มาตรการทางกฎหมายเพื่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ
3 ก.ค. 62 16:38 น. /
ดู 666 ครั้ง /
0 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
รัฐควรออกกฎหมายแม่บทแก้ปัญหาสังคมสูงวัยครบวงจร
เพื่อนำเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เตรียมรับมือสังคมสูงวัยของประเทศไทย
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย หน่วยงานที่ศึกษาวิจัยรวบรวมความรู้และส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมวิชาการข้อเสนอเชิงนโยบาย ประเด็นมาตรการทางกฎหมายเพื่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และนโยบายส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อประกอบการจัดทำ แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 3เมื่อกลางเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา
ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้จัดการโครงการการทบทวนสถานการณ์ความต้องการ
ระบบและเครื่องมือ ที่จะตอบสนองต่อปัญหาของผู้สูงอายุในประเทศไทยและการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะกลาง กล่าวว่าปัญหาของผู้สูงอายุไม่ใช่สุขภาพอย่างเดียว ยังมีเรื่องการจ้างงาน ทักษะใหม่ๆ ทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุมีรายได้เลี้ยงตัวได้ การมีกลุ่มที่มีปฏิสัมพันธ์กับสังคม รวมถึงระบบสวัสดิการของรัฐ
ข้อเสนอเชิงนโยบายทางกฎหมาย นำเสนอโดย ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส และ ไพศาล ลิ้มสถิตย์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และ พิสิษฐ์ ศรีอัคคโภคิน สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
ปัจจุบันมีกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิด้านสุขภาพของผู้สูงอายุหลายฉบับ ที่เป็นหลักคือ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 ซึ่งมีเจตนารมณ์ให้ผู้สูงอายุมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ แต่ยังไม่ครอบคลุมสิทธิตามแนวปฏิบัติของสหประชาชาติ โดยขาดมาตรการคุ้มครองสิทธิในทางปฏิบัติ เน้นการสงเคราะห์ ให้กู้ยืมเงิน การช่วยเหลือเบื้องต้น ขาดมาตรการส่งเสริมให้กลุ่มองค์กรผู้สูงอายุให้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง และได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากภาครัฐ หากเทียบกับเครือข่ายผู้พิการ ซึ่งมีความเข้มแข็งมาก
พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 มาตรา 11 บัญญัติเรื่องสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครอง ส่งเสริม และสนับสนุนด้านต่างๆ อาทิ บริการทางการแพทย์ที่ให้ความสะดวกรวดเร็ว บริการนี้เคยทำในบางรัฐบาลบางชุดเป็นบางช่วง แต่ปัจจุบันไม่มี ทั้งนี้ กฎหมายมอบอำนาจให้หน่วยงานราชการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับผู้สูงอายุเกือบทุกกระทรวง ทั้งการประกอบอาชีพ ฝึกอาชีพที่เหมาะสม การพัฒนาตนเอง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและการวมกลุ่มในลักษณะเครือข่าย ซึ่งกรณีหลังยังไม่เข้มแข็งนัก
ส่วนที่ดำเนินการเป็นรูปธรรมคือ การช่วยเหลือด้านค่าโดยสาร ยานพาหนะ ค่าเข้าชมสถานที่ รวมทั้งการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือน
กล่าวโดยสรุป กฎหมายฉบับนี้มีแนวคิดหลักคือ รัฐ มองว่าผู้สูงอายุไม่มีศักยภาพ อ่อนแอ ต้องให้การสงเคราะห์ กฎหมายขาดกลไกการคุ้มครอง หรือรับรองสิทธิที่ทำให้ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง
คณะผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับระบบการดูแลผู้สูงอายุว่า ควรแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 หรือมี พ.ร.บ.เกี่ยวกับระบบการดูแลที่ครอบคลุมการกำกับดูแลสถานบริบาลผู้สูงอายุ ระบบผู้พิทักษ์สิทธิ เพื่อจัดการทรัพย์สินและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส มีความเห็นว่าเนื่องจากกฎหมายผู้สูงอายุฯ ส่วนใหญ่เป็นงานของกระทรวงสาธารณสุข เขียนไว้อย่างกว้างๆ ไม่มีอำนาจให้กระทรวงอื่นๆ ดำเนินการ เป็นเพียงการขอความร่วมมือ แนวทางแก้คือต้องทำ พ.ร.บ.แม่บทขึ้นมาใหม่ให้ครอบคลุมงานที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุทั้งหมด และให้กระทรวงอื่นๆ รับนโยบายไปดำเนินการ โดยออกกฎกระทรวงขึ้นมารองรับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุในส่วนงานขององค์กร
