โมเม จบสัมพันธ์รัก คิว แง้มเดินหน้าต่อในฐานะเพื่อน

หลังจากคบหากันมานานประมาณ 3 ปี ล่าสุด "โมเม - นภัสสร บุรณศิริ" ก็เปิดอกบอกตรงๆ ว่าได้ตัดสินใจจบความสัมพันธ์รักกับ "คิว - เตมี คุปต์ธนโรจน์" แล้ว โดยให้เหตุผลว่า "ก็จริงๆ แล้วเป็นการคุยกัน เราก็ยอมรับตรงๆ ว่าเราเป็นคนบอกคุณคิวเองว่าเราขอกลับมาอยู่ในความเป็นตัวของเรา อาจจะพักความสัมพันธ์ของเราสักพักหนึ่งก่อนค่ะ เพราะว่าส่วนหนึ่งเราก็เห็นด้วยว่าพอมันโตแล้ว มันก็มีการโตแยกกันไปคนละทาง สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในชีวิตของเขา มันก็ดีในแบบหนึ่งของเรา แต่ว่าความก้าวกระโดดของเราในทุกๆ อย่าง เรายอมรับว่ามันทำให้เขาแคชอัปลำบาก มันก็ค่อนข้างเหนื่อยพอสมควร จริงๆ แล้วหลักๆ คือคุยกันแล้วเรามองไม่เหมือนจุดเดิมตอนที่เราคบกันน่ะค่ะ แต่ไม่ได้พูดว่าคุณคิวไม่ดีเลย คุณคิวเป็นคนดีมาก เอาจริงๆ แล้วอาจจะเป็นคนที่ดีสุดที่เราเคยคบด้วยซ้ำ แต่ว่าสิ่งที่เรามอง อนาคตที่เรามอง มันอาจจะไม่ตรงกัน"
สาว โมเม ยืนยันสาเหตุที่เลิกกันไม่ใช่เพราะมือที่สามอย่างแน่นอน "ไม่มีค่ะ ไม่มีทั้งคู่ค่ะ" เมื่อถามถึงคำพูดที่ว่ามองอนาคตไม่ตรงกันหมายถึงการสร้างครอบครัวหรือเปล่า เจ้าตัวก็ตอบว่า "จริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการอยากมีครอบครัวนะ แต่คือเหมือนในช่วงที่ผ่านมา เราเดินทางเยอะ ด้วยหน้าที่การงานที่เราทำ มันก็ค่อนข้างทำให้เวลาที่จะใช้ด้วยกันมันน้อยลงไปมาก แล้วก็จากที่เคยเห็น หลายๆ คนอาจจะจำได้ว่าคุณคิวมักจะไปดูโมไปทำงานหรืออะไรต่างๆ พองานเราไม่ได้อยู่ในประเทศ มันก็หาเวลาใช้ด้วยกันลำบากค่ะ มันก็ค่อนข้างยากขึ้นเรื่อยๆ" สาวคนนี้เปิดใจเป็นฝ่ายตัดสินใจขอจบความสัมพันธ์เอง "เรายอมรับเลยว่าเราเป็นคนตัดสินใจ เขาเป็นคนที่น่ารักมาก ที่พอเราตัดสินใจแล้ว คุยกันแล้ว เขาก็รับฟัง แล้วเขาก็รับได้"

โมเม เปิดใจถึงความรู้สึกที่ต้องยุติสถานะแฟนกับหนุ่ม คิว ว่า "เราว่าการจบความสัมพันธ์ในทุกรูปแบบมันน่าเสียใจหมดแหละ แต่ว่ามันจบแล้ว มันยังไงต่อ มันสามารถที่จะเป็นเพื่อนกันได้ไหม ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ แล้วก็มีการพูดคุยกันอยู่เรื่อยๆ ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง งานดีเจเป็นยังไง ยังทำอะไร" นักร้องสาวแง้มความเป็นไปได้ที่จะกลับมาคบหากันอีกครั้งว่า "อันนี้จริงๆ เราตอบเรื่องอนาคตไม่ได้ แต่อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้เลิกกันด้วยความรู้สึกว่าเราเกลียดกัน หรือว่าใครทำอะไรไม่ดี มันคือแค่การที่มันไปต่อไม่ได้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้ามันจะมีโอกาสกลับมาคบกัน มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไง"