงฮือฮาให้กับทุกคนมากเลยค่ะเพราะเค้าเดินมาหาเราใกล้ๆรถเลยตัวสูงมากๆ
ดูดีๆแล้วเหมือนมันจ้องเราอยู่เลยค่ะ
จ้องไปเคี้ยวไป สงสัยรู้ว่าเรากำลังถ่ายรูป ฮ่าๆ
่ส่วนเจ้าพวกนี้ เพื่อนสนิทเราเอง...แรดค่ะ กร๊ากก
ม้าลายสวยมากค่ะเพิ่งเคยเห็นชัดๆ ส่วนด้านหลังจะเห็นรถอีกคันที่นั่งมาชมสัตว์ค่ะเป็นรถก็ได้เป็นเรือก็ได้
สุดท้ายคงเป็นนกกระยาง? สีสวยดีค่ะขาวและชมพู
- ตอนนี้เราออกมาจากรถทัวร์ของสวนสัตว์แล้ว แต่รอบๆก็ยังมีสัตว์ให้ชมอีกมากมาย เช่นแกะ แกะน่ารักและพยายามยื่นหน้ามาอ้อนเราด้วยพร้อมส่งเสียงร้อง "แม่ๆๆๆ" สัตว์บางชนิดก็มีการให้บริการให้เราขึ้นหลังด้วยค่ะ แอบขำคนที่จูงหัวม้ามันตกมาจ้องกล้องเราพอดี ฮ่าๆ
- หลังจากนั้นเราก็เข้ามาโซนนี้เป็นโซนเกี่ยวกับความสวยงามพวกต้นคริสมาส สวนดอกไม้ การแสดงต่างๆ แต่เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเพราะหนาวมากค่ะ
ต้นคริสมาสใหญ่มากเข้าไปข้างในจะกว้างมีคนเข้าไปถ่ายรูปเยอะเลยค่ะ
เอเวอร์แลนด์ถือว่าสวยมากๆและมีเครื่องเล่นและการแสดงต่างๆมากมายแต่เราไม่ค่อยได้ถ่ายมาเพราะอากาศหนาวจะเอามือออกมาแต่ละทีต้องกัดฟันเลยทีเดียว และที่เราประทับใจมากคือการทำความสะอาดค่ะเค้าจะเก็บทุกชิ้นทุกเวลาเพราะงั้นที่นี่นอกจากจะสวยแล้วยังสะอาดด้วยค่ะ ถ้าสนใจลองไปเสิชดูในกูเกิ้ลจะเห็นความสวยหลายๆมุมของที่นี่นะคะ
ที่ฟินที่สุดสำหรับเราคือได้ไ.อ้นี่มาเล่น ซื้อมา 4,500 วอนหรือประมาณ 150 บาทค่ะเห็นอย่างนี้มีลูกเล่นเยอะมากนะคะเล่นเพลินเลย
- หลังจากนั้นเค้าก็พาเรามาที่ศุนย์เครื่องสำอางซึ่งเครื่องสำอางของที่นี่จะมีสินค้าที่คนไทยนิยม เช่น ครีมหอยทาก เป็นต้น
เค้าจะให้เราไปยืนฟังเค้าแนะนำสินค้าต่างๆพร้อมกับแจกบัตรอะไรซักอย่างให้
และให้เรานำหลังมือของเรามาทดลองสินค้าของเค้า เรายอมรับเลยนะคะว่าสินเค้าดีจริงๆเชื่อเลยว่าทำไมหลายๆคนถึงอยากได้ แต่เราไม่ได้สนใจในเรื่องเครื่องสำอางและเงินก็จำกัดมาซื้อแค่ของกินเพราะงั้นเรากับพี่ก็เลยออกไปเดินเล่นรอค่ะ เลยลองดูไปตามซอยเล็ฏๆของเกาหลีจะมีร้านอาหารเยอะพวกจาจังเมียน ไก่ทอด
- และแล้วก็มาถึงสถานที่ที่เราคิดว่าใครที่มาเที่ยวเกาหลีส่วนใหญ่มักจะมาที่นี่ นั่นคือ โซลทาวเวอร์นั่นเอง แต่คนเกาหลีเค้าจะเรียกว่านัมซานทาวเวอร์นะคะ เราจะขึ้นแท็กซี่มาที่นี่ไม่ได้นะถ้าจะขึ้นไปต้องเป็นรถทัวร์สำหรับขึ้นไปที่นี่โดยเฉพาะเลยค่ะ(ถ้าจำไม่ผิดนะ) แต่สำหรับรถทัวร์มาเที่ยวแบบเราสามารถขึ้นไปได้ค่ะ คนที่ไปส่วนใหญ่เป็นคนเกาหลีนั่นแหละนอกนั้นก็เป็นชาวไทยเรานี่เองเดินผ่านกันไปก็พูดไทยกัน ในภาพด้านล่างจะเห็นว่ามีหอคอยเล็กๆอยู่ นั่นแหละค่ะเรากำลังจะไปที่นั่น
- ทางขึ้นไปเป็นเนินเขาทำให้เราต้องใช้พลังในการเดินขึ้นไปพอสมควรค่ะ เราบอกไปตอนแรกว่าวัดวาวูจองซาหนาวเป็นอันดับที่ 2 และสถานที่ที่หนาวเป็นอันดับ 1 เรายกให้ โซลทาวเวอร์เลยค่ะหนาวมากๆๆๆๆๆ แทบเอามือออกมาถ่ายรูปไม่ได้เลยแล้วยิ่งถ่ายตอนกลางคืนบวกกับกล้องไม่ดีมากของเราแล้วทำให้ได้ภาพไม่เยอะแถมไม่ชัด แต่ได้ไปเห็นสถานที่จริงนั้นสวยมากเลยนะเพราะเราจะเห็นทิวทัศน์รอบเมืองเลยค่ะ
- หลังจากนั้นเค้าก็จะพาเราไปตลาดทงแดมุน ซึ่งเป็นตลาดที่มีห้างสรรพสินค้าเยอะพอสมควรและมีร้านขายของกิน ขายสินค้ารอบๆค่ะ แต่ก่อนเดินตลาดเค้าพาเราไปกินข้าวเย็นก่อนโดยไปกินในห้างค่ะ เมนูวันนี้ก็คือ บีบิมบับและชาบูชาบูสุกี้สไตล์เกาหลีบนหม้อไฟซึ่งก็คล้ายๆกับที่ไทยกินนี่แหละค่ะ ส่วนบีบิมบับนั้นเป็นข้าวสวยร้อนๆแล้วเอาผักต่างๆพวกถั่วงอก ผักกาด เห็ดหอม สาหร่ายและซอสสีแดงมาคลุกรวมกันกินกับเครื่องเคียงต่างๆบีบิมบับเราจะได้คนละถ้วยเลยนะแต่ชาบูได้โต๊ะละหม้อแต่เติมทุกอย่างได้ตลอดค่ะ
