#รีวิวอัลบั้ม i like it when you sleep for you are so beautiful yet so unaware of it - The 1975

11 มี.ค. 59 14:19 น. / ดู 660 ครั้ง / 1 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
ป็อบประชดประชัน



Intro
.
.
ต้องยอมรับเลยว่า วงการเพลงร็อคสมัยนี้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ วงร็อคอัลเทอเนทีฟหลายวงฉีกแนวไปทำเพลงป็อบ พึ่งพาดนตรีอิเล็กโทรนิคมากขึ้น ตอนแรกๆอาจรับไม่ได้ แต่ตอนนี้น่าจะกลายเป็นเรื่องที่เคยชินสำหรับนักฟังเพลงไปแล้วล่ะครับ แต่การที่ศิลปินตัดสินใจจะเบนสายไปทางนี้ก็ต้องตัดสินใจอย่างหนักเช่นกันครับ ถ้ามีความสามารถในการพัฒนาลูกเล่นทางดนตรีและมีไอเดียในการคิดคอนเซปต์เพลงที่ดีพอ คุณก็ได้ไปต่อ แต่ถ้ามีลูกเล่นที่ไม่เด็้ดพอ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำตามกระแส ซึ่งส่งผลไม่ดีในอนาคตอย่างแน่นอน วงนี้ก็เช่นกันครับ The 1975 วงร็อคอัลเทอเนทีฟจากเมืองผู้ดีอังกฤษแมนเชสเตอร์ ทีหันเหมาทาง Pop ตามวงอื่นๆกับเค้าบ้าง perception แรกที่ผมเห็นจากสัญลักษณ์ใหม่ของทางวงที่เปลี่ยนจากธีมมืดๆลึกลับ มาเป็นหลอดนีออนสีชมพูแบ็คกราวขาวๆสะอาดสะอ้าน เป็นอะไรที่อดห่วงไม่ได้เลยว่า วงนี้คงไหลไปตามกระแสป็อบเต็มรูปแบบแล้วล่ะมั้ง แต่ถ้าลองมองในอีกมุมนึงมันคงเป็นอะไรที่ท้าทายแฟนเพลงมากพอสมควร คุณจะยอมฟังผลงานเค้าต่อหรือไม่ ถ้าหากอุดมการณ์ของวงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ จะดีเหรอ ?
ถึงอุดมการณ์จะเปลี่ยน แต่สมาชิกของวงยังอยู่ครบ ไม่อันตธานหายไปไหนเสียก่อน อาทิเช่น Matthew Healy ฟร้อนแมนร้องนำมือกีตาร์ ขวัญใจสาวๆ Adam Hann มือกีตาร์ Ross McDonald มือเบส และ George Daniel มือกลอง อัลบั้มชุดนี้ได้ Mike Crossey หนึ่งในสมาชิกวงลิงขั้วโลกเหนือ Arctic Monkeyมาทำหน้าที่โปรดิวเซอร์คุมงานเพลงชุดนี้อีกเช่นเคย ด้านเนื้อเพลง Matty ยังคงรับหน้าที่แต่งเพลงเองเกือบทุกแทร็ค นอกจากนี้ Matty ยังเผยว่างานเพลงชุดนี้ได้อิทธิพลแนวเพลงมาจากหลากหลายศิลปิน ไม่ว่าจะเป็น D'Angelo, Roberta Flack, My Bloody Valentine's Loveless, Boards of Canada และ Sigur Rós ผสมปนเปกัน จะออกมาเป็นยังไง เริ่มรีวิวตั้งแต่ต้นจนจบ

1
.
.

