เรื่องราวซึ้งๆของ"ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย"
2 มิ.ย. 59 08:49 น. /
ดู 980 ครั้ง /
0 ความเห็น /
1 ชอบจัง
/
แชร์
สวัสดีครับ วันนี้เว็บ16Lao ขออาสานำเรื่องราวดีๆและซึ้งๆเกี่ยวกับข้าวเปล่าหนึ่งถ้วยมาฝากกันครับผม ซึ่งหวังว่าจะเป็นข้อคิดดีๆให้กับใครหลายๆคนได้
เรื่องราวมีอยู่ว่า ค่ำวันหนึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเหมือนนักศึกษากำลังลังเลอยู่หน้าร้านบุฟเฟต์แห่งหนึ่ง เมื่อลูกค้าส่วนมากออกจากร้านแล้ว เขาจึงเดินเข้าร้านมาด้วยอาการเขินอาย ขอข้าวเปล่าถ้วยหนึ่ง ขอบคุณครับ เด็กหนุ่มก้มหน้าพูด หลังจากนั้นเจ้าของร้านบุฟเฟต์เพิ่งเปิดใหม่เป็นเถ้าแก่หนุ่มสาวคู่หนึ่ง เห็นเด็กหนุ่มไม่เอากับข้าวก็รู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เขารีบตักข้าวพูนถ้วยส่งให้กับเด็กหนุ่มคนนั้น เด็กหนุ่มจ่ายเงินพร้อมกับพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า ผมขอน้ำแกงราดบนข้าวสักหน่อยได้ไหมครับ? เถ้าแก่เนี้ยเลยบอกว่า ตามสบายเลยค่ะ ไม่คิดตังค์ เด็กหนุ่มคนนั้นกินไปได้ครึ่งถ้วย ก็สั่งอีกถ้วยหนึ่ง หลังจากนั้น เถ้าแก่พูดด้วยความเอาใจใส่ว่า ไม่อิ่มใช่ไหม? ถ้วยนี้เดี๋ยวผมตักให้คุณมากหน่อย เด็กหนุ่มเลยตอบว่า ไม่ใช่ครับ ผมเอาใส่กล่อง พรุ่งนี้จะเอาไปกินที่มหาลัยนะครับ เมื่อเถ้าแก่ได้ยิน ก็เดาออกว่า เด็กหนุ่มคนนี้คงมาจากต่างจังหวัดในเขตภาคใต้เป็นแน่ ฐานะที่บ้านคงไม่สู้จะดีนัก เขาคงมาเรียนที่ไทเป(เมืองหลวงของไต้หวัน) คนเดียว และคงจะทำงานและก็เรียนไปด้วย ดูก็รู้ว่าเด็กคนนี้คงจะลำบากอยู่ไม่น้อย เขาจึงตักโร่วจ้าว (เนื้อเคี่ยวซอสสำหรับราดบนข้าว)ใส่ไว้ที่ใต้กล่องข้าว จากนั้นก็เอาไข่ตุ๋นชาใส่ไปหนึ่งฟอง จากนั้นจึงตักข้าวอัดไปเต็มกล่อง มองดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในกล่องข้าว นอกเสียจากข้าวเปล่า เมื่อภรรยาของเขาเห็นดังนั้น ก็เข้าใจในสิ่งที่สามีกำลังทำว่าต้องการช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ราดโร่วจ้าวไว้บนข้าว จะใส่ไว้ใต้ข้าวทำไม เถ้าแก่กระซิบบอกภรรยาว่า เด็กผู้ชายรักศักดิ์ศรี หากเขาเห็นว่าบนข้าวมีโร่วจ้าวเขาอาจคิดว่าเราทำทานแก่เขา หากเป็นอย่างนี้ คราวหน้าเขาจะไม่กล้ามาอีก ถ้าเขาไปกินร้านอื่นก็ได้กินแต่ข้าวเปล่า แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปเรียนหนังสือ ! ภรรยาเลยพูดกับสามีว่า คุณเป็นคนดีจริงๆ จะช่วยเขายังกลัวเขาอายอีก เถ้าแก่หนุ่มหยอกเย้าผู้เป็นภรรยาว่า หากผมไม่ดี คุณจะแต่งงานกับผมเหรอ! ขอบคุณครับ ผมอิ่มแล้ว แล้วเจอกันใหม่ครับ เด็กหนุ่มพูดจบก็หยิบข้าวกล่องแล้วเดินออกจากร้านไป เมื่อเด็กหนุ่มถือข้าวกล่องที่ดูหนักกว่าข้าวเปล่าออกจากร้านไป ก็หันมายิ้มให้เจ้าของร้านทั้งสอง สู้ๆนะ พรุ่งนี้พบกันใหม่ เถ้าแก่พูดและโบกมือให้กับเด็กหนุ่มคนนั้น ในคำพูดประโยคนั้นของเขาแฝงด้วยคำเชิญให้เด็กหนุ่มมากินข้าวที่นี่ใหม่ในวันพรุ่งนี้ เด็กหนุ่มน้ำตาคลอ ไม่กล้าหันไปมองเจ้าของร้าน กลัวว่าน้ำตาจะร่วงให้เขาทั้งสองเห็น หลังจากนั้นเป็นต้นมา นอกจากว่าเป็นช่วงปิดเทอม พลบค่ำของทุกวัน เด็กหนุ่มก็จะมากินข้าวที่ร้าน เขาสั่งข้าวเปล่าหนึ่งถ้วยและข้าวเปล่าหนึ่งกล่องเอากลับบ้าน และใต้กล่องข้าวก็จะมีอาหารที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน จนเด็กหนุ่มเรียนจบปริญญาตรี ผ่านมา 20 ปีแล้ว ที่ร้านบุฟเฟต์แห่งนี้ไม่ได้ต้อนรับลูกค้าคนพิเศษคนนี้อีกเลย
