หน้ากากโดรน แห่ง The Mask Singer เฉลยแล้วนะ..เขาคือใครมาดูกัน!

เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เลยทีเดียว สำหรับรายการ "The Mask Singer หน้ากากนักร้อง" ที่ดำเนินมาจนถึงรอบไฟนอลของกรุ๊ป C แล้ว โดยเหลือเพียงแค่รอบตัดสินของกรุ๊ป D เราก็จะได้ตัวหน้ากากปริศนา 4 คนมาปราบเซียนกันจนเหลือ 2 และได้ตัวผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวมาในที่สุด ซึ่งในเทปล่าสุดนี้คือการประชันกันระหว่าง "หน้ากากโดรน" และ "หน้ากากมังกร" ที่จัดได้ว่าเด็ดทั้งคู่ กินกันไม่ลงเลยทีเดียว


การแข่งขันคราวนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยการแสดงเปิดตัวของทั้งคู่ ซึ่งทั้งสองหน้ากากออกมาประสานเสียงร้องทรงพลังในเพลง "Let It Be" ของ "The Beatles" เรียกเสียงกรี๊ดเกรียวกราวจากทั้งคณะกรรมการและผู้ชมในห้องส่ง




แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือหนุ่ม "โต๋ - ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร" ที่วาดฝีไม้ลายมือบรรเลงเปียโนได้แบบไพเราะจับใจ ทำเอาคนที่ได้ฟังต่างก็อึ้งและทึ่งกันหมดเลยทีเดียว




หลังจากนั้นก็เป็นคราวของพ่อหนุ่มโดรนเป็นฝ่ายท้าประลองก่อน โดยหนุ่มคนนี้มาในเพลงไทยอย่าง "คำอธิษฐานด้วยน้ำตา" ของ "โดม - จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม" ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้เพลงสากลเลยทีเดียว งานนี้เล่นเอากรรมการแจกกันเป็นสองเสียง ส่วนหนึ่งเดาว่าหน้ากากโดรนคือ "แอนดี้ เขมพิมุก" ส่วน "ดีเจนุ้ย" กับหนุ่ม โต๋ ขอยืนยันนั่งยันนอนยันว่าใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากโดรนต้องเป็นพิธีกรหนุ่มมากความสามารถอย่าง "พีเค - ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร" แน่นอน มีเพียง "ดี้ - นิติพงษ์ ห่อนาค" เท่านั้นที่ฟันธงว่านี่คือ "บี - พีระพัฒน์ เถรว่อง"




ทางด้านของหน้ากากมังกรก็ไม่น้อยหน้า มาพ่นไฟปล่อยพลังเต็มที่ในเพลงสากล "I Surrender" ของ "Celine Dion" ซึ่งหลายคนให้ความเห็นตรงกันว่าหน้ากากมังกรคือ "บุ๋ม - ปนัดดา วงศ์ผู้ดี"



ฟาดฟันกันมาจนถึงช่วงสุดท้าย ที่หน้ากากมังกรสามารถวคว้าชัยเป็น 1 ใน 4 หน้ากากสุดท้ายได้ในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าหน้ากากโดรนจะต้องถอดหน้ากาก เผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ทุกคนได้เห็นกันแล้ว






พีเค เผยสาเหตุที่เลือกเป็นหน้ากากโดรนว่า "คือผมเป็นคนที่ชอบแกดเจ็ต ชอบเทคโนโลยีอยู่แล้ว อย่างตอนที่เป็นพิธีกร เป็นพิธีกรที่นี่ ผมก็จะมีของเล่นของแกดเจ็ตมาตลอด แล้วพอทีมงานบอกว่าถ้าเกิดจะเป็น The Mask Singer เป็นหน้ากากนักร้อง คุณอยากเป็นอะไร ผมก็บอกเขาเลยว่าผมอยากจะเป็นโดรนที่เดินไก้ ร้องเพลงได้ แล้วก็บินได้"

"คือผมกลับมาเมืองไทยเพราะว่าผมมีความฝันอยากเป็นนักร้อง เมื่อตอนตั้งแต่เด็กจนโต ผมรู้เลยว่าสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าให้มาไม่ใช่หน้าตา แต่เสียง ทุกครั้งที่ผมร้องเพลงเนี่ย จะต้องมีคนหยุดฟัง ซึ่งปกติคนเหล่านั้นจะเป็นกลุ่มคนที่มองข้ามผมเสมอ แต่ทุกครั้งที่ผมหยิบไมค์เมื่อไร จะมีคนใส่ใจ ก็เลยรู้สึกว่านี่เป็นเวทีที่ให้ผมสามารถกลับมาเป็นนักร้องได้ ถึงแม้จะช่วง 1 สัปดาห์ 2 สัปดาห์ หรือ 3 สัปดาห์ แต่ภายใต้หน้ากากนี้ ผมก็สามารถได้รับคำชมจากปรมาจารย์ ซึ่งปกติแล้วถ้าเป็นผมใส่สูทขึ้นมาร้องเพลง กรรมการก็จะมองว่า โอเค พิธีกร อยากฆ่าเวลาแล้วสนุกด้วยการร้องเพลง แต่พอภายใต้หน้ากากนี้แล้ว ทุกอย่างเป็นศูนย์ครับ แล้วการให้คะแนนของคณะกรรมการนี่ถือว่าเริ่มจากศูนย์ไปถึงร้อย แล้วผมต้องขอบคุณอาจารย์และคณะกรรมการทุกคนด้วยนะครับ ที่ทั้งชมทั้งติมาตลอดทุกสัปดาห์ด้วยครับ"




พูดได้สวยและคมมากเลยค่ะสำหรับพิธีกรตัวพ่อของเมืองไทย และหลังจากนี้ก็จะเป็นการประชันกันระหว่าง "หน้ากากจิงโจ้" และ "หน้ากากปลาหมึก" ส่วนใครจะคว้าชัยในศึกนี้ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=wEGjHZ5a9yQ