Porsche Cayenne (ปอร์เช่ คาเยนน์) 3.0 Diesel เจ้ากบยักษ์สุดหรูกับขุมพลังดีเซล V6

18 ธ.ค. 62 17:23 น. / ดู 465 ครั้ง / 0 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์


Porsche Cayenne (ปอร์เช่ คาเยนน์) 3.0 Diesel เจ้ากบยักษ์สุดหรูกับขุมพลังดีเซล V6 จัดเป็นรถหรูอเนกประสงค์คันนึงที่เรียกได้ว่าครบเครื่องเลย โดยตัวถังของรถได้รับการปรับเปลี่ยนให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น โดยไม่สูญเสียความคล่องตัวไป และทำให้รถมีทั้งสมรรถนะ ความสะดวกสบายควบคู่ไปกับความสปอร์ตมากกว่าแต่ก่อน และทำให้คาเยนน์ (cayenne) กลายมาเป็นรถที่ดีที่สุดในตลาดรถสปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) เลยทีเดียว


รูปลักษณ์ที่คมเข้มมากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับจุดเด่นมากมาย ซึ่งเป็นมาตรฐานของรถและเพิ่มศักยภาพของพละกำลังเครื่องยนต์ให้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้คือคุณลักษณะหลัก ของปอร์เช่ คาเยนน์ (Cayenne)



1.ใหม่ล่าสุด รถสปอร์ตอเนกประสงค์ (SUVs) มาพร้อมกับ 5 ที่นั่ง และมีความโดดเด่นพร้อมด้วยคุณสมบัติเด่นของรถในคลาสรถหรู มาพร้อมกับที่ว่างในห้องโดยสารที่กว้างขวางมากขึ้น พร้อมให้ความสุนทรีย์ในการขับขี่ สมรรถนะของรถสูงขึ้นและเปี่ยมไปด้วยรูปลักษณ์ที่มีความเป็นปอร์เช่ทุกประการ

2. มาพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบ plug-in hybrid ถือเป็นครั้งแรกในตลาดรถสปอร์ตอเนกประสงค์ (SUV) ในคลาสรถหรู จากที่เคยใช้ในรุ่นพานาเมร่า เอส อี-ไฮบริด (Panamera S E-Hybrid) และรุ่น 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) มาแล้ว ทำให้ปอร์เช่กลายมาเป็นโรงงานผลิตรถยนต์รายแรกของโลก ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบ plug-in hybrid กับรถทั้ง 3 รุ่นนี้ เครื่องยนต์ของคาเยนน์ (Cayenne) ใหม่ล่าสุด แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาศักยภาพและสมรรถนะของรถที่ดียิ่งขึ้น พร้อมด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีกว่ารุ่นก่อน



คาเยนน์ (Cayenne) คือปอร์เช่รุ่นที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ปอร์เช่ได้แนะนำคาเยนน์ (Cayenne) เจเนอเรชั่นแรกให้เป็นที่รู้จักในปี 2002 ถือกำเนิดขึ้นภายใต้แนวคิดในกลุ่มตลาดรถสปอร์ต อเนกประสงค์ (SUV) อย่างแท้จริง ซึ่งมียอดขายที่เหนือความคาดหมาย โดยเจเนอเรชั่นแรกมียอดผลิตที่สูงถึง 276,000 คัน หลังจากเข้าสู่ตลาด (ตั้งแต่ปี 2002 ถึง 2010) และ 303,000 คัน สำหรับเจเนอเรชั่นที่ 2 ที่เผยโฉมในปี 2010 และยังคงผลิตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นคาเยนน์ (Cayenne) ไม่เพียงแค่เป็นรถที่ออกมาสร้างยอดขายและกำไรให้กับปอร์เช่เท่านั้น หากยังเป็นรถสปอร์ตแห่งอนาคตด้วยเช่นกัน




ด้านข้างที่การออกแบบในรุ่นนี้ถือว่ามีความเพรียวลงกว่ารุ่นแรกอยู่มากๆครับ เพราะสามารถลดน้ำหนักตัวรถไปได้มากถึง 180KG อีกทั้งยังใหญ่ขึ้นทุกมิติด้วยครับ เหตุผลเนื่องมาจากว่ามีการใช้ชิ้นส่วน Aluminium มากขึ้นครับ ไม่ว่าจะกระโปรงหน้า ฝาท้ายหลัง ด้านข้างประตู ฯลฯ