เสียดายภาพไม่ค่อยชัดเลย
- หลังจากนั้นเค้าก็ให้เราเดินซื้อของโดยนัดเวลาให้ไปรวมกันที่ห้างที่เราไปกินข้าวเมื่อกี้ เรากับพี่สาวก็เดินไปเรื่อยๆจุดแรกที่สนใจคือการเค้นโคฟเวอร์ พวกเค้าเต้นได้เจ๋งดีราวกับไอดอลเลยค่ะ จากที่เดินดูหน้าตาของวัยรุ่นเกาหลีบวกกับคำบอกเล่าของไกด์เราสามารถแบ่งหน้าของพวกเค้าออกได้สองแบบคือมัธยมกับมหาลัย มัธยมส่วนใหญ่จะหน้าตายังไม่เป๊ะเพราะยังไม่ศัลฯ ส่วนระดับมหาลัยจะหน้าเป๊ะแล้วดูที่จมูกก่อนเลยจะค่อนข้างชัดเจนว่าทำมา การได้ทำศัลยกรรมจะเป็นของขวัญของคนที่สอบเข้ามหาลัยได้ค่ะ พี่ไกด์บอกมาอย่างนั้นถ้าเรามาอยู่ที่นี่ก็คงซึมซัมเรื่องการทำศัลยกรรมเหมือนกันเพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่
ทั้งๆที่อิ่มมากแล้วแต่เราก็ยังเดินหาของกินเพราะเคยดูในซี่รี่ย์ที่มันจะมีซุ้มสีส้มๆเค้าจะขายของกินก็เลยอยากไปลองดู เลยลองไปร้านนึงเราซื้อมาสองอย่างคืออะไรก็ไม่รู้และต็อกบ็อกกีซึ่งทำมาจากแป้งมีลักษณะเป็นแท่งๆเหนียวนุ่มอร่อยดีราคา 3,000 วอน หรือประมาณ 90 บาทค่ะ
ส่วนอันนี้เค้าขายอันละ 1,000 วอนหรือประมาณ 30 บาทเค้าจะเอาใส่แก้วแล้วตักน้ำซุปที่ต้มมันลงในแก้วให้เราด้วยทานไปจิบน้ำซุปไปช่วยแก้หนาวได้มากเลย อร่อยมากด้วยค่ะหอมๆคล้ายๆลูกชิ้นหมูหรือปลา
ส่วนของอื่นๆเราซื้อถุงมือค่ะ เป็นถึงมือที่ไม่มีตรงร่องนิ้วเราเลยเลือกอันนี้เพราะมันจะอุ่นมากคู่นี้ราคา 10,000 วอนหรือประมาณ 300 บาทนั่นเอง มันมีสีสวยๆเยอะเลยนะคะแต่เราชอบโทนสีแบบนี้
หลังจากนั้นเค้าก็พากลับที่พักค่ะ คืนนี้ยังพักที่โรงแรมเดิน วันนี้เราไม่ได้อาบน้ำเพราะเหนื่อยมาก 55555+
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
V
V
V
- เช้าต่อมา วันนี้เราต้องย้ายที่พักค่ะหลังจากพักกรุงโซลมาสองคืน เราจะย้ายไปพักที่สกีรีสอร์ทเลยต้องขนของทุกอย่างลงมาและขึ้นรถตอน 08.00 น. อากาศหนาวมากค่ะรีบวิ่งขึ้นรถเลยล่ะ
- ที่แรกที่เค้าพาไปก็คือที่ที่ขายน้ำมันสนเข็มแดง น้ำมันสนเข็มแดงมีสรรพคุณที่่น่าสนใจมากๆช่วยดูแลเกี่ยวกับเลือดของเรา รุปคือทำให้หลอดเลือดเราสะอาดไม่มีไขมันหรือสิ่งผิดปกติตกค้างนั่นเองและถ้าเลือดเราดีก็จะก็จะทำให้เราสุขภาพดีและไม่ทำให้เกิดโรคอันตรายต่างๆได้ค่ะ เค้าจะให้เรานำนิ้วนางข้างซ้ายมาส่องดูเลือดก่อนส่องเค้าจะทาน้ำมันนี้ตรงใต้เล็บค่ะแล้วก็เอาไปส่องจะทำให้มองเห็นลักษณะของเว้นเลือดของเรามันจะแบ่งออกเป็น 6 ประเภท 6 ความเสี่ยงหรืออาการ อย่างของเราก็พบ 2 อาการคือ ความเครียดและมีไขมันมาเกาะบ้างแล้วทั้งๆที่เราหนักแค่ 42 นะคะ แต่ราคาก็สูงสำหรัเราเราก็เลยไม่ได้ซื้อค่ะ
- สถานที่ท่องเที่ยวต่อไปเป็นพระราชวังเคียงบ็อค คล้ายๆกับพระราชวังในหนังย้อนยุคของเกาหลี ที่นี่อาการศหนาวมากแล้วมีลมด้วยค่ะเลยทำให้หนาวเข้าไปอีก พระราชวังนี้มีขึ้นสมัยราชวงศ์โซซอน เป็นศูนย์บัญชาการและที่ประทับของกษัตริย์ค่ะ ก่อนเข้าไปเราได้ผ่าน blue house เป็นสถานที่ทำงานของประธานธิบดีของเกาหลีใต้นั่นเอง แอบถ่ายรูปมาทันด้วยค่ะมีทหารเฝ้าอยู่ด้านหน้าด้วย