ส่วนโครงการวิจัยทบทวนนโยบายกิจกรรมทางกายผู้สูงอายุ นำเสนอโดย รศ.ดร.อัจฉรา ปุราคม และคณะ จากศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้กิจกรรมทางกายผู้สูงอายุแบบองค์รวม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กิจกรรมทางกายหรือ การเคลื่อนไหวร่างกาย มีความสำคัญต่อผู้สูงอายุ เพราะทำให้เกิดการเผาพลาญพลังงาน เนื่องจากพอคนเราอายุมากขึ้น ร่างกายเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้การเคลื่อนไหวน้อยลง การที่ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทางกาย จะช่วยพัฒนาและปรับปรุงสุขภาพ ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมไปพร้อมๆ ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น
ควรเคลื่อนไหวแบบที่ออกแรงระดับกลาง อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งแบ่งได้ 6 รูปแบบคือ การทำกิจกรรมทางกายที่บ้าน ในชุมชน ร่วมกับกลุ่ม กิจกรรมเพื่อลดภาวะเนือยนิ่ง กิจกรรมเพื่อป้องกันโรคเรื้อรัง
กิจกรรมประกอบการใช้สมาร์ทโฟน เช่น แอปพลิเคชั่นที่มีการเตือนให้เคลื่อนไหวร่างกายทุกครึ่งชั่วโมง ออกกำลังกายโดยดูตัวอย่างจากคลิปที่ได้รับจากแอปพลิเคชั่นไลน์ เป็นต้น ซึ่งควรทำแบบผสมผสาน ร่วมกับกิจกรรมนันทนาการ ช่องการเข้าถึงของผู้สูงอายุ และให้สอดคล้องกับบริบท และความต้องการของผู้สูงอายุด้วย
รศ.ดร.อัจฉรา ปุราคม กล่าวว่ารายงานการวิจัย มุ่งเน้นในมิติสิ่งแวดล้อมที่เกื้อหนุนกิจกรรมทางกาย การเดินทางอย่างอิสระ โปรแกรมและการเข้าถึงแหล่งข้อมูลกิจกรรมทางกาย 6 ด้าน โดยคำนึงถึงความปลอดภัย การเข้าถึง ความใกล้บ้าน ความสวยงาม ความน่ารื่นรมย์ และพื้นที่สีเขียว
ตัวอย่างเช่น พัฒนานโยบายสิ่งแวดล้อม โดยเน้นความปลอดภัยในการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ เดิน จักรยาน การพัฒนาพื้นที่อาคารสิ่งก่อสร้างที่ผสมผสานประโยชน์ใช้สอยร่วมกับการวางแผนการเดินทาง และการจัดโปรแกรมกิจกรรมทางกายให้กับผู้สูงอายุ โดยเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่การเดินทางจากที่อยู่อาศัยกับสถานที่ปลายทาง
ในเรื่องการเดินทาง ควรพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เดินทางด้วยความปลอดภัย สร้างระบบผู้ดูแลผู้สูงอายุเดินทางไปยังที่ต่างๆ โดยใช้จิตอาสาในชุมชนปรับปรุงเส้นทางการเดินโดยแยกส่วนจากผิวจราจรทางรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์
เข้มงวดกับผู้สูงอายุที่ขับขี่รถยนต์มากขึ้น เช่น ตรวจสอบศักยภาพการขับขี่ทุกปี เพื่อความปลอดภัยของทุกในพื้นที่สาธารณะ ปรับปรุงสัญญาณจราจรให้ผู้สูงอายุมองเห็นชัดเจน เป็นต้น
ช่วงท้ายของการประชุม รัฐสภา จุรีมาศ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่า จากการที่ได้ไปสอนโรงเรียนผู้สูงอายุที่จังหวัดนครนายก สระแก้ว มีข้อสังเกตคือ ผู้สูงอายุในต่างจังหวัดต้องการการมีตัวตนในชุมชน กรณีที่พบคือผู้สูงอายุไม่ออกจากบ้านเลย แต่พอเพื่อนออกมาเต้นแอโรบิค เขาก็ออกจากบ้านมาออกกำลังกายด้วย ภูมิใจที่ใส่ชุดนักเรียน และชอบให้เรียกว่านักเรียน สรุปได้ว่าในการทำกิจกรรมต่างๆ ต้องเริ่มต้นจากความสุข ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุอยากเข้าร่วม
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ผู้สูงอายุต่างจังหวัดไม่มีความสุขกับการจัดการทรัพย์สินของตัวเอง คิดว่าตนเองมีความรู้ไม่เพียงพอ ไม่แน่ใจว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้หมดปัญหาได้จริงหรือไม่ และเห็นด้วยกับข้อเสนอของ ศ.แสวง ที่ว่าต้องดูแลคุณภาพชีวิตและการจัดการทรัพย์สินของผู้สูงอายุ โดยเชื่อมสองส่วนเข้าด้วยกันกล่าวคือ ผู้ที่ดูแลทรัพย์สินต้องรับผิดชอบดูแลคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุด้วย
ทั้งหมดนี้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสังคมสูงวัย ซึ่งไม่นานเกินรอ...
