The Battle :Workpoint ช่อง3 RS กำไร เหมือนกันแต่ความรู้สึก ต่างกัน
5 ม.ค. 61 14:46 น. /
ดู 486 ครั้ง /
0 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
The Battle :Workpoint ช่อง3 RS กำไร เหมือนกันแต่ความรู้สึก ต่างกัน
04/01/2018 chalongsak 1348 Views
ปี 2017 ที่เพิ่งผ่านไป ต้องบอกว่า ทีวี ดิจิตอล เป็นอะไรที่มีเซอร์ไพรส์ให้ต้องตกใจอยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อหุ้น บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง จำกัด ช่อง GMM 25 มูลค่า 1,000 ล้านบาท ให้มาอยู่ในอาณาจักรของ เสี่ยเจริญ จากที่ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2016 ได้เข้าถือครองธุรกิจในเครืออัมรินทร์ ทีวี
ตามด้วยข่าว Voice TV ประกาศปลดพนักงาน 127 ชีวิต ปรับผังลดรายการ เน้นสื่อออนไลน์เข้มข้น หรือแม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่างช่อง 3 ถึงจะไม่มีการปลดพนักงาน แต่แหล่งข่าววงในล่าสุดระบุว่า พนักงานช่อง 3 ระดับปฎิบัติงานในปีนี้ไม่ได้รับโบนัส ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่ช่อง 3 ไม่มีโบนัสให้แก่พนักงานหลังจากที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วในช่วงปี 40
ยังไม่รวมช่องอื่นๆ ที่ขาดทุนย่อยยับอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ ทีวีดิจิตอล เปิดสัญญาณออนแอร์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำคำพูดของบรรดากูรูว่าภายใน 10 ปีจะ อยู่รอด ไม่ถึง 10 ช่องจากทั้งหมด 24 ช่อง
Marketeer เลยพามาอัพเดทสถานการณ์ล่าสุดของ 3 บริษัทที่มีกำไรสูงสุด และอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่น่าสนใจคือมีบางช่องที่แม้มีผลกำไรในการทำธุรกิจแต่สถานการณ์กลับเลวร้ายกว่าในยุค อนาล็อก
ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจ อย่าง แกรมมี่ ที่มี ช่อง One และ GMM 25 ยังขาดทุนอยู่ 735 ล้านบาทและ Nation ที่ขาดทุนใน 9 เดือนแรกของปี 2017 ถึง 2,341 ล้านบาทรวมไปถึง อมรินทร์ ทีวี ที่ยังขาดทุน 185 ล้านบาท (ข้อมูลด้านล่างรวมทุกธุรกิจของทุกบริษัท)
เวิร์คพอยท์ ปัง เพราะ ร้องเพลงสนั่น
หลังจาก ปัญญา นิรันดร์กุล ทำความฝันตัวเองสำเร็จด้วยการเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ เขาก็เลือกดึงรายการต่างๆ ที่เคยออกอากาศในช่องอื่นๆ ในฟรีทีวียุค อนาล็อก กลับมาออนแอร์ในช่อง เวิร์คพอยท์ ทีวี ของตัวเองเพื่อเรียกเรตติ้ง รวมถึงผลิตรายการใหม่ๆ โดยเฉพาะเกมโชว์เน้นเสียงฮาถูกจริตคนไทย ทุกเพศทุกวัย