- มาถึงพระราชวังแล้วค่ะตอนนี้เรายังอยู่ด้านนอกนะคะ ด้านขวามือคือกำแพงของพระราชวังค่ะ ที่หน้าประตูจะมีทหารแต่งตัวเหมือนสมัยก่อนมาเฝ้าด้วยเค้ายืนนิ่งมากเราสามารถไปถ่ายรูปกับเค้าได้เลยค่ะ
- พระราชวังตั้งอยู่ในตัวเมืองเลยนะคะฝั่งตรงข้ามก็เป็นตึกเลย
- เค้ามีตั๋วให้ซื้อแต่ทางทัวร์เราก็ไปจัดการมาให้เราก็แค่รอเอาตั๋วไปยื่นค่ะ ตอนนี้เข้ามาด้านในแล้ว
- คนเยอะมากค่ะ มีทั้งคนเกาหลี คนไทย และมีคนจีนเยอะพอๆกับนไทยเลย
- นักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่คนทยชอบนักพิราบกันเยอะเลย
- สังเกตที่พื้นจะเป็นดินทรายเพราะว่าสมัยก่อนจะมีคนร้ายแอบเข้ามาในพระราชวังเพราะงั้นต้องเอาดินทรายมาปูไว้หนาๆ ไม่ว่าคนร้ายนั้นจะย่องเบาแค่ไหนก็จะมีรอยเท้าและนั่นจะสามารถดูได้ว่าคนร้ายมุ่งไปทางไหนนั่นเอง
- ในส่วนนี้จะเป็นที่ว่าราชการสมัยนั้นค่ะ
ด้านใน เค้าไม่ให้เข้าไปนะคะให้ดูอยู่รอบๆ
- อย่างที่บอก พระราชวังอยู่ในตัวเมืองทำให้มีตึกๆใกล้อย่างที่เห็นค่ะ
- ถ้าจำไม่ผิดตำหนักต่อไปเป็นตำหนักของพระมเหสีหรือนางสนมค่ะ
- ด้านในจะเป็นที่พักมีที่นั่งเหมือนในหนังเลย มีที่อ่านหนังสือเหมือนในหนังเป๊ะ
ทั่วพระราชวังจะมีที่ดับเพลิงอยู่ทั่วพระราชวังเลยค่ะ
- ตรงนี้น่าจะเป็นลานที่เอาไว้ฝึกหรือว่าเป็นที่เรียนอะไรซักอย่าง สังเกตตรงประตูเค้าจะมีวิธีเก็บที่แปลกดีมันจะไปอยู่ด้านบนค่ะ
- ประตูแบบนี้เป็นประตูระหว่างตำหนักแต่ละตำหนักค่ะ
- เสาตรงนี้ถ่ายไว้เพราะเคยดูในซีรีย์เื่องนึงนางเอกแอบมาหลบตรงเสานี้ตอนเด็กๆ
- กุญแจในสมัยนั้น
- ช่องตรงนี้จะมีอยู่ใต้ตำหนักแต่ละตำหนักค่ะ
- ต่อไปจะพาไปดูเขตหลังพระราชวังค่ะ
- ภายในพระราชวังจะมีที่ดับเพลิงตั้งอยู่ทั่วๆไป
- และแล้วก็ใกล้ถึงเวลานัดเราก็เลยรีบไปด้านหน้าพระราชวังเพราะต้องไปถ่ายรูปกับทหารใส่ชุดโบราณ แต่เค้ากลับเดินสวนสนามซะก่อนเลยไมไ่ด้ถ่ายรูปด้วยเลยค่ะ
- หลังจากที่ผิดหวังกับทหารโบราณเราก็แอบไปเห็นตำรวจหนุ่มหล่อมากเรากับสมาชิกทัวร์คนนึงเลยขอไปถ่ายรูปด้วย ตอนแรกเค้านึกว่าจะให้เค้าถ่ายรูปเรากับสมาชิกทัวร์คนนั้นคู่กัน เลยบอกเค้าใหม่ว่าพวกเราขอถ่ายรูปคู่กับเค้า เค้าเลยบอกว่ายินดีครับ(เป็นภาษาอังกฤษ) เค้าดูขรึมและนิ่งมากเลยไม่รู้ว่าตอนนั้นกล้าไปขอเค้าถ่ายรูปได้ไง ฮ่าๆ แต่พอจะกลับเค้าก็แอบมองคล้อยตามหลังน่ารักชะมัด / ไปขอไลน์แปบ
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
V
V
V
V
v
- ต่อไปเค้าก็พาเราไปที่ร้านขายผลิตภัณฑ์โสมเกาหลี ก่อนที่เราจะไปทางทัวร์จะโทรไปบอกก่อนว่าลูกค้าชุดต่อไปเป็นคนไทยแล้วเค้าก็จะเตรียมคนนำเสนอสินค้าเป็นคนไทยค่ะเพราะฉะนั้นมีคนไทยทำงานที่นั่นเยอะมากซึ่งเป็นคนของรัฐบาลนะคะ สินค้าหลายอย่างที่พาไปดูจะมีธงชาติเกาหลีอยู่ด้วยเช่นน้ำมันสนเข็มแดง โสม เราไม่ได้ซื้อสินค้าพวกนี้เลยเพราะมันราคาค่อนข้างแพงสำหรับเราและเงินหนึ่งหมื่นกว่าที่เราเตรียมไป แต่สมาชิกทัวร์ของเรามีหลายๆคนที่ซื้อ เอาตรงๆเลยนะ คนที่ไปทัวร์กับเราดูมีฐานะกันมากค่ะมีแค่เรากับพี่สาวที่กิ๊กก๊อกที่สุดแล้ว แต่เราดูจากการนำเสนอและคำบอกเล่าแล้วเราคิดว่าสินค้าของพวกเค้าดีจริงๆนะคะ ถ้าเราพอมีเงินเราคงซื้อมาแน่นอนค่ะ
- การดูปีของโสมถ้าจำไม่ผิดให้ดูที่การแต่งกิ่งก้านด้านบนค่ะ ถ้า 1 ปีก็มีกิ่งเดียว 2 ปีก็แยกเป็น 2 กิ่ง สูงสุดแค่ 6 ปี แต่ที่ได้ยินบ่อยๆว่าโสมพันปีไม่ใช่จะมีพันกิ่งนะคะ อันนั้นน่าจะเป็นการเก็บรักษามากกว่ามั้งคะ