เพื่อนำเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เตรียมรับมือสังคมสูงวัยของประเทศไทย
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย หน่วยงานที่ศึกษาวิจัยรวบรวมความรู้และส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมวิชาการข้อเสนอเชิงนโยบาย ประเด็นมาตรการทางกฎหมายเพื่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ และนโยบายส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อประกอบการจัดทำ แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 3เมื่อกลางเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา
ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้จัดการโครงการการทบทวนสถานการณ์ความต้องการ
ระบบและเครื่องมือ ที่จะตอบสนองต่อปัญหาของผู้สูงอายุในประเทศไทยและการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะกลาง กล่าวว่าปัญหาของผู้สูงอายุไม่ใช่สุขภาพอย่างเดียว ยังมีเรื่องการจ้างงาน ทักษะใหม่ๆ ทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุมีรายได้เลี้ยงตัวได้ การมีกลุ่มที่มีปฏิสัมพันธ์กับสังคม รวมถึงระบบสวัสดิการของรัฐ
ข้อเสนอเชิงนโยบายทางกฎหมาย นำเสนอโดย ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส และ ไพศาล ลิ้มสถิตย์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และ พิสิษฐ์ ศรีอัคคโภคิน สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
ปัจจุบันมีกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิด้านสุขภาพของผู้สูงอายุหลายฉบับ ที่เป็นหลักคือ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 ซึ่งมีเจตนารมณ์ให้ผู้สูงอายุมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ แต่ยังไม่ครอบคลุมสิทธิตามแนวปฏิบัติของสหประชาชาติ โดยขาดมาตรการคุ้มครองสิทธิในทางปฏิบัติ เน้นการสงเคราะห์ ให้กู้ยืมเงิน การช่วยเหลือเบื้องต้น ขาดมาตรการส่งเสริมให้กลุ่มองค์กรผู้สูงอายุให้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง และได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากภาครัฐ หากเทียบกับเครือข่ายผู้พิการ ซึ่งมีความเข้มแข็งมาก
พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 มาตรา 11 บัญญัติเรื่องสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครอง ส่งเสริม และสนับสนุนด้านต่างๆ อาทิ บริการทางการแพทย์ที่ให้ความสะดวกรวดเร็ว บริการนี้เคยทำในบางรัฐบาลบางชุดเป็นบางช่วง แต่ปัจจุบันไม่มี ทั้งนี้ กฎหมายมอบอำนาจให้หน่วยงานราชการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับผู้สูงอายุเกือบทุกกระทรวง ทั้งการประกอบอาชีพ ฝึกอาชีพที่เหมาะสม การพัฒนาตนเอง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและการวมกลุ่มในลักษณะเครือข่าย ซึ่งกรณีหลังยังไม่เข้มแข็งนัก
ส่วนที่ดำเนินการเป็นรูปธรรมคือ การช่วยเหลือด้านค่าโดยสาร ยานพาหนะ ค่าเข้าชมสถานที่ รวมทั้งการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือน
กล่าวโดยสรุป กฎหมายฉบับนี้มีแนวคิดหลักคือ รัฐ มองว่าผู้สูงอายุไม่มีศักยภาพ อ่อนแอ ต้องให้การสงเคราะห์ กฎหมายขาดกลไกการคุ้มครอง หรือรับรองสิทธิที่ทำให้ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง
คณะผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับระบบการดูแลผู้สูงอายุว่า ควรแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 หรือมี พ.ร.บ.เกี่ยวกับระบบการดูแลที่ครอบคลุมการกำกับดูแลสถานบริบาลผู้สูงอายุ ระบบผู้พิทักษ์สิทธิ เพื่อจัดการทรัพย์สินและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส มีความเห็นว่าเนื่องจากกฎหมายผู้สูงอายุฯ ส่วนใหญ่เป็นงานของกระทรวงสาธารณสุข เขียนไว้อย่างกว้างๆ ไม่มีอำนาจให้กระทรวงอื่นๆ ดำเนินการ เป็นเพียงการขอความร่วมมือ แนวทางแก้คือต้องทำ พ.ร.บ.แม่บทขึ้นมาใหม่ให้ครอบคลุมงานที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุทั้งหมด และให้กระทรวงอื่นๆ รับนโยบายไปดำเนินการ โดยออกกฎกระทรวงขึ้นมารองรับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุในส่วนงานขององค์กร