แต่สิ่งที่ทำให้เรตติ้ง เวิร์คพอยท์ ทีวี พุ่งทยานให้แบรนด์สินค้าต้องวิ่งมาซื้อโฆษณานั้นคือรายการสารพัดประกวดร้องเพลงที่เวลานี้มีถึงเกือบ 10 รายการเช่น เด็กร้องก้องโลก,I Can See Your Voice Thailand, ไมค์ทองคำ และรายการที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศที่สามารถอัพราคาขายโฆษณาได้สูงถึงนาทีละ 4.2 แสนบาท อย่าง The Mask Singer
สูตรสำเร็จของ เวิร์คพอยท์ นั้นคือการนำประสบการณ์จากสมัยที่ตัวเองผลิตรายการให้แก่ฟรีทีวียุคอนาล็อก มาปรุงแต่งรายการเกมโชว์และรายการสารพัดประกวดร้องเพลงที่ถูกใจมหาชนทั่วประเทศ รวมถึงการไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่หน้าจอ TV แต่ยังเน้นออนแอร์ในช่องทางออนไลน์ท้งแบบสดและดูย้อนหลัง
แต่นี้เป็นเพียงบทพิสูจน์บทแรกของ เวิร์คพอยท์ เท่านั้น เพราะฉากธุรกิจต่อมาคือจะรักษามาตราฐาน Content ของตัวเองให้คงเส้นคงวาได้อย่างไร อีกทั้งผู้ชมในยุคดิจิตอลเบื่อเร็ว ตัวอย่างที่ชัดเจนนั้นคือรายการ The Mask Singer ที่ความนิยมเริ่มถดถอยลงหากเทียบกับ Season แรก
และ Content นี้แหละ! เป็นโจทย์ที่ ปัญญา นิรันดร์กุล ต้องคิดอยู่ทุกวันเพื่อรักษาความสำเร็จของตัวเองให้นานที่สุด
ช่อง 3 ความสำเร็จในอดีตที่เสื่อมมนต์ขลัง
เชื่อหรือไม่ว่าก่อนที่ ทีวี ดิจิตอล จะเกิดก่อนปีหนึ่ง ช่อง 3 เคยมีรายได้สูงเกือบๆ 17,000 ล้านบาท มีกำไรสูงถึง 5,600 ล้านบาท จ่ายโบนัสพนักงานขั้นต่ำถึง 2 เดือน แต่ข่าวล่าสุดคือสิ้นปี 2017 ช่อง 3 งดให้โบนัสพนักงานหลายคนเลยทีเดียว
อะไรที่ทำให้สื่อยักษ์ใหญ่อย่างช่อง 3 ต้องถอยหลังขนาดนี้ ครั้งหนึ่ง ไตรภพ ลิมปพัทธ์ เคยบอกถึงสาเหตุให้ Marketeer ฟังว่า
ในอดีตคนมองว่าช่อง 3 และ 7 ผูกขาดเม็ดเงินโฆษณาทีวี ไม่แบ่งให้ใคร ปัจจุบันเป็นอย่างไรทีวีมีถึง 24 ช่องแต่เม็ดเงินโฆษณาเฉลี่ยแล้วเท่าเดิมไม่เพิ่มขึ้น เพราะถูกสื่อออนไลน์มาแย่งเม็ดเงินไป เค้กรายได้เท่าเดิมแต่มีคนแย่งชิงเพิ่มจาก 6 เป็น 24 สุดท้ายมีแค่ไม่กี่ช่องเท่านั้นที่มีกำไรในเกมนี้ เพราะต้นทุนผลิตรายการเท่าเดิมแต่รายได้น้อยลง
เป็นผลกระทบที่สร้างแรงสั่นสะเทือนตึกมาลีนนท์ จนทำให้มีสารพัดข่าวลือว่าช่อง 3 อาจมีการขายหุ้นเพื่อเพิ่มทุน แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่ที่แน่ๆ เวลานี้ช่อง 3 มีการ แก้เกม นำคนนอกมานั่งแท่นผู้บริหารในตำแหน่งระดับสูงอยู่หลายคน
โจทย์ที่ช่อง 3 ต้องขบคิดมีอยู่หลายเรื่องเลยทีเดียว แรกสุดก็คือช่อง 3 Family และช่อง 3 SD ว่าจะทำอย่างไรให้มีเม็ดเงินโฆษณามาหล่อเลี้ยงให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้
