กรมขนส่งเตรียมออกกฏ 5 โรคห้ามขับรถ คาดว่าจะบังคับใช้ได้ในปีหน้า!
5 ธ.ค. 60 14:10 น. /
ดู 591 ครั้ง /
1 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
.
หลังจากเกิดประเด็นอุบัติเหตุที่พัทยาครั้งล่าสุด (กระบะพุ่งชน จยย. นับสิบคัน บริเวณพัทยาใต้ จ.ชลบุรี เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 15 คน ซึ่งคนขับรถวัย 44 ปี ระบุว่าตัวเองมีโรคประจำตัวอยู่แล้วนั่นคือ โรคลมชัก)
ล่าสุดมีข่าวว่า นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมขนส่งทางบก ได้เปิดเผยกับผู้สื่ิอข่าวว่า
" ตอนนี้กรมขนส่งทางบกกำลังดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อกำหนดเงื่อนไขการขอใบอนุญาตขับขี่ ให้เพิ่มกลุ่มโรคที่เสี่ยงจะเกิดอันตรายในการขับขี่ เบื้องต้นได้ข้อสรุปแล้วว่ามีทั้งหมด 5 กลุ่มโรค "
ข้อมูลระบุว่า 5 กลุ่มโรคและรวมถึงอาการเสี่ยงนี้มาจากการหารือร่วมกันของกรมขนส่งทางบกกับแพทยสภาแล้ว ประกอบด้วย
1. โรคลมชัก
2. เบาหวาน(ขั้นร้ายแรง)
3. ความดันโลหิตสูง
4. ผู้ที่เคยผ่าตัดสมองมาก่อน
5. โรคหัวใจ (ที่เสี่ยงจะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด)
รองอธิบดีฯ ได้ระบุเพิ่มเติมว่า
"ทั้งนี้คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 เดือน หรือช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. จะออกมาบังคับใช้ได้ และคงไม่มีแก้ไขอีกแล้วในส่วนของ 5 กลุ่มโรคนี้ เพราะเราหารือกันมาหลายรอบแล้ว"
"สำหรับ 5 กลุ่มโรคนี้ ซึ่งบางส่วนไม่ได้เป็นโรคแต่เป็นอาการ จะต้องมีการกำหนดรายละเอียดด้วยว่า เป็นขนาดไหน เช่นเบาหวานร้ายแรง แค่ไหน ความดัน เท่าไร รายละเอียดเหล่านี้ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งทางแพทยสภาจะเป็นผู้ดำเนินการ"
ปกติการขอใบอนุญาตขับขี่ที่ผ่านมา จะมีการห้ามเฉพาะ 5 โรค นั่นคือ
- เท้าช้าง
- วัณโรค
- เรื้อน
- พิษสุราเรื้อรัง
- ติดยาเสพติดให้โทษ
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ระบุโรคและปัญหาสุขภาพที่มีผลกระทบต่อสมรรถภาพการขับขี่และอาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุไว้ 9 โรค ได้แก่
1.โรคที่เกี่ยวกับสายตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม
2.โรคทางสมอง
3.โรคหลอดเลือดสมอง
4.โรคพาร์กินสัน
5.โรคลมชัก
6.โรคไขข้อ ข้อเสื่อม ข้ออักเสบต่างๆ
7.โรคหัวใจ
8.โรคเบาหวาน
9. พฤติกรรมการกินยาที่ส่งผลต่อการขับรถ เช่น บางคนกินยาหลายชนิด บางชนิดมีผลทำให้ง่วงซึม หรือง่วงนอน มึนงง สับสนได้เวลาขับรถ
กรมขนส่งทางบก
สำนักข่าวไทย
หลังจากเกิดประเด็นอุบัติเหตุที่พัทยาครั้งล่าสุด (กระบะพุ่งชน จยย. นับสิบคัน บริเวณพัทยาใต้ จ.ชลบุรี เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 15 คน ซึ่งคนขับรถวัย 44 ปี ระบุว่าตัวเองมีโรคประจำตัวอยู่แล้วนั่นคือ โรคลมชัก)
" ตอนนี้กรมขนส่งทางบกกำลังดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อกำหนดเงื่อนไขการขอใบอนุญาตขับขี่ ให้เพิ่มกลุ่มโรคที่เสี่ยงจะเกิดอันตรายในการขับขี่ เบื้องต้นได้ข้อสรุปแล้วว่ามีทั้งหมด 5 กลุ่มโรค "
ข้อมูลระบุว่า 5 กลุ่มโรคและรวมถึงอาการเสี่ยงนี้มาจากการหารือร่วมกันของกรมขนส่งทางบกกับแพทยสภาแล้ว ประกอบด้วย
1. โรคลมชัก
2. เบาหวาน(ขั้นร้ายแรง)
3. ความดันโลหิตสูง
4. ผู้ที่เคยผ่าตัดสมองมาก่อน
5. โรคหัวใจ (ที่เสี่ยงจะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด)
รองอธิบดีฯ ได้ระบุเพิ่มเติมว่า
"ทั้งนี้คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 เดือน หรือช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. จะออกมาบังคับใช้ได้ และคงไม่มีแก้ไขอีกแล้วในส่วนของ 5 กลุ่มโรคนี้ เพราะเราหารือกันมาหลายรอบแล้ว"
"สำหรับ 5 กลุ่มโรคนี้ ซึ่งบางส่วนไม่ได้เป็นโรคแต่เป็นอาการ จะต้องมีการกำหนดรายละเอียดด้วยว่า เป็นขนาดไหน เช่นเบาหวานร้ายแรง แค่ไหน ความดัน เท่าไร รายละเอียดเหล่านี้ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งทางแพทยสภาจะเป็นผู้ดำเนินการ"
ปกติการขอใบอนุญาตขับขี่ที่ผ่านมา จะมีการห้ามเฉพาะ 5 โรค นั่นคือ
- เท้าช้าง
- วัณโรค
- เรื้อน
- พิษสุราเรื้อรัง
- ติดยาเสพติดให้โทษ
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ระบุโรคและปัญหาสุขภาพที่มีผลกระทบต่อสมรรถภาพการขับขี่และอาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุไว้ 9 โรค ได้แก่
1.โรคที่เกี่ยวกับสายตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม
2.โรคทางสมอง
3.โรคหลอดเลือดสมอง
4.โรคพาร์กินสัน
5.โรคลมชัก
6.โรคไขข้อ ข้อเสื่อม ข้ออักเสบต่างๆ
7.โรคหัวใจ
8.โรคเบาหวาน
9. พฤติกรรมการกินยาที่ส่งผลต่อการขับรถ เช่น บางคนกินยาหลายชนิด บางชนิดมีผลทำให้ง่วงซึม หรือง่วงนอน มึนงง สับสนได้เวลาขับรถ
กรมขนส่งทางบก
สำนักข่าวไทย
แก้ไขล่าสุด 5 ธ.ค. 60 14:17 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Android
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google