- หลังจากดูโสมเสร็จเค้าก็พาเราไปทานอาหารกลางวันซึ่งอาหารมื้อนี้มีส่วนประกอบของโสมนั่นก็คือ ไก่ตุ๋นโสมและมีเหล้าโสมให้ชิมที่ร้านด้วยค่ะ เมนูไก่ตุ๋นโสมจะใช้ไก่ 1 ตัวในแต่ละชาม ไก่ที่นำมาทำมีอายุ 45 วันค่ะ ตัวไม่ใหญ่มากนะตามรูปด้านล่างเลยค่ะ
นี่เป็นเครื่องเคียงสำหรับอาหารมื่อนี้ค่ะ กิมจิเช่นเคย ผักดอง และเส้นแป้งคล้ายๆขนมจีนบ้านเราเลยค่ะแต่รสชาติเหมือนเส้นก๋วยจั๊บนะ ผักดองกรอบอร่อยดีเราเติมบ่อยมากเลยค่ะ
ส่วนนี่เป็นเหล้าโสมแต่ละโต๊ะจะมี 4 แก้ว แต่โต๊ะเราเหลือแค่ 2 คนจาก 3 คนเพราะพี่ชายคนนั้นแอบหนีไปไหนก็ไม่รู่ค่ะ แบบนี้แหละตม.ถึงเข้มนักเข้มหนาในการคัดคนไทยเข้าประเทศ พี่ไกด์บอกว่ามีคนไทยเข้าประเทศ 300,000 คน แต่พอตอนกลับมีแค่ 150,000 คนเท่านั้นเอง เพราะบางคนที่อยากมาทำงานก็แฝงตัวมากับทัวร์นั่นเอง แต่เราไม่แน่ใจว่าพี่ชายคนนั้นไปทำงานหรืออยากไปเที่ยวส่วนตัวกันแน่แกไปแบบไม่บอกไม่กล่าวเลย......กลับมาที่เหล้าโสมค่ะ ฮ่าๆ รสชาติของโสมฟุ้งเลย เรากินไปแก้วเดียวที่เหลือแบ่งพี่โต๊ะข้างๆค่ะ กรุ๊ปเรามีเด็กเยอะนะคะเพราะงั้นเด็กก็ไม่ดื่มกันมีแค่ผู้ใหญ่ที่ลองชิมดู
และแล้วก็เห็นหน้าตาของไก่ตุ๋นโสม ตอนยกมานี่เดือดปุดๆ เราห้ามแตะตรงถ้วยนะเพราะว่ามันร้อนมากแต่ซักพักก็จับได้เพราะมันเย็นขึ้น น้ำซุปเป็นสีขาวขุ่นรสชาติจืดค่ะเราต้องเติมเกลือลงไปเยอะมากเหมือนกัน มีต้นหอมใหญ่ๆของเกาหลีโรยด้วยช่วยเพิ่มความหอม และมีพริกไทยให้เติมด้วยค่ะ
สำหรับวิธีการกิน คือ ให้เราใส่เส้นลงไปแล้วก็แหวกอกไก่ออกค่ะ ในตัวไก่จะมีข้าว โสม และพุทราแดงอยู่ในนั้นด้วย
ใครๆก็บอกว่ามันจืดไม่ค่อยถูกปาก เราก็ไม่ได้ถูกปากกับเมนูนี้เท่าไหร่ก็แค่.....กินแบบหมดเกลี้ยงเลย ฮ่าๆๆๆ
ถึงมันจะจืดแต่มันก็อร่อยนะคะ กินเพลินเลยถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะกินอีกค่ะ
- ต่อไปเค้าพาเราไปโรงงานสาหร่ายก็จะมีพนักงานของที่นั่นเป็นคนไทยเยอะอีกแล้วค่ะ เค้าพาไปดูที่มา ประวัติ อธิบายวิธีการเก็บสาหร่ายและเครื่องจักรในการทำสาหร่าย สาหร่ายแท้เวลาส่องไฟจะเป็นสีเขียวมรกต แล้วเค้าก็พาเราไปซื้อสินเค้าซึ่งเป็นสาหร่ายแผ่นรสต่างๆมีหลายรสมากค่ะ เช่น รสดั้งเดิม รสกิมจิ รสหมูย่าง รสไม้ไผ่ เป็นต้น ราคาไม่แพงเท่าพวกโสมเพราะงั้นเราก็เลยซื้อกลับไทยด้วย
ซองสาหร่ายเป็นแบบนี้ค่ะ ซองใหญ่นั้นจะมีสาหร่ายบรรจุอยู่ประมาณ 5 แผ่น ซึ่งเราซื้อไปประมาณ 40,000 วอนหรือ 1,200 บาทนั่นเองก็ได้หลายซองอยู่นะ ประมาณ 24 ซองค่ะ
ถ้าเราซื้อเยอะเค้าจะให้ถุงใหญ่อันนี้มาเราซื้อร่วมกับพี่ๆอีกกลุ่มนึงเลยได้ถุงใหญ่มาแต่พวกพี่เค้ายกถุงให้เราค่ะใจดีมาก มันจะสะดวกมากเวลาเราขนขึ้น-ลงเครื่องบิน ที่เรายอมรับถุงนี้มาเพราะพวกพี่ๆคงมีถุงที่จะใส่กลับอยู่แล้วก็เลยยอมรับมาค่ะ
- หลังจากซื้อของเรียบร้อยแล้วยังไม่ทันได้เดินไปไหน เค้าก็เตรียมให้เราทำข้าวห่อสาหร่ายค่ะ เตรียมตามจำนวนสมาชิกในทัวร์คนละชุดเลย
และอันนี้ก็เป็นข้าวห่อสาหร่ายที่เราทำได้ค่ะ เค้าไม่ให้หั่นตอนนี้นะคะเค้าบอกให้เราเก็บไว้กินบนรถหรือตอนถึงที่พักก็ได้เค้าเลยหาถุงมาใส่ให้เรา เมื่อทำข้าวห่อสาหร่ายเสร็จแล้วเราก็ขึ้นไปด้านบนเพราะเราจะไปใส่ชุดฮันบกชุดประจำชาติของเกาหลีกันค่ะ!
- พอขึ้นไปจะเป็นห้องยาวๆผนังห้องถูกวาดเป็นฉากต่างๆหลายฉากมากเลย เพราะเอาไว้ให้เราได้ถ่ายรูปกันนั่นเอง เราต้องจ่ายเงินค่าเข้ามานะแต่ทางทัวร์จัดการให้เราทุกอย่างเลย เราก็เดินไปเลือกชุดที่เราต้องการจะใส่ได้เลย!