ในขณะที่ช่อง 3 ธรรมดาเองก็ต้องรับศึกหนักรอบด้านที่ถาโถมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นละครที่เคยเป็นอาวุธหลักทางการตลาดใช้กวาดเม็ดเงินโฆษณาเป็นว่าเล่น ก็ต้องลดอัตราค่าโฆษณา 15 -20 % เพื่อดึงดูดเอเจนซี่และแบรนด์สินค้าให้ซื้อเวลา เพราะต้องยอมรับว่าทั้งช่อง One, GMM 25 ของ แกรมมี่ และช่อง 8 ของ RS ก็สร้างละครที่มีเรตติ้งดีในระดับหนึ่งเพื่อมาแย่งชิงเม็ดเงินโฆษณา
ส่วนรายการข่าวที่เคยทรงอิทธิพลสร้างรายได้เป็นอันดับ 2 รองจากละครนั้นนับจากไร้เงา สรยุทธ สุทัศนจินดา เรตติ้งก็หล่นฮวบถูกช่องข่าวคู่แข่งแซงหน้าทั้งเรตติ้งและรายได้ แม้จะมีการปรับรูปแบบรายการอาทิเช่น เรื่องเล่าเช่านี้ ที่มีการปรับรูปแบบรายการและพิธีกร แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นเท่าไร
ปี 2018 สิ่งที่ทีมผู้บริหารช่อง 3 ต้องทำคือต้องมีกำไรมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นความ ยากระดับ10 เพราะช่องคู่แข่งเองก็ทำได้ดีขึ้นหลายช่อง แถมยังมี เม็ดเงินหมุนเวียนลงทุน มากขึ้นจากการขายหุ้น
สุดท้ายในยุคทีวีดิจิตอล ช่อง 3 ไม่ได้ขายโฆษณาถล่มทลายจนกลายเป็นผู้กำหนดให้แบรนด์สินค้าลงโฆษณาเวลาไหน
แต่ เกมพลิก ช่อง 3 กลายเป็นผู้ต้องวิ่งเข้าหาเอเจนซี่และแบรนด์สินค้า ว่าเวลานี้เวลาโฆษณายังเหลืออยู่ในมือล้นเหลือ ไม่ทราบว่าสนใจช่วงเวลาไหนครับ
ช่อง 8 จากอันดับ 5 ขออันดับ 3
ปีที่ผ่านมา RS ถือเป็นบริษัทที่ปรับสูตรธุรกิจตัวเองชัดเจน ด้วยการลดความสำคัญธุรกิจเพลง ไปสู่ธุรกิจความงามและ ทีวี ดิจิตอล เพราะ 2 ธุรกิจนี้รวมกันมีรายได้มากกว่า 80% จากรายได้ทั้งหมดของบริษัท
โดยในธุรกิจทีวีที่ RS มีถึง 3 ช่อง ต้องบอกว่าช่อง 8 ซึ่งเป็นช่องเดียวที่อยู่ในระบบดิจิตอลถือเป็นหัวใจหลักของธุรกิจเพราะสร้างรายได้ถึง 80% จากกลุ่มธุรกิจทีวี
ไม่แปลกเลยว่าที่ผ่านมาเฮียฮ้อ จะทุ่มทุกอย่างไปที่ช่องนี้ พร้อมกับลดบทบาทธุรกิจที่ไม่ทำกำไรอย่างธุรกิจเพลงและอีเวนท์
ปี 2018 เป้าหมายของช่อง 8 คือต้องการขยับอันดับจากช่องที่มีเรตติ้งอันดับ 5 มาสู่อันดับ 3 ซึ่งนั้นแปลว่าจะต้องชนะช่องใดช่องหนึ่งไม่ช่อง 3 ก็ 7 หรือ เวิร์คพอยท์
ล่าสุดมีตัวเลขยืนยันแล้วว่าปี 2018 RS จะควักกระเป๋า 1,000 ล้านบาทในการสร้าง Content ใหม่ๆลงในช่อง 8 ทั้งซื้อจากต่างประเทศแล้วลงทุนผลิตละคร
ส่วนวิถีทางในการนำเสนอ Content คงยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมเพราะวิธีนี้แหละ ที่ทำให้ช่อง 8 เติบโตในวิกฤติตลาด ทีวีดิจิทัล คือใช้ต้นทุนการผลิตน้อย โดยเฉพาะคอนเทนต์หลักอย่างละครเจาะกลุ่มแม่บ้านและชาวตลาดสด ใช้ดาราในสังกัดไม่กี่คนหมุนเวียนเล่นทุกเรื่อง รวมถึงรายการข่าวที่ใช้แนวทางการนำเสนอเล่าข่าวแบบชาวบ้านๆ