รูปลักษณ์ภายนอกที่คมชัดมากยิ่งขึ้น
ในรุ่นล่าสุดนี้ นักออกแบบจากปอร์เช่ได้ออกแบบให้คาเยนน์ (Cayenne) มีความเข้ม ดุดัน มีเส้นสายที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น การจัดวางตำแหน่งของไฟใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ดูโฉบเฉี่ยวมากกว่าเดิม ด้านหน้าของตัวรถได้รับการออกแบบใหม่หมดทั้งปีกหน้าและฝากระโปรง อีกสิ่งหนึ่งที่มีความโดดเด่นคือ กระจังหน้าช่องดักลม หรือ Aidblades ที่ติดตั้งอยู่ทั้งด้านขวาและซ้ายของหน้ารถ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการดักอากาศที่จะเข้ามาระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้เพิ่มขึ้น

คาเยนน์ (Cayenne) ใหม่ล่าสุด มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของปอร์เช่ตั้งแต่แรกเห็น โดยมีไฟหน้าแบบไบซีนอล (bi-xenon) ที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับรุ่นมาตรฐาน และรุ่นเอส มาพร้อมกับไฟหน้า LED Daytime แบบ 4 จุดอย่าง “hovering” ส่วนรุ่นสูงสุดอย่างคาเยนน์ เทอร์โบ (Cayenne Turbo) มาพร้อมกับไฟหน้า LED และระบบไฟแบบอัจฉริยะ Porsche Dynamic Light System (PDLS)



ท่อคู่แท้ๆครับผม โดยถ้าเป็นตัว Turbo จะเป็นออกคู่ต่อข้างพร้อม SportExhaust System ครับ โดยเวลาเร่งมากๆไม่มีควันดำออกมาซักช่วงเลยครับไม่ว่าจะเร่งจัดแค่ไหน ระบบเผาไหม้และระบบกรองอากาศของเค้าทำมาดีมากครับ




ด้านท้ายของคาเยนน์ (Cayenne) ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ ให้มีมิติมากขึ้น โดยมีไฟเบรก 3 ส่วน รวมถึงไฟ LED Daytime ทางด้านหน้าที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มี 4 ชิ้นส่วน ตำแหน่งติดกรอบป้ายทะเบียนได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ให้ดูเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ที่จับฝากระโปรงและไฟส่องสว่างได้รับการผสมผสานติดตั้งเข้าด้วยกัน เพื่อความโดดเด่น นักออกแบบยังได้ทำการออกแบบเส้นสายของรถให้มีมิติมากยิ่งขึ้น ปลายท่อได้รับการออกแบบใหม่และถูกติดตั้งเข้าไว้กับส่วนล่างของรถ� มีจุดเด่นคือการเปิดปิด ฝากระโปรงแบบอัตโนมัติอีกด้วย




ในส่วนของรูปลักษณ์ภายใน

นักออกแบบได้ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายในห้องโดยสารให้มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับผู้ขับขี่มากขึ้น พวงมาลัยจะออกมาในรูปแบบพวงมาลัยสปอร์ตอเนกประสงค์ที่มาพร้อมกับก้านเกียร์ ซึ่งเป็นพวงมาลัยที่ใช้ในรุ่น 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ที่สุดของนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตอีกด้วย เบาะนั่งแบบพ่นลมเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามรถเลือกติดตั้งให้กับเบาะหลังได้ สีภายในที่ใช้คือ Luxor Beige ครับผม สีโทนสว่างที่ช่วยให้รถดูหรูหรามากขึ้นและโปร่งสบายมากขึ้นครับ แต่ก็ต้องดูแลรักษาหนักหน่อยนะครับ


ในส่วนของตำแหน่งถุงลมนิรภัยก็จะมีด้วยกัน 6 จุด คู่หน้า+คู่**ข้าง+ม่านนิรภัยตลอดแนวครับ




พวงมาลัย Multifunction พร้อม Paddle Shift ครับการตอบสนองถือว่าเร็วใกล้เคียงกับ Dual Clutch เลยนะครับ �สามารถกด-+ได้ทั้ง2ฝั่งครับ ด้านหลังมีก้านปรับระบบ Cruise Control




