เพราะรัฐฯ วางแผนฉีดวัคซีนช้า แล้วไม่ยอมให้เอกชนนำเข้าวัคซีนใช่มั้ย เหตุการณ์เลยเป็นแบบนี้
11 เม.ย. 64 22:07 น. /
ดู 904 ครั้ง /
1 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
และแล้วสงกรานต์ปีนี้ก็เป็นปีที่ 2 ที่คนไทยไม่ได้สาดน้ำกัน และไวรัสโควิด-19 ก็ยังแพร่เชื้ออย่างต่อเนื่อง
เท่าที่สังเกตมา ตั้งแต่ที่มีวัคซีนโควิด-19 ขึ้น ประเทศเราคิดจะนำเข้าและผลิตโดยรัฐบาลเป็นแกนหลัก โดยที่ไม่ให้โรงพยาบาลเอกชนนำเข้าเลย
ซึ่งส่วนตัวเราเองไม่เห็นด้วยมากๆ เพราะแทนที่การฉีดวัคซีน จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว กลับทำให้ล่าช้า
เราเชื่อเลยว่า หากมีการนำเข้าโดยโรงพยาบาลเอกชน จะมีคนจำนวนมากยอมควักเงินเข้าไปฉีดอย่างแน่นอน
และตอนนี้ก็เห็นกันแล้วว่าเชื้อแพร่กระจายไปทั่ว เพราะเป็นช่วงสงกรานต์หยุดยาว ใครก็อยากกลับบ้านไปเที่ยว เรื่องนี้จะไม่โทษรัฐบาล ไม่ได้เลย เพราะเห็นได้ชัดว่าเกิดจากการกั๊กของรัฐบาลเองโดยตรง เราเองเคยอ่านในกระทู้ เค้าบอกว่ารัฐฯ คำนวนและเอาวัคซีน เข้ามาฉีดช้ามาก กว่าจะฉีดครบก็คงใช้เวลาอีก 20 ปี เราก็คิดว่าถ้าเป็นไปตามนั้นจริง ก็ช้าจัดๆ ซึ่งพอมีการแพร่เชื้อกันทั่วประเทศ ก็เห็นได้ชัดเลยว่าการกั๊กของรัฐบาลที่ไม่ให้โรงพยาบาลเอกชนนำเข้านั้นมีผลกระทบขนาดไหน
เราเป็นคนหนึ่งที่เคยไม่อยากให้มีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามา แต่เมื่อสถานการณ์ที่มีการระบาดจากที่นู้นที่นี่เป็นระยะๆ ก็ทำให้เราเห็นว่าไม่เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างเป็นปกติก็ยังระบาดติดเชื้อกันเหมือนเดิม ยิ่งเปิดประเทศช้า โอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก็ยากลำบากไปทุกที
เมื่อเป็นแบบนี้เราก็เลยมีความคิดว่า ถ้าอย่างนั้นก็เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจก่อนเหอะ จะเปิดหรือปิดยังไง ก็ยังติดเชื้อกันอยู่ดี
ส่วนตัวแล้วโอเคมาก ทีมีแผนเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัว แต่ในรายละเอียดก็มีอยู่นะ เค้าจะให้แบ่งออกเป็น 4 ระยะ
1. ระยะแรกเริ่มวันที่ 1 เมษายนนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางไปจังหวัดนำร่อง คือ ภูเก็ต กระบี่ พังงา เชียงใหม่และพัทยา จังหวัดชลบุรี ต้องได้รับการฉีดวัคซีนและมีใบรับรองการฉีดวัคซีน สามารถกักตัว 7 วันภายในโรงแรม
2.ระยะที่สอง ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป เฉพาะที่จังหวัดภูเก็ต นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีน 2 โดส ไม่จำเป็นต้องกักตัว แต่สำหรับพื้นที่อื่นยังต้องกักตัว 7 วัน