https://marketeeronline.co/archives/6772
04/01/2018 chalongsak 1348 Views
ปี 2017 ที่เพิ่งผ่านไป ต้องบอกว่า ทีวี ดิจิตอล เป็นอะไรที่มีเซอร์ไพรส์ให้ต้องตกใจอยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อหุ้น บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล เทรดดิ้ง จำกัด ช่อง GMM 25 มูลค่า 1,000 ล้านบาท ให้มาอยู่ในอาณาจักรของ เสี่ยเจริญ จากที่ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2016 ได้เข้าถือครองธุรกิจในเครืออัมรินทร์ ทีวี
ตามด้วยข่าว Voice TV ประกาศปลดพนักงาน 127 ชีวิต ปรับผังลดรายการ เน้นสื่อออนไลน์เข้มข้น หรือแม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่างช่อง 3 ถึงจะไม่มีการปลดพนักงาน แต่แหล่งข่าววงในล่าสุดระบุว่า พนักงานช่อง 3 ระดับปฎิบัติงานในปีนี้ไม่ได้รับโบนัส ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่ช่อง 3 ไม่มีโบนัสให้แก่พนักงานหลังจากที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วในช่วงปี 40
ยังไม่รวมช่องอื่นๆ ที่ขาดทุนย่อยยับอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ ทีวีดิจิตอล เปิดสัญญาณออนแอร์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำคำพูดของบรรดากูรูว่าภายใน 10 ปีจะ อยู่รอด ไม่ถึง 10 ช่องจากทั้งหมด 24 ช่อง
Marketeer เลยพามาอัพเดทสถานการณ์ล่าสุดของ 3 บริษัทที่มีกำไรสูงสุด และอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่น่าสนใจคือมีบางช่องที่แม้มีผลกำไรในการทำธุรกิจแต่สถานการณ์กลับเลวร้ายกว่าในยุค อนาล็อก
ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจ อย่าง แกรมมี่ ที่มี ช่อง One และ GMM 25 ยังขาดทุนอยู่ 735 ล้านบาทและ Nation ที่ขาดทุนใน 9 เดือนแรกของปี 2017 ถึง 2,341 ล้านบาทรวมไปถึง อมรินทร์ ทีวี ที่ยังขาดทุน 185 ล้านบาท (ข้อมูลด้านล่างรวมทุกธุรกิจของทุกบริษัท)
เวิร์คพอยท์ ปัง เพราะ ร้องเพลงสนั่น
หลังจาก ปัญญา นิรันดร์กุล ทำความฝันตัวเองสำเร็จด้วยการเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ เขาก็เลือกดึงรายการต่างๆ ที่เคยออกอากาศในช่องอื่นๆ ในฟรีทีวียุค อนาล็อก กลับมาออนแอร์ในช่อง เวิร์คพอยท์ ทีวี ของตัวเองเพื่อเรียกเรตติ้ง รวมถึงผลิตรายการใหม่ๆ โดยเฉพาะเกมโชว์เน้นเสียงฮาถูกจริตคนไทย ทุกเพศทุกวัย
แต่สิ่งที่ทำให้เรตติ้ง เวิร์คพอยท์ ทีวี พุ่งทยานให้แบรนด์สินค้าต้องวิ่งมาซื้อโฆษณานั้นคือรายการสารพัดประกวดร้องเพลงที่เวลานี้มีถึงเกือบ 10 รายการเช่น เด็กร้องก้องโลก,I Can See Your Voice Thailand, ไมค์ทองคำ และรายการที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศที่สามารถอัพราคาขายโฆษณาได้สูงถึงนาทีละ 4.2 แสนบาท อย่าง The Mask Singer