รูกุญแจ, การปรับระบบไฟหน้าครับ แล้วก็เบรคมือแบบไฟฟ้าครับแค่กดกับดึงออกครับ



จอ PCM Version 3.0 มาพร้อมระบบ FM/AM, DVD , Navigator , MAP และ Universial Media Interface พร้อมลำโพง BOSE ให้ความรู้สึกในย่านเบสที่หนักแน่น



ด้านหลังมีระบบ Rear Seat Entertainment โดยจะมีจอขนาด 7"คุณภาพจอพอๆกลับ iPad อะครับ� อยู่ที่หลังพนักพิงทั้ง2ครับ มี Drive แยกดูกันได้ครับ หรือจะทำการ CrossLink ก็ได้ครับ (1 แผ่นออก 2 จอครับ)� แล้วก็จะมีรู USB และ AV-in ที่ด้านใต้เพิ่มครับสำหรับต่อกับ iPhone แล้วดูหนังจากในนั้นก็ได้ครับ� โดยจะมาพร้อมกับ หูฟังของ Porsche เองจำนวน 2 คู่ครับ




ปุ่มปรับกระจกมองข้าง + พับกระจก + หน้าต่างทุกบานแบบ one-touch + ปุ่มกันการกดกระจกเล่นจากเด็ก ใช้สำหรับกระจกคู่หลังครับ โดย Speed ของการขึ้นลงกระจกนั้นถือว่าเร็วมากครับ� พร้อมระบบ Jam Protection ครับผม




คันเกียร์ ซึ่งมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 Speed Tiptronic ครับ� โดยไม่ใช่ Dual Clutch / PDK เหมือน Porsche รุ่นอื่นๆนะครับ
เพราะทาง Porsche เองได้ทำการวิจัยแล้วว่าทอร์ทคอนเวนเตอร์นั้นเหมาะสำหรับการขับขี่แบบ OffRoad มากกว่า PDK ครับผม



แถวซ้ายสุด จะเป็นปุ่มที่ใช้ควบคุมการขับขี่แบบ OnRoad-OffRoad โดยจะมีการควบคุมตัว Center Differential และ Rear Differential ซึ่งอันนี้ผมขอไม่อธิบายนะครับผม เพราะยังไมเคยลองใช้เหมือนกัน � โดยปุ่มนี้จะไม่มีให้เห็นใน Porsche Cayenne S Hybrid นะครับผม

แถวกลาง จะเป็นปุ่มปรับความหนืดของโช๊คครับโดยจะทำงานแบบไฟฟ้า แล้วยังมีผลต่อถึงความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ การตอบสนองของคันเร่ง ด้วยครับผม โดยจะมี Comfort-Normal-Sport ให้เลือกใช้ครับผม

แถวขวา เป็นระบบปรับความสูงต่ำของถุงลมครับ มีความสูงต่างๆให้เลือกใช้ครับ

มาต่อในส่วนของด้านล่าง

ปุ่ม SPORT คือ ปุ่มที่ใช้กดเพื่อเร่งการตอบสนองของเครื่องยนต์ และต่างๆให้หนักแน่นมากยิ่งขึ้น �ไม่ใช้ปุ่มที่กดไว้ให้ใจ sport เหมือนกับที่พี่จิมมี่พูดไว้ในคลิป W212 นะครับผม +
Auto Start-Stop กดให้ไฟขึ้นเพื่อยกเลิกการทำงาน
โดยระบบAuto Start-Stop นี้จะไม่ทำงานก็ต่อเมื่อ รถยนต์อยู่ในโหมด Off-Road, แอร์เร่งสุด , ความร้อนของรถไม่ได้ , อยู่บนเนิ่นที่ชั่นเกิน
ระบบควบคุมเสถียรภาพต่าง Off �จริงๆก็ควรจะเปิดไว้ตลอดอยู่แล้วครับ
Hill Control �สามารถเลือกความเร็วที่ต้องการได้เวลาลงเนินที่ชันมากๆครับ โดยทำการกำหนดค่าโดยการ ค่อยๆเพิ่มแป้นคันเร่งครับ แล้วระบบจะทำการ Lock ความเร็วให้เราเองครับผม



