7 ปัจจัยมีผลต่อราคาเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 ในปีนี้

1.รุ่นรถยนต์ ยี่ห้อรถยนต์

ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นรถแพงๆ อย่าง Ferrari, แลมโบ ฯลฯ ที่มีค่าเบี้ยประกันแพง แต่จุดที่ บริษัทประกันเค้าคำนวณค่าเบี้ยก็จะมีเช่น การรับรองความปลอดภัยของการทดสอบการชนของรถยนต์รุ่นนั้นๆ เช่นรถยนต์บางรุ่นที่ออกมา ได้รับการ Crash Test แต่ได้ผลลัพธ์ไม่ดี รถยนต์รุ่นนั้นๆ รุ่นย่อยนั้นๆ ก็จะมีเบี้ยประกันที่สูงด้วย และสำหรับคนที่มีรถที่ใช้อยู่แล้ว แต่ดันมีเรื่องการทดสอบการชนขึ้นมา ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องก้มหน้าก้มตาขับต่อไป พร้อมเบี้ยประกันที่แพงกว่า แต่สำหรับคนที่จะซื้อรถใหม่ เทคนิคคือ ให้ศึกษาเบี้ยประกันก่อนการตัดสินใจซื้อรถ (ซึ่งแน่นอนว่า คนส่วนใหญ่ซื้อรถที่ชอบเท่านั้น ไม่ได้มองเรื่องประกันเป็นอันดับต้นๆ)

และสำหรับประเภทรถยนต์ที่มีค่าเบี้ยสูงสุดคือ รถยนต์ไฮบริด เพราะเค้าให้เหตุผลว่า เวลาชน มีค่าเสียหายมากกว่า ต้องซ่อมแพงกว่า และรถ Hybrid พุ่งตัวเร็วกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันออกตัว เลยเป็นเหตุให้เบี้ยแพงกว่านั่นเอง

2. เครดิตไม่ดี

ในเมืองไทยอาจจะยังไม่ค่อยดึงเอาข้อมูลเกี่ยวกับ เครดิต สกอร์ หรือ Credit Score ที่เป็นตัวกำหนดว่า บุคคลคนนั้น มีประวัติทางการเงินอย่างไรมาเข้าคู่กันกับการทำประกันรถยนต์มากนัก แต่ในเมืองนอกค่อนข้างซีเรียสเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน - ในต่างประเทศ หากผู้ขับขี่ อายุน้อย ประวัติทางการเงินไม่ดี เป็นเพศชาย จะโดนค่าเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกถึง 100% ซึ่งโหดมากเลยทีเดียว และคะแนนเครดิต เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หากไม่ได้วางแผนการเงินสำหรับนิสัยการเงินที่ดีตั้งแต่ต้น (เช่นการขอสินเชื่อ กู้ยืม มีประวัติค้างชำระ การใช้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสดเกินกำลัง)

3. เป็นเจ้าของบ้าน ที่ดิน เกี่ยวด้วยมั้ย?

เป็นอีกหนึ่งจุดที่ควบคุมไม่ได้ บางคนอยู่บ้าน บางคนอยู่คอนโด บางคนบ้านเช่า ห้องเช่า ในเมืองไทยเราไม่มีข้อมูลมากพอที่จะบอกว่าปัจจัยนี้ มีผลมากน้อยเพียงไร แต่สำหรับเมืองนอก คนที่มีบ้านเป็นของตัวเอง บริษัทประกันรถยนต์จะมองว่า มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และได้เบี้ยถูกกว่าคนที่เช่าอยู่ หรืออยู่คอนโด (อาจจะเป็นเพราะเรื่องจอดรถ ที่คอนโด มีความเสี่ยงกว่าอยู่บ้านตัวเอง ฯลฯ)

4. แต่งงานแล้ว? โสด? อันนี้ก็เกี่ยว

มันเป็นสิ่งที่ควบคุมยาก สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว ค่าเบี้ยประกันจะถูกกว่า ผู้ที่ยังโสดอยู่ เพราะบริษัทประกันมองเหตุผลที่ว่า คนที่แต่งงานแล้วมักจะมีลูกน้อยต้องขับรถระวังกว่า และ หากมีคู่ครอง ก็จะนั่งรถไปด้วยกันบ่อยๆ ช่วยกันดูทางทำให้ความเสี่ยงลดลง (เค้าคิดอย่างนี้จริงๆ) คนที่แต่งงานแล้วจะได้เบี้ยถูกกว่านั่นเอง และอันนี้ เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้หรอก เพราะจะไปบอกแฟนว่า แต่งงานกันก่อนทำประกันรถยนต์ อันนี้คงไม่มีใครเค้าทำกันนะ
5. ตำแหน่งหน้าที่การงาน

ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ มีคนขับรถให้ และ รถส่วนตัว ของตัวเองก็ไม่ค่อยได้ใช้งาน จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ตำแหน่งสูงๆ ในบริษัท มักจะได้เบี้ยประกันรถยนต์ถูกกว่า พนักงานธรรมดา เหตุผลหลักๆก็คือ คนที่มีตำแหน่งต่ำกว่า ต้องวิ่งงานมากกว่า (ยังสงสัยอยู่ว่า พนักงานบัญชีก็ไม่ได้ต้องวิ่งออกไปไหนนี่นา?) ทำให้ต้องใช้รถยนต์มากกว่า และนี่ก็เป็นจุดที่ควบคุมไม่ได้เช่นเดียวกัน
6. นิสัยการขับรถ และ จังหวัดที่ผู้ขับอยู่

บริษัทประกันรถยนต์ เค้ามีหมดทุกอย่าง ข้อมูลเกี่ยวกับจังหวัดไหน มีการประสบอุบัติเหตุมากที่สุด บ่อยที่สุด ถ้าคุณใช้รถจังหวัดนั้น ก็จะมีเบี้ยสูงกว่าคนอื่นๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นจังหวัดที่ต้องขับรถยาวๆ ไปทำงาน ค่าเบี้ยประกันก็จะสูงขึ้นไปอีก เพราะยิ่งขับยาว ยิ่งความเสี่ยงเยอะกว่า ในต่างประเทศ หากขับรถในช่วงเวลาประจำ ที่ไม่ค่อยมีรถยนต์วิ่งบนท้องถนน เช่นเวลากลางคืน สำหรับคนทำงานกลางคืน เค้าจะลดค่าเบี้ยให้ด้วย

7. วิธีการคำนวณเบี้ยของบริษัทประกัน ไม่เหมือนกัน

เป็นจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้เลย เรียกว่า Zero Control เพราะ เราจะไม่รู้เลยว่า บริษัทประกันไหน ดึงจุดปัจจัยอะไรมาใช้ในการคำนวณเบี้ยประกัน ดังนั้นบางบริษัทเสนอราคาแพง บางบริษัทเสนอเท่าๆกัน บางบริษัทให้ต่ำกว่า อันนี้พูดถึงพวกประกันรถยนต์ชั้น 1 ทั่วๆไป ที่ซื้อกัน เพราะ ประกันชั้น 1 มันจะต้องมีการเสนอราคา เช็ครถ ฯลฯ วิธีการที่ดีที่สุดคือการเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์ทุกครั้ง จะได้ไม่เสียประโยชน์

ขอบคุณข้อมูลจาก https://promotions.co.th/insurance/เช็คเบี้ยประกันรถยนต์