สังเกตชุดนะคะดูตรงกระโปรงเราไม่รู้ว่าชุดที่เราเลือกกระโปรงมันสั้นหรือขาพี่เราสั้น ฮ่าๆๆ แซะนางเล่น พี่สาวเราตัวเล็กกว่าเราเค้าเป็นคนที่ใส่สีชมพูค่ะ ถ้าเลือกกระโปรงที่ยาวจนไปร่นที่พื้นมันจะสวยค่ะ แต่กระโปรงเราไม่ถึงพื้นก็เลยไม่สวยเท่าไหร่
อ่านต่อความคิดเห็นที่ 6 ด้านล่าง
V
V
V
V
V
@ความคิเห็นที่ 5 โดรา-จัง ฮ่าๆๆๆ กว่าจะได้เที่ยวแบบนี้เลยเล่าซะยาวเลย ขอบคุณมากนะคะที่เข้ามาอ่านแถมกดไลค์ให้
- หลังจากนั้นเค้าก็พาเราไปช็อปปิ้งที่ ดิ้วตี้ฟรี (Duty Free Shop) จะมีของแบรนเนมหลายอย่างเลยค่ะ พวกน้ำหอม กระเป๋า เสื้อผ้า ฯลฯ ซึ่งเค้าจะให้บัตรอะไรเราซักอย่างแล้วก็จัดการช็อปได้เลย แต่ของบางอย่างจะไม่ได้ตอนนั้นนะคะจะไปรับที่สนามบินแทนอันนี้เราก็ไม่เข้าใจไม่ได้ถามด้วยเพราะเราไม่ซื้ออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ไปช็อปก็ให้เดินไปอุโมงค์ใต้ถนนเพื่อไปโผล่อีกฟากถนนเพื่อไป "คลองชองเกชอน"
นี่เป็นทางลงไปค่ะ
ด้านในก็ประมาณนี้
อยากจะบอกว่าถังขยะของประเทศเกาหลีหายากมากทั้งๆที่เป็นประเทศที่สะอาด เช่น ตามตลาดตอนที่เราซื้อของกินที่ตลาดเราต้องเดินหาถังขยะอยู่หลายรอบจนสุดท้ายต้องเอามาคืนที่ร้านที่เราซื้อเลยค่ะแม่ค้าคนนั้นก็รีบยื่นมือมาหยิบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะทิ้งกับร้านที่เราซื้อด้วย นี่เห็นถึงกับถ่ายรูปไว้เลยถังนี้ตั้งอยู่ทางลงอุโมงค์ค่ะ
- และแล้วก็ข้ามฟากมาถึงคลอง ซึ่งจะอยู่ตรงก้นหอยนั่นค่ะ
สำหรับคลองชองเกชอนจะต้องมาตอนกลางคืนถึงจะสวยค่ะเพราะจะมีแสงสีต่างๆประดับถ้าเป็นตอนกลางคืนพร้อมๆกันคงจะสวยมาก
ด้านข้างก็จะเป็นตึกสูงๆ เพราะอยู่ในตัวเมือง
- เรื่องจากยังเหลือเวลาอีกนานถึงจะถึงเวลานัดเพราะงั้นเรากับพี่ก็เลยเดินดูแถวๆนี้ซึ่งจะมีร้านอาหารร้านเหล้าเยอะเลยค่ะ ร้านอาหารที่นี่เค้าจะทำรูปภาพอาหารและเขียนชื่อไว้โชว์หน้าร้านซึ่งน่าจะเรียกความสนใจของลูกค้าได้ดีเลย อาหารส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารทะเลยเน้นไปที่ปลาหมึกค่ะ
- แต่ร้านที่เราเข้าไม่ใช่ร้านอะไรเลย เซเว่นนี่เอง ฮ่าๆๆ
- หลังจากสำหรับฝั่งนี้เสร็จเราก็กลับไปฝั่งเดิมที่เป็นห้าง แต่เราไม่เข้าไปนะคะเราไปเดินสำรวจเหมือนเดิม เดินผ่านร้านนึงเห็นภาษาไทยด้วยล่ะ! เราเลยไปซื้อเค้าพยายามพูดไทยแล้วสั่งซาลาเปาเค้าก็พูด ซาลาเปา ฮ่าๆน่ารักดี รสชาติอร่อยคล้ายๆกับบ้านเราแต่ไส้ได้เยอะมาก
จากนั้นก็เดินชมเมืองต่อเล็กน้อย
เมื่อใกล้ถึงเวลานัดเราก็กลับเข้าไปในห้างค่ะ เดินวนอยู่หลายรอบมากเพราะในห้างมันอุ่นดีเราชอบการโชว์สินค้าหน้าร้านมากเลยแต่ก็แอบตลกที่เค้าทำออกมาดีมาก ตกแต่งสวยจนกลบสินค้าไปเลยค่ะ ฮ่าๆ
- และแล้วก็ถึงเวลาอาหารเย็นซึ่งเป็นอาหารที่เราสนใจมากเพราะมันมีอาหารหลากหลายให้เราเลือกกินแบบบุฟเฟ่ นั่นคือ บุฟเฟ่ขาปูยักษ์นั่นเอง! แต่พี่ไกด์บอกว่ามันไม่ใหญ่มากเพราะมันไม่สดเท่าไหร่เป็นของนำเข้าจากญี่ปุ่นค่ะกว่าจะมาถึงเกาหลีก็ไม่ค่อยสดแล้ว
ก่อนเราถ่ายรูปเรามักจะถามพี่ไกด์ก่อนว่าถ่ายรูปได้มั้ย ร้านนี้เค้าบอกว่าถ่ายได้เราก็ถ่ายมาเยอะเลย น่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ
มาดูโซนของหวานกันบ้างค่ะ น่ากินมากเลย
โซนเครื่องดื่มจะมีทั้งน้ำเปล่า น้ำอัดลม ไวน์ เบียร์ ฯลฯ
พี่ๆที่เราไปนั่งด้วยดื่มไวน์เลยขอถ่ายไว้ มันหรูดี ฮ่าๆ
และต่อไปจะเป็นขาปูยักษ์ ซึ่งมันจะมาเรื่อยๆแล้วลูกค้าก็ต้องรีบไปเอาค่ะลูกค้าเยอะซะด้วยเพราะส่วนใหญ่ก็มาเป็นกรุ๊ปทัวร์ บางกรุ๊ปเค้าไปขอกับพนักงานเพื่อเดินมาเซฟแค่กรุ๊ปของตัวเองเลยก็มี แต่หลังๆมาจะมีพนักงานตักให้คนละ2-3 ชิ้นเท่านั้นเพราะกลัวไม่พอมั้งคะ แต่เราอยู่ในช่วงไปหยิบเองเราก็เลยเอามาได้เยอะพอสมควรค่ะแต่ไม่ได้เอามาเยอะจนน่าเกลียดนะคะ ช่วงที่เราเข้าร้านคนยังไม่เยอะก็เลยยังมีขาปูเหลือให้หยิบเยอะเท่านั้นเอง
นี่เป็นอาหารที่เรากินในเวลา 1 ชั่วโมง + วิ่งถ่ายรูปด้วย
บางคนก็จะได้กล้ามมันมาแบบนี้ด้วย เนื้อเยอะดี
ส่วนนี้เป็นขามันค่ะ รสชาติเราว่ายังธรรมดาอยู่นะเพราะไม่มีความหอมของปูเท่าไหร่อาจจะเป็นเพราะเราชอบปูม้าประเทศไทยด้วยมั้งก็เลยไม่ถูกใจกับปูนอกแบบนี้ แต่ก็อร่อยนะคะถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาร้านนี้อีก
