ความบิดเบือนเรื่อง ขายสมบัติชาติ หลังการแปรรูป ปตท
16 พ.ค. 60 14:16 น. /
ดู 773 ครั้ง /
0 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
ข่าว ซาอุดิอาระเบียเตรียมขายหุ้น IPO ของ Aramco แล้วมามองย้อนถึงสถานการณ์ในประเทศไทย เพราะตั้งแต่มีการแปรรูป ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็มักถูกกลุ่มที่พยายามปลุกระดมทางการเมือง คอยบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการ ขายสมบัติชาติ อยู่เสมอ โดยไม่มองว่าหลังการแปรรูป ปตท รัฐหรือประชาชนได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการแปรรูปในครั้งนั้น
ย้อนกลับไปในปี 2544 ได้มีการจัดจำหน่ายหุ้น บมจ. ปตท. ซึ่งแปรสภาพมาจาก การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จำนวน 920,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 35 บาท รวมมูลค่า 32,200,000,000 บาท เพื่อระดมทุนด้วยเหตุผล สำคัญ 3 ข้อ คือ
1. ปตท. ต้องการเงินทุน เพื่อไปแก้ไขปรับสถานการณ์การเงินบริษัทในเครือทั้งหลาย การที่ ปตท. ระดมทุนในครั้งนี้ถือเป็นผลดีต่อรัฐ เพราะผลกำไรที่เกิดจากบริษัทในเครือก็มีผลต่อบริษัทแม่ และปันผลเป็นรายได้สู่รัฐ โดยที่รัฐไม่ต้องควักเงินลงทุนและถือความเสี่ยงเพิ่ม ซึ่งในเวลานั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจในยุค IMF รัฐยังขาดสภาพคล่องทางการเงิน
2. ปตท. มีโอกาสที่จะได้ลงทุนในอุตสาหกรรมการกลั่น และปิโตรเคมีที่บอบช้ำหนักหลังวิกฤติ ทำให้ราคาถูก อีกทั้งรัฐบาลไม่สามารถจัดสรรงบประมาณมาให้ได้ ปตท. จึงจำเป็นที่จะต้องระดมทุนเพื่อนำเงินไปซื้อโรงกลั่น นั่นหมายความว่ารัฐที่ถือหุ้นใหญ่ใน ปตท. สามารถเป็นผู้กำหนดนโยบายของโรงกลั่น และควบคุมราคาพลังงาน ให้สอดคล้องกับต้นทุนและราคาที่เป็นธรรมกับประชาชน (คำว่าราคาที่เป็นธรรมไม่ได้แปลว่าราคาถูกแบบไม่ลืมหูลืมตา) โดยที่รัฐก็ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
3. รัฐบาลหวังว่า การจำหน่ายหุ้น IPO ปตท. ที่มีขนาดใหญ่ จะปลุกความสนใจในตลาดหุ้นไทยให้กลับมาได้ เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องไกลตัว แต่สำหรับใครที่มีความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจจะเข้าใจว่า การที่ตลาดหุ้นตกต่ำนั้นกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ นักลงทุนให้ความสนใจน้อยลง เงินเข้าประเทศน้อยลง รัฐเก็บภาษีจากการทำธุรกิจต่างๆ ได้น้อย ทั้งยังมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศด้วย
จากผลดังกล่าวจะเห็นว่า การที่ ปตท. แปรรูปเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์นั้นมีผลต่อรายได้รัฐและเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง โดยที่รัฐไม่ต่างจากเสือนอนกิน ที่ไม่ต้องหาเม็ดเงินมาลงทุนในช่วงที่ประเทศรัดเข็มขัด หรือถือความเสี่ยงต่อการลงทุนใดๆ เพิ่มเติม โดยผลจากการแปรรูปในครั้งนั้น จะเห็นว่ารัฐสามารถเก็บรายได้หลังจากการแปรรูปมากขึ้น ทั้งในรูป ภาษีเงินได้และเงินปันผล
แล้วมันคือการขายชาติหรือไม่? ลองดูสถานการณ์ประเทศซาอุดิอาระเบียซึ่งถือเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยปิโตรเลียม การที่ประเทศซาอุดิอาระเบียเตรียมขายหุ้น IPO จำนวน 49% ของบริษัทน้ำมันแห่งชาติ Aramco ในปี 2018 โดยเริ่มต้นจาก 5% ก่อน เพื่อลดการขาดดุล อย่างนี้เรียกว่าขายชาติหรือไม่ล่ะ? อย่าลืมว่าสุดท้ายแล้วสินทรัพย์ในดินก็ยังเป็นของรัฐ แม้จะขายหุ้นออกไป แต่รัฐก็ยังสามารถเป็นผู้กำหนดนโยบายได้เหมือนเดิม การพยายามขายหุ้นก็คือการระดมทุนชนิดหนึ่งที่ทำกันเป็นปกติทั่วโลก คนที่เข้ามาซื้อหุ้นก็คือหนึ่งในผู้ลงทุนที่ถือความเสี่ยง และได้รับปันผลเมื่อบริษัทสามารถทำกำไรได้เช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ของ ปตท. ก็ไม่แตกต่างกัน มันเป็นสากลที่เขาทำกันเพื่อระดมทุน โดยรัฐยังสามารถกำหนดกรอบและนโยบายต่างๆ ได้เช่นเดิม แต่อาจเพราะประเทศไทยมีกลุ่มคนที่พยายามบิดเบือนเรียกคะแนนเสียงอยู่เยอะกระมัง จึงกลายเป็นว่าการระดมทุนในครั้งนั้น มันเป็นการขายสมบัติชาติในสายตาบางคนที่ถูกข้อมูลบิดเบือนไปเสียแล้ว