https://www.youtube.com/watch?v=TJ5bZuUlftI

https://www.youtube.com/watch?v=hXaU0QzByIM


เปิดด้วยอินโทร The 1975 อันน่าคุ้นเคย กอสเปลมาเต็มให้อารมณ์เฉิดฉายไม่ลึกลับเหมือนชุดที่แล้ว Love me ซิงเกิ้ลเปิดตัวที่มาพร้อมกับรีฟกีตาร์จี๊ดจ๊าดสุดฤทธิ์ เนื้อหาก็ใช่ย่อย จิกกัดโลกโซเชี่ยลที่ออกแนวจอมปลอมได้แสบสัน พอบ่งบอกภาพลักษณ์โดยรวมของอัลบั้มชุดนี้ได้ ส่วนเอ็มวี**เพี้ยนหลุดโลก ต่อด้วย UGH ! เพลงนี้ first impression เข้าอย่างจัง อิเล็กโทรป็อบเรียบๆแต่แฝงลูกเล่นได้น่าสนใจมากๆ เมโลดี้ฟังเพลินจนลืมเนื้อหาไปเลยว่า เพลงมันว่าด้วยเรื่องประสบการณ์ที่แมตกำลังจะเลิกพี้โคเคน ในขณะเดียวกันต้องต่อสู้กับอาการลงแดงไม่ได้พี้โคเคนให้ผ่านพ้นไปได้ A Change Of A Heart ซาวนด์ 80 มาแบบช้าๆเมโลดี้จั๊กกะจี้ เสียงร้องของแมตมีความละเมียดละไม แฟนเพลงน่าจะชื่นชอบได้ไม่ยาก เริ่มกลับสู่สไตล์อันคุ้นเคยในเพลง She's American เพลงจังหวะคึกคัก ดิสโก้ป็อบ ท่อนฮุกติดหู การเล่นคอร์ดในเพลงนี้ยังคงความเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเก้าเจ็ดห้าเหมือนในชุดที่แล้ว เพิ่มลูกเล่นด้วยแซ็คโซโฟนเป็นการตบท้ายเพลง ต่อด้วยแจ๊สช้าๆ If I Believe You มาแบบเงียบๆชิวๆ คอรัสเด่น Matty ยังคงเล่นเนื้อหาเสียดสีความเชื่อทางศาสนาที่เจ้าตัวคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ ถือเป็นเซอร์ไพร์สแฟนเพลงที่จะได้เห็นพวกเขาทำเพลงแจ๊สในแบบที่ไม่เคยฟังมาก่อน

2
.
.
ทางวงยังคงใส่เพลงบรรเลงมาให้เราฟังคั่นเวลาเล่นๆ เพิ่มความเป็น abstract ลงในอัลบั้ม แต่ละเพลงยาวใช้ได้เลยทีเดียว เริ้่มที่ Please Be Naked เปียโนบรรเลงฟังดูไม่หวาบหวามเอาเสียเลย แต่ถ้าลองตั้งใจฟังดีๆ จะมีเสียงครวญครางบนเตียงแบบเบาๆไม่โฉ่งฉ่าง โดนดนตรีกลบซะเยอะ LostMyHead เป็น Instrument ที่ผมชอบมากที่สุดในอัลบั้มชุดนี้แล้วล่ะครับ เพราะมีไล่ระดับทางดนตรีได้ดีมากๆ แรกๆมาแบบเรียบๆมีซาวนด์กีตาร์คอยเป็นแบ็คกราวพลางๆบวกเสียงร้องเบาๆมันให้ความรู้สึกเท่ห์ และเพิ่มด้วยรีฟกีตาร์โหยหวนแรงๆสร้างจุดพีค มันให้ความรู้สึกที่ไม่น่าเบื่อแต่อย่างใด ปกติผมโคตรเบื่อแทร็คที่เป็นเพลงบรรเลงเลยล่ะ แต่แทร็คบรรเลงแทร็คนี้ทำให้ผมสะดุด จนไม่อยากกดข้ามไปเลยล่ะครับ ผิดกับแทร็คที่แล้ว Please Be Naked กับ i like it when you sleep .... Title Track อัลบั้มชุดนี้ที่นอกจากจะยาวแล้ว ยังน่าเบื่ออีกต่างหาก ยิ่งแทร็คหลังนี่**คล้าย Owl City ชัดๆ

3
.
.