ต่อไปก็เป็นของหวาน เราเลือกมากินประมาณนี้ค่ะ
ระหว่างที่นั่งทานก็มีโอกาสได้สนทนากับพี่ๆที่นั่งด้วยกัน ด้วยความที่มาเที่ยวด้วยกันโดยไม่รู้จักพื้นเพกันมาเลย พอมาถามถึงอาชีพและการศึกษาเราก็แอบอึ้งนะ แต่ละคนมีอาชีพที่ดีมากเลยค่ะ พี่ๆก็คงอึ้งไปกับอาชีพเราเหมือนกัน ฮ่าๆๆ พี่ๆถามว่าทำไมเราชอบถ่ายรูปพวกนี้จังแต่ไม่เห็นถ่ายตัวเองเลย พอดีเราไม่ค่อยชอบถามรูปตัวเองแต่ชอบถ่ายรูปแวดล้อมอื่นๆที่เราเห็นค่ะ
* เดี๋ยวมาเล่าต่อนะคะ ต่อไปจะเป็นตลาดเมียงดงซึ่งมีของกินแปลกๆขายข้างทางเยอะมาก และวันนี้ต้องเดินทางไปรีสอร์ทซึ่งสวยมากค่ะ เดี๋ยวมาต่อนะ เราอาจจะเล่ายาวมากๆๆแต่กระทู้นี้สยามโซนยกให้มันเป็นของเราแล้ว เราก็จะถือว่ามันเป็นสมุดบันทึกในการไปเที่ยวครั้งนี้ก็แล้วกัน ถ้าใครผ่านมาอยากอ่านก็ตามสบายนะคะ *
@ความคิดเห็นที่ 7 ค่ะๆๆ เดี๋ยวมาเล่านะคะกำลังหารูปอยู่พอดี
- หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยเค้าก็พาเราไปช็อปปิ้งย่านเมียงดงซึ่งเป็นตลาดที่ขายทุกๆอย่างเลยทั้งของกิน เสื้อผ้าแบบถูกๆ เสื้อผ้าชั้นนำ เครื่องสำอาง ร้านอาหาร มีวัยรุ่นที่มาเดินตลาดเมียงดงเยอะมากค่ะ แต่อากาศหนาวมากเลยถ้าไปเดินแถวของกินก็จะอุ่นหน่อยเพราะมีเตาเยอะ
- ตอนแรกเค้าพาเราไปซื้อเครื่องสำอางร้านนึงก่อนมีการลดและแจกมากมายแล้วค่อยพาไปเดินที่ตลาดจริงๆ เนื่องจากเราไม่สนใจเครื่องสำอางพอเค้าปล่อยให้เดินตามใจเราก็เดินสำรวจทันที
นี่คือจุดนัดหมายค่ะ
ทางเดินตลาดก็เป็นทางแคบๆแบบนี้สองข้างทางฝั่งนี้ส่วนวใหญ่เป็นเสื้อผ้าและเครื่องสำอางชั้นนำค่ะ
เดินไปเรื่อยๆก็เจอร้าน SPAO ซึ่งนักร้องวงที่เราชอบเป็นพรีเซนเตอร์ด้วยค่ะ เห็นแล้วแอบกรี๊ดแต่ก็ไม่ใช่เราคนเดียวนะคะ บางคนเป็นคนเกาหลีแท้ๆก็ยังมาถ่ายรูปร้านนี้บางคนก็ถ่ายรูปกับภาพศิลปินก็มี
ต่อมาก็มาถึงร้าน MCM การโชว์สินค้าหน้าร้านวยมากจนกลบกระเป๋าเลยทีเดียว
ระหว่างทางก็จะผ่านร้านอาหารเยอะเหมือนกันนะคะจะมีคนเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้านเราก็ทำเป็นไม่นใจจนเค้าแกล้งเดินตาม ฮ่าๆ คงแกล้งเล่นแต่ร้านอาหารมันน่าเข้าปทานมากเลยเพราะเมนูเค้าจะตั้งอยู่หน้าร้านซึ่งเป็นรูปอาหารน่ากินมาก
และแล้วเราก็เดินมาถึงโซนขายอาหารทานเล่นๆซึ่งมีเมนูที่น่าสนใจเยอะแยะเลย
จากที่มองเผินๆอันนี้คล้ายๆผัดวุ้นเส้นค่ะ
ส่วนนี้ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นผลทับทิมแล้วมาปั่นเอาน้ำรึป่าวนะ? ฮ่าๆ
ร้านนี้ขายหลายอย่างเลยมีปลาหมึกใหญ่ๆนั่นด้วย
น่ากินๆๆ
ส่วนนี่เป็นแป้งต็อกบ๊อกกีเอามาย่างค่ะ จากที่สังเกตมาคนขายมักจะเป็นผู้ชายหน้าตาดีนะเค้าเอามาเป็นจุดขายด้วยรึป่าวก็ไม่รู้ ตามร้านอาหารก็เช่นกันค่ะ
อันนี้เป็นลูกกลมๆสีน้ำตาลเสียบไม้ ควันฟุ้งเลยแถมกลิ่นหอมมากๆ
อันนี้เป็นโมจิสตรอเบอรี่ค่ะคนขายเป็นผู้หญิงสาวซึ่งหาร้านที่คนขายจะเป็นผู้หญิงยากมาก
ภาพนี้เครดิตอยู่ในภาพนะคะ เอามาแปะให้เพื่อให้เห็นหน้าตาโมจิสตรอเบอรี่แบบชัดๆ
เมนูต่อไปเป็นเมนูที่เอาหอยเชลล์ย่างค่ะ เค้าจะเอาชอยเชลล์สดไว้ในตู้กระจกแล้วเอามาปรุงให้เราทานตรงนั้นเลย จะเห็นได้ว่ามีตะเกียบเตรียมพร้อม
เมนูนี่ไม่รู้คืออะไรค่ะ แต่คงจะทำให้เราอุ่นขึ้นถ้าได้เดินตลาดในอากาศที่หนาวมากขนาดนี้
นี่เป็นปลาไหล ซึ่งเป็นที่นิยมของคนเกาหลี แอบถ่ายคนขายมาด้วย อิอิ
ร้านนี้ขายผลไม้สดค่ะ ตอนเราเดินผ่านเราไม่ได้สนใจเท่าไหร่เค้าก็พูดสวัสดีเป็นภาษาเกาหลีเพื่อเรียกเราแต่เราเดินผ่าน เค้าเลยตะโกนตามหลังว่า "สวัสดีครับ!" พูกดเป็นภาษาไทยเลยนะคะที่เป็นแบบนั้นเพราะเราหน้าไม่ได้เกาหลีเลยดูออกเลยว่าเป็นคนไทยเพราะที่นั่นมีคนไทยเดินตลาดอยู่ครึ่งนึงเลยก็ว่าได้
ส่วนนี่เป็นซุ้มเล็กๆน้อยๆให้คนได้มาถ่ายรูปกัน
จากนั้นเราก็เดินเข้ามาร้านนี้เพราะในนี้อุ่นมากเพราะมีฮิตเตอร์ในร้านด้วยค่ะ แต่ก็ดีที่ได้เข้ามาดูของน่ารักๆในร้านด้วย
ร้านนี้เป็นร้านำหรับคนที่ชอบซิลปินเกาหลีค่ะ ไกด์บอกว่าเป็นร้านที่นิยมมาก