ที่มา www.รู้จริงพลังงานไทย.com/ทำไมต้องขายสมบัติชาติ/
1. ปตท. ต้องการเงินทุน เพื่อไปแก้ไขปรับสถานการณ์การเงินบริษัทในเครือทั้งหลาย การที่ ปตท. ระดมทุนในครั้งนี้ถือเป็นผลดีต่อรัฐ เพราะผลกำไรที่เกิดจากบริษัทในเครือก็มีผลต่อบริษัทแม่ และปันผลเป็นรายได้สู่รัฐ โดยที่รัฐไม่ต้องควักเงินลงทุนและถือความเสี่ยงเพิ่ม ซึ่งในเวลานั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจในยุค IMF รัฐยังขาดสภาพคล่องทางการเงิน
2. ปตท. มีโอกาสที่จะได้ลงทุนในอุตสาหกรรมการกลั่น และปิโตรเคมีที่บอบช้ำหนักหลังวิกฤติ ทำให้ราคาถูก อีกทั้งรัฐบาลไม่สามารถจัดสรรงบประมาณมาให้ได้ ปตท. จึงจำเป็นที่จะต้องระดมทุนเพื่อนำเงินไปซื้อโรงกลั่น นั่นหมายความว่ารัฐที่ถือหุ้นใหญ่ใน ปตท. สามารถเป็นผู้กำหนดนโยบายของโรงกลั่น และควบคุมราคาพลังงาน ให้สอดคล้องกับต้นทุนและราคาที่เป็นธรรมกับประชาชน (คำว่าราคาที่เป็นธรรมไม่ได้แปลว่าราคาถูกแบบไม่ลืมหูลืมตา) โดยที่รัฐก็ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
3. รัฐบาลหวังว่า การจำหน่ายหุ้น IPO ปตท. ที่มีขนาดใหญ่ จะปลุกความสนใจในตลาดหุ้นไทยให้กลับมาได้ เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องไกลตัว แต่สำหรับใครที่มีความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจจะเข้าใจว่า การที่ตลาดหุ้นตกต่ำนั้นกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ นักลงทุนให้ความสนใจน้อยลง เงินเข้าประเทศน้อยลง รัฐเก็บภาษีจากการทำธุรกิจต่างๆ ได้น้อย ทั้งยังมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศด้วย
จากผลดังกล่าวจะเห็นว่า การที่ ปตท. แปรรูปเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์นั้นมีผลต่อรายได้รัฐและเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง โดยที่รัฐไม่ต่างจากเสือนอนกิน ที่ไม่ต้องหาเม็ดเงินมาลงทุนในช่วงที่ประเทศรัดเข็มขัด หรือถือความเสี่ยงต่อการลงทุนใดๆ เพิ่มเติม โดยผลจากการแปรรูปในครั้งนั้น จะเห็นว่ารัฐสามารถเก็บรายได้หลังจากการแปรรูปมากขึ้น ทั้งในรูป ภาษีเงินได้และเงินปันผล
แล้วมันคือการขายชาติหรือไม่? ลองดูสถานการณ์ประเทศซาอุดิอาระเบียซึ่งถือเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยปิโตรเลียม การที่ประเทศซาอุดิอาระเบียเตรียมขายหุ้น IPO จำนวน 49% ของบริษัทน้ำมันแห่งชาติ Aramco ในปี 2018 โดยเริ่มต้นจาก 5% ก่อน เพื่อลดการขาดดุล อย่างนี้เรียกว่าขายชาติหรือไม่ล่ะ? อย่าลืมว่าสุดท้ายแล้วสินทรัพย์ในดินก็ยังเป็นของรัฐ แม้จะขายหุ้นออกไป แต่รัฐก็ยังสามารถเป็นผู้กำหนดนโยบายได้เหมือนเดิม การพยายามขายหุ้นก็คือการระดมทุนชนิดหนึ่งที่ทำกันเป็นปกติทั่วโลก คนที่เข้ามาซื้อหุ้นก็คือหนึ่งในผู้ลงทุนที่ถือความเสี่ยง และได้รับปันผลเมื่อบริษัทสามารถทำกำไรได้เช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ของ ปตท. ก็ไม่แตกต่างกัน มันเป็นสากลที่เขาทำกันเพื่อระดมทุน โดยรัฐยังสามารถกำหนดกรอบและนโยบายต่างๆ ได้เช่นเดิม แต่อาจเพราะประเทศไทยมีกลุ่มคนที่พยายามบิดเบือนเรียกคะแนนเสียงอยู่เยอะกระมัง จึงกลายเป็นว่าการระดมทุนในครั้งนั้น มันเป็นการขายสมบัติชาติในสายตาบางคนที่ถูกข้อมูลบิดเบือนไปเสียแล้ว
ที่มา www.รู้จริงพลังงานไทย.com/ทำไมต้องขายสมบัติชาติ/
แก้ไขล่าสุด 16 พ.ค. 60 14:19 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google