สูตรสำเร็จของ เวิร์คพอยท์ นั้นคือการนำประสบการณ์จากสมัยที่ตัวเองผลิตรายการให้แก่ฟรีทีวียุคอนาล็อก มาปรุงแต่งรายการเกมโชว์และรายการสารพัดประกวดร้องเพลงที่ถูกใจมหาชนทั่วประเทศ รวมถึงการไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่หน้าจอ TV แต่ยังเน้นออนแอร์ในช่องทางออนไลน์ท้งแบบสดและดูย้อนหลัง
แต่นี้เป็นเพียงบทพิสูจน์บทแรกของ เวิร์คพอยท์ เท่านั้น เพราะฉากธุรกิจต่อมาคือจะรักษามาตราฐาน Content ของตัวเองให้คงเส้นคงวาได้อย่างไร อีกทั้งผู้ชมในยุคดิจิตอลเบื่อเร็ว ตัวอย่างที่ชัดเจนนั้นคือรายการ The Mask Singer ที่ความนิยมเริ่มถดถอยลงหากเทียบกับ Season แรก
และ Content นี้แหละ! เป็นโจทย์ที่ ปัญญา นิรันดร์กุล ต้องคิดอยู่ทุกวันเพื่อรักษาความสำเร็จของตัวเองให้นานที่สุด
ช่อง 3 ความสำเร็จในอดีตที่เสื่อมมนต์ขลัง
เชื่อหรือไม่ว่าก่อนที่ ทีวี ดิจิตอล จะเกิดก่อนปีหนึ่ง ช่อง 3 เคยมีรายได้สูงเกือบๆ 17,000 ล้านบาท มีกำไรสูงถึง 5,600 ล้านบาท จ่ายโบนัสพนักงานขั้นต่ำถึง 2 เดือน แต่ข่าวล่าสุดคือสิ้นปี 2017 ช่อง 3 งดให้โบนัสพนักงานหลายคนเลยทีเดียว
อะไรที่ทำให้สื่อยักษ์ใหญ่อย่างช่อง 3 ต้องถอยหลังขนาดนี้ ครั้งหนึ่ง ไตรภพ ลิมปพัทธ์ เคยบอกถึงสาเหตุให้ Marketeer ฟังว่า
ในอดีตคนมองว่าช่อง 3 และ 7 ผูกขาดเม็ดเงินโฆษณาทีวี ไม่แบ่งให้ใคร ปัจจุบันเป็นอย่างไรทีวีมีถึง 24 ช่องแต่เม็ดเงินโฆษณาเฉลี่ยแล้วเท่าเดิมไม่เพิ่มขึ้น เพราะถูกสื่อออนไลน์มาแย่งเม็ดเงินไป เค้กรายได้เท่าเดิมแต่มีคนแย่งชิงเพิ่มจาก 6 เป็น 24 สุดท้ายมีแค่ไม่กี่ช่องเท่านั้นที่มีกำไรในเกมนี้ เพราะต้นทุนผลิตรายการเท่าเดิมแต่รายได้น้อยลง
เป็นผลกระทบที่สร้างแรงสั่นสะเทือนตึกมาลีนนท์ จนทำให้มีสารพัดข่าวลือว่าช่อง 3 อาจมีการขายหุ้นเพื่อเพิ่มทุน แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่ที่แน่ๆ เวลานี้ช่อง 3 มีการ แก้เกม นำคนนอกมานั่งแท่นผู้บริหารในตำแหน่งระดับสูงอยู่หลายคน
โจทย์ที่ช่อง 3 ต้องขบคิดมีอยู่หลายเรื่องเลยทีเดียว แรกสุดก็คือช่อง 3 Family และช่อง 3 SD ว่าจะทำอย่างไรให้มีเม็ดเงินโฆษณามาหล่อเลี้ยงให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้
ในขณะที่ช่อง 3 ธรรมดาเองก็ต้องรับศึกหนักรอบด้านที่ถาโถมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นละครที่เคยเป็นอาวุธหลักทางการตลาดใช้กวาดเม็ดเงินโฆษณาเป็นว่าเล่น ก็ต้องลดอัตราค่าโฆษณา 15 -20 % เพื่อดึงดูดเอเจนซี่และแบรนด์สินค้าให้ซื้อเวลา เพราะต้องยอมรับว่าทั้งช่อง One, GMM 25 ของ แกรมมี่ และช่อง 8 ของ RS ก็สร้างละครที่มีเรตติ้งดีในระดับหนึ่งเพื่อมาแย่งชิงเม็ดเงินโฆษณา