เดินไปเรื่อยๆจะเห็นร้านอาหารตามซอยต่างๆเยอะมากค่ะ หน้าร้านจะมีภาพอาหารให้ดูด้วยซึ่งสามารถเรียกลูกค้าได้ดี และร้านอาหารของที่นี่มันจะอยู่ชั้น 2 และ 3 แต่ทางขึ้นนั้นจะเป็นประตูแคบๆพร้อมกับบันไดขึ้นไปชั้นต่างๆบางที่จะติดไว้ที่บันไดว่าชั้นไหนมีร้านอะไร ถ้าดูเผินๆทางเข้าอาจจะไม่ได้หรูอะไรเลย แต่ชั้นบนที่เป็นร้านอาหารจริงๆค่อนข้างหรูนะคะ
ที่เราเล่าไปเราไม่ซื้อซักอย่างค่ะ แต่ระหว่างที่รอขึ้นรถเราเห็นขนมแปลกๆอันนึงอันละ 1,000 วอน หรือประมาณ 30 บาท เลยลองซื้อมาชิมอันนึง มันเป็นแป้งข้างในโปร่งแต่ข้างในนั้นก็มีคล้ายๆน้ำผึ้งผสมน้ำตาลเหนียวๆและหอมทำให้เข้ากับเนื้อแป้งกรอบๆรสชาติออกมาจึงอร่อยค่ะ
หลังจากนี้เราก็ไปแวะซื้อของฝากพวกมาม่าขนมเล็กๆน้อยแล้วเรากับพี่สาวก็แอบไปหลบในตัวอาคารหลังนึงที่มีห้องน้ำด้วย ปรากฏว่าพวกพี่ๆไกด์ก็ตามเราเข้าไปด้วยเพื่อหลบอากาศหนาว ฮ่าๆ แต่หลับได้ซักระยะนึงเค้าก็ปิดอาคารค่ะ
- จบลงแล้วสำหรับการเที่ยวในกรุงโซลในค่ำคืนนี้ ต่อไปเราจะต้องเดินทางไปสกีรีสอร์ทซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการไปถึงที่นั่น แต่ว่าคุ้มค่ามากค่ะเพราะว่าที่พักสวยบรรยากาศดีมากๆ ชอบที่นี่มากเลย อ่าต่อด้านล่างเลยค่ะ v
v
v
v
v
v
หลังจากเดินตลาดเมียงดงเสร็จซึ่งใช้เวลานานพอสมควรเพราะมีทางแยกเยอะเหมือนก้างปลาเลยค่ะ พอถึงเวลาเราก็ออกเดินทางไปที่พักซึ่งเรียกว่าสกีรีสอร์ท เราเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งอากาศระหว่างทางนั้นหนาวมากฮิตเตอร์ที่อยู่ในรถแทบเอาไม่อยู่ หนาวจนทำให้กระจกรถเริ่มมีน้ำแข็งมาเกาะถ้าเอานิ้วลูบจะทำให้ได้น้ำแข็งรวมกันได้เป็นสีขาวแบบในภาพค่ะ
พอถึงที่พักเราดูไม่ออกเลยค่ะว่ารีสอร์ทวยแค่ไหนยังไงเพราะมันมืดไปหมด แต่ว่ามันจะมีตึกกลางซึ่งตึกนี้จะเป็นที่ที่แขกจะไปรับประทานอาหารโดยตอนเช้าเราจะต้องมาทานอาหารที่นี่ ภายในตึกมีร้านขายของด้วย แต่เค้าไม่ได้ให้เราลงที่นี่นะเค้าพาไปอีกตึกนึงที่เป็นที่พักเราจริงๆ พอไปถึงก็แจกกุญแจและแยกย้ายกันเข้าห้อง ห้องละ 2 คนแต่ถ้าใครมาแบบครอบครัวก็อยู่หลายคนได้เลยเพราะห้องใหญ่มากกกก!!!
- รูปนี้เป็นรูปอาคารกลางที่เราต้องมาทานอาหารในตอนเช้าค่ะ ถ่ายมาไม่ชัดเพราะมือสั่นมากอากาศหนาวมากจริงๆ บริเวณพื้นหญ้าที่เรากำลังเดินอยู่ก็มีน้ำแข็งเกาะเต็มไปหมดเลยค่ะ เรากับพี่สาวลงมาประมาณห้าทุ่มเพราะว่าหิวและอยากไปซื้อของบางอย่าง
ภายในร้านมีของเยอะแยะเลยค่ะทั้งของกินของใช้ คล้ายๆกับเซเว่นเลย มองไปเห็นตู้ไอติมอยากกินนะคะแต่ว่าอากาศหนาวเกินไปคงกินไม่ได้ ฮ่าๆ ราคาก็ประมาณชิ้นละ 30 บาทขึ้นไป
ก่อนอื่นเราขอนำเสนอห้องพักก่อนเลย เราชอบห้องพักมาก เลยถ่ายมาหลายมุม ในหนึ่งห้องจะมีห้องนอน 2 ห้อง ห้องแรกไม่มีห้องน้ำ ส่วนห้องที่สองเป็นห้องน้ำในตัวค่ะ และนอกจากนั้นก็มีห้องน้ำด้านหน้าห้องใหญ่มาก แล้วก็มีโซนที่ดูทีวี ทีวีเครื่องใหญ่ดี แล้วก็มีโซนห้องครัวเราชอบโซนนี้เพราะว่าเค้ามีอุปกรณ์ทุกอย่างให้ทั้งถ้วย จาน หม้อ มีด แก้วขนาดต่างๆ และอีกเยอะเลยเพราะฉะนั้นเราจึงสามารถทำอาหารภายในห้องนั้นได้สบายเลยค่ะ
ห้องนอนห้องที่ 1
ห้องนอนห้องที่ 2 (ห้องใหญ่กว่าห้องที่1 และมีห้องน้ำในตัวด้วย)
ห้องน้ำห้องใหญ่
ห้องน้ำห้องเล็ก(อยู่ในห้องนอนห้องที่2)
โซนนี้เป็นห้องนั่งเล่นพร้อมทีวีเครื่องใหญ่
โซนนี้เป็นโซนห้องครัวมีอุปกรณ์พร้อมเลยค่ะ
สังเกตปลั๊กนะคะ ของเกาหลีจะเป็นแบบนี้แหละเพราะฉะนั้นคนรับผิดชอบทัวร์จะเอาปลั๊กให้เราเพื่อที่จะเชื่อมต่อปลั๊กที่เกาหลีได้
และนี่ก็เป็นอย่างหนึ่งที่เราคิดว่ามาเกาหลีแล้วต้องได้ชิม นั่นก็คือ โซจูซึ่งเป็นเหล้าเกาหลีถ้าดูในซีรีย์จะเห็นว่าทั้งชายทั้งหญิงจะดื่มกันบ่อยมากโดยเฉพาะหลังเลิกงาน พี่ไกด์บอกว่าโซจูสามารถดูความแรงได้ 3 แบบโดยดูจากกบที่อยู่บนฉลาก
- แบบที่ 1 กบไม่อ้าปาก ความแรงของเหล้าไม่แรงมาก
- แบบที่ 2 กบอ้าปาก ความแรงของเหล้าปานกลาง
- แบบที่ 3 กบอ้าปากและมีน้ำลายไหล อันนี้แรมากค่ะ
เค้ายังบอกอีกว่าแบบที่ 3 ค่อนข้างหายากมากค่ะ
*** ต้องขอบอกก่อนว่าเราอายุ 25 อัพแล้วนะคะก็เลยขอลองดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เห็นในซีรีย์มานาน ฮ่าๆ ถ้ามีเด็กเข้ามาอ่านกรุณาอย่าเลียนแบบนะคะ!