ส่วนโครงการวิจัยทบทวนนโยบายกิจกรรมทางกายผู้สูงอายุ นำเสนอโดย รศ.ดร.อัจฉรา ปุราคม และคณะ จากศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้กิจกรรมทางกายผู้สูงอายุแบบองค์รวม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กิจกรรมทางกายหรือ การเคลื่อนไหวร่างกาย มีความสำคัญต่อผู้สูงอายุ เพราะทำให้เกิดการเผาพลาญพลังงาน เนื่องจากพอคนเราอายุมากขึ้น ร่างกายเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้การเคลื่อนไหวน้อยลง การที่ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทางกาย จะช่วยพัฒนาและปรับปรุงสุขภาพ ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมไปพร้อมๆ ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น
ควรเคลื่อนไหวแบบที่ออกแรงระดับกลาง อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งแบ่งได้ 6 รูปแบบคือ การทำกิจกรรมทางกายที่บ้าน ในชุมชน ร่วมกับกลุ่ม กิจกรรมเพื่อลดภาวะเนือยนิ่ง กิจกรรมเพื่อป้องกันโรคเรื้อรัง
กิจกรรมประกอบการใช้สมาร์ทโฟน เช่น แอปพลิเคชั่นที่มีการเตือนให้เคลื่อนไหวร่างกายทุกครึ่งชั่วโมง ออกกำลังกายโดยดูตัวอย่างจากคลิปที่ได้รับจากแอปพลิเคชั่นไลน์ เป็นต้น ซึ่งควรทำแบบผสมผสาน ร่วมกับกิจกรรมนันทนาการ ช่องการเข้าถึงของผู้สูงอายุ และให้สอดคล้องกับบริบท และความต้องการของผู้สูงอายุด้วย
รศ.ดร.อัจฉรา ปุราคม กล่าวว่ารายงานการวิจัย มุ่งเน้นในมิติสิ่งแวดล้อมที่เกื้อหนุนกิจกรรมทางกาย การเดินทางอย่างอิสระ โปรแกรมและการเข้าถึงแหล่งข้อมูลกิจกรรมทางกาย 6 ด้าน โดยคำนึงถึงความปลอดภัย การเข้าถึง ความใกล้บ้าน ความสวยงาม ความน่ารื่นรมย์ และพื้นที่สีเขียว
ตัวอย่างเช่น พัฒนานโยบายสิ่งแวดล้อม โดยเน้นความปลอดภัยในการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ เดิน จักรยาน การพัฒนาพื้นที่อาคารสิ่งก่อสร้างที่ผสมผสานประโยชน์ใช้สอยร่วมกับการวางแผนการเดินทาง และการจัดโปรแกรมกิจกรรมทางกายให้กับผู้สูงอายุ โดยเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่การเดินทางจากที่อยู่อาศัยกับสถานที่ปลายทาง
ในเรื่องการเดินทาง ควรพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เดินทางด้วยความปลอดภัย สร้างระบบผู้ดูแลผู้สูงอายุเดินทางไปยังที่ต่างๆ โดยใช้จิตอาสาในชุมชนปรับปรุงเส้นทางการเดินโดยแยกส่วนจากผิวจราจรทางรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์
เข้มงวดกับผู้สูงอายุที่ขับขี่รถยนต์มากขึ้น เช่น ตรวจสอบศักยภาพการขับขี่ทุกปี เพื่อความปลอดภัยของทุกในพื้นที่สาธารณะ ปรับปรุงสัญญาณจราจรให้ผู้สูงอายุมองเห็นชัดเจน เป็นต้น
ช่วงท้ายของการประชุม รัฐสภา จุรีมาศ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่า จากการที่ได้ไปสอนโรงเรียนผู้สูงอายุที่จังหวัดนครนายก สระแก้ว มีข้อสังเกตคือ ผู้สูงอายุในต่างจังหวัดต้องการการมีตัวตนในชุมชน กรณีที่พบคือผู้สูงอายุไม่ออกจากบ้านเลย แต่พอเพื่อนออกมาเต้นแอโรบิค เขาก็ออกจากบ้านมาออกกำลังกายด้วย ภูมิใจที่ใส่ชุดนักเรียน และชอบให้เรียกว่านักเรียน สรุปได้ว่าในการทำกิจกรรมต่างๆ ต้องเริ่มต้นจากความสุข ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุอยากเข้าร่วม
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ผู้สูงอายุต่างจังหวัดไม่มีความสุขกับการจัดการทรัพย์สินของตัวเอง คิดว่าตนเองมีความรู้ไม่เพียงพอ ไม่แน่ใจว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้หมดปัญหาได้จริงหรือไม่ และเห็นด้วยกับข้อเสนอของ ศ.แสวง ที่ว่าต้องดูแลคุณภาพชีวิตและการจัดการทรัพย์สินของผู้สูงอายุ โดยเชื่อมสองส่วนเข้าด้วยกันกล่าวคือ ผู้ที่ดูแลทรัพย์สินต้องรับผิดชอบดูแลคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุด้วย
ทั้งหมดนี้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสังคมสูงวัย ซึ่งไม่นานเกินรอ...
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google