ส่วนรายการข่าวที่เคยทรงอิทธิพลสร้างรายได้เป็นอันดับ 2 รองจากละครนั้นนับจากไร้เงา สรยุทธ สุทัศนจินดา เรตติ้งก็หล่นฮวบถูกช่องข่าวคู่แข่งแซงหน้าทั้งเรตติ้งและรายได้ แม้จะมีการปรับรูปแบบรายการอาทิเช่น เรื่องเล่าเช่านี้ ที่มีการปรับรูปแบบรายการและพิธีกร แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นเท่าไร
ปี 2018 สิ่งที่ทีมผู้บริหารช่อง 3 ต้องทำคือต้องมีกำไรมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นความ ยากระดับ10 เพราะช่องคู่แข่งเองก็ทำได้ดีขึ้นหลายช่อง แถมยังมี เม็ดเงินหมุนเวียนลงทุน มากขึ้นจากการขายหุ้น
สุดท้ายในยุคทีวีดิจิตอล ช่อง 3 ไม่ได้ขายโฆษณาถล่มทลายจนกลายเป็นผู้กำหนดให้แบรนด์สินค้าลงโฆษณาเวลาไหน
แต่ เกมพลิก ช่อง 3 กลายเป็นผู้ต้องวิ่งเข้าหาเอเจนซี่และแบรนด์สินค้า ว่าเวลานี้เวลาโฆษณายังเหลืออยู่ในมือล้นเหลือ ไม่ทราบว่าสนใจช่วงเวลาไหนครับ
ช่อง 8 จากอันดับ 5 ขออันดับ 3
ปีที่ผ่านมา RS ถือเป็นบริษัทที่ปรับสูตรธุรกิจตัวเองชัดเจน ด้วยการลดความสำคัญธุรกิจเพลง ไปสู่ธุรกิจความงามและ ทีวี ดิจิตอล เพราะ 2 ธุรกิจนี้รวมกันมีรายได้มากกว่า 80% จากรายได้ทั้งหมดของบริษัท
โดยในธุรกิจทีวีที่ RS มีถึง 3 ช่อง ต้องบอกว่าช่อง 8 ซึ่งเป็นช่องเดียวที่อยู่ในระบบดิจิตอลถือเป็นหัวใจหลักของธุรกิจเพราะสร้างรายได้ถึง 80% จากกลุ่มธุรกิจทีวี
ไม่แปลกเลยว่าที่ผ่านมาเฮียฮ้อ จะทุ่มทุกอย่างไปที่ช่องนี้ พร้อมกับลดบทบาทธุรกิจที่ไม่ทำกำไรอย่างธุรกิจเพลงและอีเวนท์
ปี 2018 เป้าหมายของช่อง 8 คือต้องการขยับอันดับจากช่องที่มีเรตติ้งอันดับ 5 มาสู่อันดับ 3 ซึ่งนั้นแปลว่าจะต้องชนะช่องใดช่องหนึ่งไม่ช่อง 3 ก็ 7 หรือ เวิร์คพอยท์
ล่าสุดมีตัวเลขยืนยันแล้วว่าปี 2018 RS จะควักกระเป๋า 1,000 ล้านบาทในการสร้าง Content ใหม่ๆลงในช่อง 8 ทั้งซื้อจากต่างประเทศแล้วลงทุนผลิตละคร
ส่วนวิถีทางในการนำเสนอ Content คงยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมเพราะวิธีนี้แหละ ที่ทำให้ช่อง 8 เติบโตในวิกฤติตลาด ทีวีดิจิทัล คือใช้ต้นทุนการผลิตน้อย โดยเฉพาะคอนเทนต์หลักอย่างละครเจาะกลุ่มแม่บ้านและชาวตลาดสด ใช้ดาราในสังกัดไม่กี่คนหมุนเวียนเล่นทุกเรื่อง รวมถึงรายการข่าวที่ใช้แนวทางการนำเสนอเล่าข่าวแบบชาวบ้านๆ
https://marketeeronline.co/archives/6772
แก้ไขล่าสุด 5 ม.ค. 61 14:50 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 7
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google