สำหรับรสชาติของโซจูนั้นออกจากขมๆและหวานเล็กน้อย กลิ่นหอมดีค่ะ ความแรงก็พอตัวเลยค่ะเราดื่มไปสองแก้วเล็กๆก็มึนมากแล้ว ถ้าเทียบกับเบียร์ของไทยก็ถือว่าโซจูแรงเลยล่ะ
นอกจากโซจูแล้วเรากับพี่สาวก็ต้มมาม่าโดยใช้หม้อที่เค้าเตรียมไว้ให้ และก็มีข้าวห่อสาหร่ายที่เราทำตั้งแต่ช่วงเช้าๆเค้าให้เราห่อมากิน อร่อยมากค่ะ อันนี้เป็นข้าวห่อสาหร่ายที่เราทำเราเอามาหั่นเป็นชิ้นๆทำให้ดูน่าทานขึ้นเยอะเลย
และนี่ก็เป็นวิวด้านหลังรีสอร์ทซึ่งขอบอกว่าสวยมากๆเลยค่ะถึงแม้อากาศจะหนาวสุดๆแต่เรายอมทนดู ที่เราถ่ายมาได้มันดูมืดๆไม่มีอะไรเลย แต่วิวในสถานที่จริงนั้นมันสวยมากมันจะมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจนดวงเล็กๆก็ยังเห็นได้ชัด แถมมีไฟที่เปิดอยู่ด้านล่างสลัวๆ และด้านหลังภูเขาจะมีไฟระเรื่ออยู่รวมกันแล้วสวยมากเลยค่ะ
เรากับพี่สาวนอนประมาณหกทุ่มเพราะกว่าจะมาถึงรีสอร์ทก็ดึกแล้ว ในห้องมีห้องนอนสองห้องแต่เรากับพี่สาวนอนด้วยกันในห้องใหญ่ ห้องนอนจะไม่มีเตียงให้แต่เค้าจะมีตู้เก็บผ้าห่มกับผ้าปูที่นอนและหมอนเก็บไว้ในตู้โดยให้เราไปเอามาปูนอนเองค่ะ ให้ปูนอนกับพื้นเลย แต่ผ้าปูพื้นก็หนาและนุ่มมากนะคะ เค้าบอกว่ามีบางคนไม่รู้ว่าอันไหนเป็นผ้าห่มอันไหนเป็นผ้าปูที่นอน เค้าเลยไปเอาผ้าปูที่นอนมาห่มเพราะนึกว่าผ้าห่มทำให้คืนนั้นปวดตัวมากเพราะผ้าปูที่นอนมันหนัก ฮ่าๆ ที่พื้นห้องนอนมันอุ่นๆนะเราคิดว่าฮิตเตอร์น่าจะอยู่ด้านล่างของพื้นห้องค่ะทำให้มีไออุ่นออกมาจากพื้นนั่นเอง ถึงอากาศข้างนอกจะหนาวแค่ไหนแต่ในห้องนั้นอบอุ่นดีค่ะ
นี่เป็นตู้ที่เก็บเครื่องนอนทั้งหมด
ด้วยความที่พี่เราเป็นนักวิทยาศาสตร์เพราะงั้นการทดลองจึงอยู่ในสายเลือด ฮ่าๆ พี่เราลองเอาขวดน้ำวางไว้นอกห้องเพราะอยากรู้ว่าอากาศหนาวประมาณนั้นจะมีผลกับของเหลวในขวดยังไงบ้างผลปรากฏว่า...
น้ำในขวดกลายเป็นน้ำแข็งทั้งขวดเลยค่ะ!
เช้าวันนี้เค้าให้ไปทานข้าวที่ตึกกลางแต่ด้วยความที่เรามึนๆจากโซจูบวกกับวันมามากมาวันแรกก็เลยนอนต่อไม่ไปทานข้าวเลย แต่ซักพักก็มาเก็บของและอาบน้ำแล้วก็มาดูวิวด้านหลังห้องพักเพราะอยากรู้ว่าวิวสวยๆที่เราเห็นเมื่อคืนนั้นตอนเช้าจะสวยแค่ไหน ปรากฏว่าในตอนเช้าก็สวยไม่แพ้ตอนกลางคืนเลย วิวสวยอากาศ
สดชื่นถึงจะหนาวไปหน่อยแต่รวมๆแล้วมันดีมากเลยค่ะ
พอเก็บของขึ้นรถเรียบร้อยพวกเราก็ยังจะเที่ยวอีกถึงประมาณช่วงบ่ายๆเพราะฉะนั้นยังมีเรื่องมาเล่าต่ออีกเรื่อยๆ ขอเล่าถึงตรงนี้ก่อนเดี๋ยวจะมาเล่าต่อนะคะ
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google