ในวันหนึ่ง อยู่ๆ ทางการก็ส่งจดหมายมาบอกว่าจะทำการเวนคืนที่และร้านของเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น สองสามีภรรยาอายุใกล้จะ 50 ปี เมื่อรู้ข่าวนี้ต่างก็กลัดกลุ้มใจ ชีวิตต่อไปข้างหน้าจะทำอย่างไร เงินทองที่จะได้จากทางการก็ไม่เพียงพอกับการจัดซื้อบ้านที่มีทำเลดีอย่างนี้ได้อีก แล้วลูกๆ ที่กำลังเรียนอยู่จะหาค่าเทอมมาจากไหน ต่างก็กอดกันร้องไห้ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตอย่างไรดี และในเช้าวันหนึ่ง ชายคนหนึ่งแต่งกายภูมิฐานเข้ามาหาสองสามีภรรยาและพูดว่า สวัสดีครับคุณทั้งสอง ผมเป็นรองผู้จัดการบริษัท... ผู้จัดการใหญ่ของเราต้องการให้คุณเข้าไปทำร้านอาหารบุฟเฟต์ในบริษัทของเราที่กำลังจะทำการเปิดใหม่ในเร็วๆ นี้ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งและอุปกรณ์ต่างๆ ค่าวัสดุในการทำอาหารทางเราจะเป็นผู้รับผิดชอบ ขอเพียงคุณจัดหากุ๊กปรุงอาหารและบริหารงานก็พอ ส่วนกำไรแบ่งครึ่งกับบริษัทของเรา ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงดีกับเราอย่างนี้? เราไม่เคยรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมเลยสักคนเดียว? สองสามีภรรยาต่างทำหน้างงๆ คุณทั้งสองเป็นผู้มีพระคุณของผู้จัดการใหญ่ของเรา ท่านบอกว่าท่านชอบกินไข่ตุ๋นชาและโร่วจ้าวของร้านคุณมาก รายละเอียดผมทราบเพียงแค่นี้ นอกเหนือจากนี้คุณคงจะทราบได้เองเมื่อได้เจอกับผู้จัดการใหญ่ของเรา เมื่อเดินทางไปถึงบริษัท สองสามีภรรยาจึงรู้ว่า ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทนี้ก็คือ เด็กหนุ่มที่มากินข้าวเปล่ายามพลบค่ำทุกวันนั่นเอง หลังจากจบมหาวิทยาลัย เขาก็มุมานะสร้างเนื้อสร้างตัวจนสามารถเปิดบริษัทแห่งนี้ได้ เขาสำนึกบุญคุณข้าวเปล่าที่สองสามีภรรยาให้เขากินตลอดเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัย หากไม่มีสองสามีภรรยาช่วยเหลือเขาในตอนนั้น เขาคงลำบากและไม่สามารถเรียนจนจบได้ เรื่องราวก่อนเก่าแต่หนหลังถูกรื้อฟื้นขึ้นในวงสนทนาเคล้าเสียงหัวเราะและน้ำตา เมื่อถึงเวลาที่สองสามีภรรยาจะลากลับ ชายหนุ่มยืนขึ้นโค้งคำนับพร้อมกับพูดว่า สู้ๆนะครับ ต่อไปนี้บริษัทของเราต้องพึ่งพาคุณแล้วนะ พรุ่งนี้พบกันใหม่
และนี่ก็เป็นเรื่องราวดีๆที่สะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะ การให้ ให้ด้วยความยินดี รับด้วยจิตสำนึกคุณ โลกนี้ยังมีความอบอุ่นอยู่เสมอ ทางเว็บ16Lao http://co.th.16lao.com/ ก็หวังว่าเรื่องราวที่นำมาแชร์ต่อในวันนี้จะสามารถช่วยให้ข้อคิดดีๆกับเพื่อนๆทุกคนได้นะครับผม และก็อยากให้เรื่องราวดีๆแบบนี้เผยแพร่ให้กว้างขวางต่อไป จะได้เป็นแบบอย่างที่งดงามให้สังคมของเรา สุดท้ายขอขอบคุณเรื่องราวดีๆจากโอเคเนชั่น บล็อก บล็อกของคุณครูทิพย์ มา ณที่นี่ด้วยครับผม
.... กระทู้นี้ย้ายมาจากห้องหาเพื่อน ...