https://www.youtube.com/watch?v=FSnAllHtG70

มาพูดถึงเพลงเต็มกันดีกว่าเริ่มจาก The Ballad Of Me And My Brain ดนตรีค่อนข้างมั่วๆไปนิดนึง ทางวงอาจจะตั้งใจให้ดนตรีมันไปในทิศทางนี้เพื่อให้คอนเซปต์ของเพลงที่ Matty จะต้องต่อสู้กับความรู้สึกอันสับสนและกระวนกระวายของเขาก็เป็นไปได้ Somebody Else อิเล็กโทรป็อบกลิ่นอายอาร์แอนด์บี ให้อารมณ์เหงาๆ Matt ถ่ายทอดอารมณ์เฮิร์ทได้เป็นอย่างดี เกลียดจริงๆเวลาที่เห็นแฟนเก่าของเราดันไปควงคนอื่นเสียแล้ว เพลงนี้น่าจะโดนใจใครหลายคน โหยหาความรักครั้งใหม่กับ Loving Someone ให้อารมณ์ดาร์กพอๆ เพิ่มความเป็นฮิพฮอพเข้าไปพอเป็นพิธี แปลกใหม่ดี The Sound ลีดซิงเกิ้ลเพลงสไตล์นิวเวฟ ป็อบได้สุดตรีนมาก ฟังครั้งแรกกูนึกว่าเพลงประกอบการ์ตูนวอล์ท ดิสนี่ย์ แถมเนื้อหานี่โคตรเสียดสี Haters สุดๆเลยล่ะครับ This Must Be My Dream เพลงจังหวะคึกคัก อินโทรทำออกมาได้งดงาม กรุ้งกริ้งมุ้งมิ้งได้อีก ฟังแล้วสดใสซาบซ่า

4
.
.
3 แทร็คสุดท้ายของชุดนี้น่าจะเป็นอะไรที่เซอร์ไพร์สแฟนเพลงอยู่เหมือนกัน เพราะป็อบเต็มสูบมากๆ แทบไม่ต่างอะไรจากวงบอยแบรนด์มากกว่าวงดนตรีด้วยซ้ำ เริ่มจาก Paris ป็อบจังหวะกลางๆ เมโลดี้สวยๆ เพลงนี้ฟังผิวเผินแล้วน่าจะเป็นอะไรที่โรแมนติก ชวนแฟนไปเที่ยวปารีสอะไรยังงี้ แต่เนื้อหาจริงๆแล้วมันไม่โรแมนติกเอาเสียเลยครับ เหมือน Matty พยายามจะไปปารีสอีกครั้ง เพื่อหลีกหนีความยุ่งเหยิงในชีวิตที่ถาโถมเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นความรักที่ไม่ค่อยราบรื่น ปัญหาติดยาที่ยังคงรบกวนจิตใจไม่หยุดหย่อน Paris จึงเป็นเมืองที่แมตตี้พอรำลึกถึงเศษเสี้ยวความทรงจำดีๆเหล่านั้นได้ ต่อด้วย Nana อคลูสติกใสๆละเมียดละมัยแต่เนื้อหาแอบเศร้า เพราะแมตตี้แต่งเพลงนี้อุทิศให้กับยายที่จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ ปิดท้ายด้วย She Lays Down อคลูสติกโฟล์กซอง เคล้าด้วยเสียงร้องเบาๆจากแมตตี้ ออกแนวละม้ายคล้าย Ed Sheeran อยู่ไม่น้อย โดยเพลงนี้แมตตี้ได้แรงบันดาลใจมาจากแม่ของแมตตี้ที่เผชิญปัญหาโรคซึมเศร้าและติดโคเคนงอมแงม ถึงเพลงนี้จะออกแนวชิวๆ แต่ผู้ฟังก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้าสะเทือนใจที่มาจากเพลงนี้ได้โดยไม่รู้ตัว ปิดอัลบั้มด้วยความรู้สึกเศร้าเปล่าเปลี่ยว ทุกข์ระทมขมขื่นสุดๆ