ในสองส่วนนี้ใช้ปรับแอร์แยก 2 ส่วน ปรับการเป่าของแอร์ และระบบระบายอากาศใต้เบาะ





ในส่วนของเบาะรุ่นนี้ ที่ดีคือพวงมาลัยปรับไฟฟ้าและ Memory ครับ เพราะจะเหมาะถ้ามีคนขับรถด้วยแล้วเราต้องขับด้วย เวลาขึ้นรถก็แค่กดปุ่มตัวเลขครับ เวลาจะเมมก็กด Set ก่อนแล้วค่อยกดตัวเลขเพื่อ Save ทับครับ � โดยจะจำค่าทุกอย่างของเก้าอี้นั่ง + ตำแหน่งพวงมาลัย + ตำแหน่งกระจกข้าง + Channal โปรดจำพวกเพลงและวิทยุรวมถึงความดังของเสียงด้วยครับ



ส่วนเบาะหลังมาพร้อมกับตรา Porsche แบบนูน 3D เบาะจะสามารถปรับองศาเอียงไปด้านหลังได้ประมาณ + - 5 Degrees นั่งระยะไกลได้สบาย และนุ่มนวลครับ




ไฟในรถครับ แล้วก็การควบคุม Panoramic Roof กับ ม่านไฟฟ้าด้านบนครับ




Panoramic Roof ครับ ประกอบไปด้วยกระจกแก้วทั้ง2บานครับ บานหน้าจะสามารถเปิดออกเหมือน Sunroof ได้ หรือจะเปิดด้านหลังเพื่อทำการไล่อากาศก็ได้ครับ บานหลังจะเป็นบาน Fix ครับผมไม่สามารถเปิดออกได้ครับ ซึ่งจะมาพร้อมกับม่านบังแดดด้านบนแบบไฟฟ้า ที่สามารถบังแสงได้ค่อนข้างดีในระดับนึงครับ



ประหยัดมากขึ้น ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล



รุ่นดีเซลของคาเยนน์ (Cayenne) จะผสมผสานในเรื่องของสมรรถนะความเป็นสปอร์ตเข้าไว้กับการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้น โดยเครื่องยนต์ขนาด 3 ลิตร V6 ของคาเยนน์ ดีเซล (Cayenne Diesel) สามารถผลิตพละกำลังเครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 262 แรงม้า (193 กิโลวัตต์) ที่รอบเครื่องยนต์ 4,000 รอบ/นาที และมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ระหว่าง 14.7 – 15.15 กิโลเมตร/ลิตร (6.6 และ 6.8 ลิตร/100 กิโลเมตร) (อัตราการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 173 – 179 กรัม/กิโลเมตร) เนื่องจากระบบ SCR ที่ทำให้รถพร้อมและรองรับมาตรฐานน้ำมันแบบ EU6 ได้ แรงบิดอยู่ที่ 580 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที รถมีอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 7.3 วินาที (หากติดตั้งอุปกรณ์เสริมแพ็คเกจ Sport Chrono package จะอยู่ที่ 7.2 วินาที) ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 221 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แต่ถ้าหากคุณผู้อ่านสนใจอยากเป็นเจ้าของแล้วละก็ทาง�Apple Luxury Car ขอนำเสนอกับ Porsche Cayenne 3.0 (ปี 2012) Diesel Wagon AT ซึ่งราคาร่วงมาจากมือหนึ่งออกศูนย์เป็นอย่างมาก ด้วยราคาเพียงแค่ 3,990,000 บาท เท่านั้น ท่านผู้อ่านก็จะได้รถคันนี้ไปใช้งาน หรือสะสมเป็นคอลเลคชั่นส่วนตัวกันได้เลย

เข้าชม Porsche Cayenne 3.0 (ปี 2012) Diesel�มือสอง คลิกเลย!!!
หรือเข้าชม>>> Porsche Cayenne มือสอง <<< คันอื่นๆคลิก
สามารถติดต่อได้ที่ Apple Luxury Car โชว์รูมรถมือสอง
Tel : 080-24-11111
Line : darunee4043
เลขไอพี : ไม่แสดง | ตั้งกระทู้โดย Windows 10

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google