ในวันหนึ่ง อยู่ๆ ทางการก็ส่งจดหมายมาบอกว่าจะทำการเวนคืนที่และร้านของเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น สองสามีภรรยาอายุใกล้จะ 50 ปี เมื่อรู้ข่าวนี้ต่างก็กลัดกลุ้มใจ ชีวิตต่อไปข้างหน้าจะทำอย่างไร เงินทองที่จะได้จากทางการก็ไม่เพียงพอกับการจัดซื้อบ้านที่มีทำเลดีอย่างนี้ได้อีก แล้วลูกๆ ที่กำลังเรียนอยู่จะหาค่าเทอมมาจากไหน ต่างก็กอดกันร้องไห้ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตอย่างไรดี และในเช้าวันหนึ่ง ชายคนหนึ่งแต่งกายภูมิฐานเข้ามาหาสองสามีภรรยาและพูดว่า สวัสดีครับคุณทั้งสอง ผมเป็นรองผู้จัดการบริษัท... ผู้จัดการใหญ่ของเราต้องการให้คุณเข้าไปทำร้านอาหารบุฟเฟต์ในบริษัทของเราที่กำลังจะทำการเปิดใหม่ในเร็วๆ นี้ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งและอุปกรณ์ต่างๆ ค่าวัสดุในการทำอาหารทางเราจะเป็นผู้รับผิดชอบ ขอเพียงคุณจัดหากุ๊กปรุงอาหารและบริหารงานก็พอ ส่วนกำไรแบ่งครึ่งกับบริษัทของเรา ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงดีกับเราอย่างนี้? เราไม่เคยรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมเลยสักคนเดียว? สองสามีภรรยาต่างทำหน้างงๆ คุณทั้งสองเป็นผู้มีพระคุณของผู้จัดการใหญ่ของเรา ท่านบอกว่าท่านชอบกินไข่ตุ๋นชาและโร่วจ้าวของร้านคุณมาก รายละเอียดผมทราบเพียงแค่นี้ นอกเหนือจากนี้คุณคงจะทราบได้เองเมื่อได้เจอกับผู้จัดการใหญ่ของเรา เมื่อเดินทางไปถึงบริษัท สองสามีภรรยาจึงรู้ว่า ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทนี้ก็คือ เด็กหนุ่มที่มากินข้าวเปล่ายามพลบค่ำทุกวันนั่นเอง หลังจากจบมหาวิทยาลัย เขาก็มุมานะสร้างเนื้อสร้างตัวจนสามารถเปิดบริษัทแห่งนี้ได้ เขาสำนึกบุญคุณข้าวเปล่าที่สองสามีภรรยาให้เขากินตลอดเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัย หากไม่มีสองสามีภรรยาช่วยเหลือเขาในตอนนั้น เขาคงลำบากและไม่สามารถเรียนจนจบได้ เรื่องราวก่อนเก่าแต่หนหลังถูกรื้อฟื้นขึ้นในวงสนทนาเคล้าเสียงหัวเราะและน้ำตา เมื่อถึงเวลาที่สองสามีภรรยาจะลากลับ ชายหนุ่มยืนขึ้นโค้งคำนับพร้อมกับพูดว่า สู้ๆนะครับ ต่อไปนี้บริษัทของเราต้องพึ่งพาคุณแล้วนะ พรุ่งนี้พบกันใหม่
และนี่ก็เป็นเรื่องราวดีๆที่สะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะ การให้ ให้ด้วยความยินดี รับด้วยจิตสำนึกคุณ โลกนี้ยังมีความอบอุ่นอยู่เสมอ ทางเว็บ16Lao http://co.th.16lao.com/ ก็หวังว่าเรื่องราวที่นำมาแชร์ต่อในวันนี้จะสามารถช่วยให้ข้อคิดดีๆกับเพื่อนๆทุกคนได้นะครับผม และก็อยากให้เรื่องราวดีๆแบบนี้เผยแพร่ให้กว้างขวางต่อไป จะได้เป็นแบบอย่างที่งดงามให้สังคมของเรา สุดท้ายขอขอบคุณเรื่องราวดีๆจากโอเคเนชั่น บล็อก บล็อกของคุณครูทิพย์ มา ณที่นี่ด้วยครับผม
.... กระทู้นี้ย้ายมาจากห้องหาเพื่อน ...
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google