Outro
.
.
การฉีกภาพลักษณ์จากอัลเทอเนทีฟป็อบพังค์มาเป็นป็อบเสียงสังเคราะห์เต็มรูปแบบครั้งนี้ ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่งเลยล่ะครับ สัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากผลงานป็อบทั่วๆไปอย่างแน่นอน โปรดักชั่นมันไม่ได้มาจาก Dr.Luke , Max Martin หรือ Ryan Tedder แต่อย่างใด เราสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นป็อบอินดี้ได้อย่างชัดเจน มันเป็นเพลงป็อบที่ไม่ใช่ป็อบทั่วๆไปที่ว่าด้วยเรื่องความรักความใคร่เพียงอย่างเดียว มันแฝงไปด้วยไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างอันตราย เอาเรื่องยาเสพติดกับเรื่องเพศที่ออกแนวสองแง่สองง่ามมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่เหมาะกับลูกเล็กเด็กแดงเลยล่ะ

The 1975 เลือกที่จะคงเอกลักษณ์ของตัวเองไม่หนีไปไหน สังเกตได้จากเนื้อหาของเพลงที่ยังคงความเป็นเพลย์บอยลั้ลลา ใช้ชีวิตแบบร็อคสตาร์รักสนุกไม่ผูกพันธ์กับใครทั้งสิ้น ด้านภาคดนตรีโดยรวมแทนที่จะเอาดัพเสต็บหรืออีดีเอ็ม ทางวงเลือกที่จะผสมดนตรีอิเล็กโทรป็อบเข้ากับดนตรีดิสโก้ยุค 80 บ้าง โซล อาร์แอนด์บี กอสเปล แจ๊ส และแอมเบี้ยนมาผสมปนเปกัน ไม่ได้ตามชาวบ้านซะทีเดียวครับ ลูกเล่นที่มีหลากหลายรูปแบบ หยิบโน่นหยิบนี่มาผสมกัน เสียงสังเคราะห์ที่ไม่ซ้ำรูปแบบ และเนื้อหาที่มีทั้งสนุก แสบสันต์ ดาร์ก เหงา เศร้าปะปนกันไป มันทำให้เพลงในชุดนี้มีความหลากหลาย มีสีสันมากกว่าเดิม ไม่ซ้ำซากจำเจ ทำให้ผู้ฟังสามารถเพลิดเพลินได้ตั้งแต่ต้นจนจบ นี่แหละคือข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าอัลบั้มชุดแรกที่ไปทางพังค์ อีโม ป็อบร็อคเพียงอย่างเดียว ข้อเสียของอัลบั้มชุดนี้คงอยู่ที่ instrument เนี่ยแหละครับ มันออกแนวเวิ่นเว้อ ยืดยาดไป ออกแนวฆ่าเวลาซะมากกว่า ถ้าผมมีเวลาจำกัด ผมเลือกที่จะกดข้ามเพลงเหล่านั้นเลยล่ะครับ อย่างไรก็ดีผลงานชุดนี้มีดีอยู่พอสมควร ไมได้ให้ความรู้สึกที่ฉาบฉวยจนเกินไป ฟังได้เรื่อยๆในระยะยาว ถึงการถ่ายทอดทางด้านเนื้อหาอาจจะไม่ลึกซึ้งมากพอจนเกิดจุดพีคในความรู้สึก แต่มันก็เป็นความบันเทิงฟังแล้วไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าอย่างแน่นอน
การเปลี่ยนแนวเพลงในครั้งนี้ทำให้ผมเดาทางยากเหมือนกันว่า The 1975 จะไปได้ไกลพอรึเปล่า ขึ้นอยู่ว่า ปรับตัวเก่งพอรึเปล่า

Top Tracks : UGH ! , Love Me , Somebody Else , If I Believe You , A Change Of A Heart , She's American , LostMyHead

Give 7.5/10


ฝากกด Like Page Facebook ด้วยครับ : https://www.facebook.com/fungpaifungma
เลขไอพี : ไม่แสดง | ตั้งกระทู้โดย Windows 7

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | McMiller | 13 มี.ค. 59 14:02 น.

ขอบคุณสำหรับ รีวิว ดีดีครับ
ผมยังชอบอัลบั้มเก่ามากกว่า ยังปรับตัวไม่ได้ ฮ่าๆๆ

ไอพี: ไม่แสดง | โดย MacOS

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google