3.ระยะที่สาม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป เฉพาะพื้นที่นำร่อง 5 แห่ง นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต้องกักตัว หากรับการฉีดวัคซีนและมีใบรับรองการฉีดวัคซีน
4.ระยะที่สี่ เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ไม่ต้องกักตัว หากมีใบรับรองการฉีดวัคซีนจากประเทศต้นทาง
ถึงแม้ว่าจะโอเคกับแผนเปิดประเทศ 4 ระยะ แต่ด้วยความที่ต้องเซฟตัวเองจะให้ใจกล้าบ้าบิ่นไม่ดูเรื่องของการป้องกัน การฉีดวัคซีนเลยก็ยังไม่ได้ เมื่อเห็นอัตราความก้าวหน้าในการฉีดวัคซีนในประเทศไทยก็แทบจะเป็นลม
ประเทศไทยได้รับวัคซีนตั้งแต่ 25 ก.พ. 64 ที่ผ่านมา และเริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 64 จนถึงปัจจุบันที่มีการเก็บข้อมูลอยู่ ณ วันที่ 31 มี.ค. 64
านไป 1 เดือน ฉีดไปได้ 180,447 โดส จากแผนการกระจายวัคซีน ในเดือน มี.ค. มีวัคซีน 300,000 โดส ก็เท่ากับว่าเป็นไปตามแผนการกระจายในเดือน มี.ค.อยู่ที่ 60%
โดยที่มีผู้ที่ได้รับการฉีดไปแล้ว 180,477 ราย และจากระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 31 มี.ค. คิดเป็น 32 วัน
เท่ากับว่าเฉลี่ยแล้วในระยะเวลาที่ผ่านมามีคนที่ได้รับการฉีดอยู่ที่ 5,640 ต่อวัน
เมื่อต้องฉีด 60% ของจำนวนประชากร ก็เท่ากับว่าต้องฉีดให้กับคนไทย 40,200,000 คน
ถ้าการทำงานยังคงประสิทธิภาพอยู่เท่านี้ ไม่มีการเปลี่ยนแผนหรือทำอะไร......ก็เท่ากับว่าต้องใช้ระยะเวลาถึง 19.6 ปี ถึงจะฉีดวัคซีนให้ครบ 60% ของจำนวนประชากร
ในขณะเดียวกันตัดภาพมาที่เรื่องของเศรษฐกิจที่จะต้องเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในเดือน เม.ย. 64 นี้ ดังนั้นหนทางเดียวคือ รัฐจะต้องเร่งฉีดวัคซีน ให้มากที่สุดและด่วนที่สุด ซึ่งในตอนนี้ก็ได้มีข่าวว่าจะมีการปรับแผนแล้ว ประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในแผนการกระจายวัคซีนในช่วงแรกก็ขอภาวนาให้การทำงานราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใดๆ เพื่อจะให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยมีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง เข้มแข็งทั้งร่างกาย และเข้มแข็งทั้งเศรษฐกิจ ด้วยเถิด สาธุ
ขอบคุณข้อมูลจากพันทิพ: https://pantip.com/topic/40618925/
ขอแชร์เนื้อหาอีกรอบ ว่าการคำนวนที่เหมือนจะดูตลก แต่เป็นการประชดประชันชัดๆ ว่าฉีดตามแผนของรัฐบาลนั้น 20 ปี กว่าจะครบนั้นเป็นเรื่องแท้จริง เพราะตอนนี้เองมันกลัช้าไปแล้ว
เท่าที่สังเกตมา ตั้งแต่ที่มีวัคซีนโควิด-19 ขึ้น ประเทศเราคิดจะนำเข้าและผลิตโดยรัฐบาลเป็นแกนหลัก โดยที่ไม่ให้โรงพยาบาลเอกชนนำเข้าเลย
ซึ่งส่วนตัวเราเองไม่เห็นด้วยมากๆ เพราะแทนที่การฉีดวัคซีน จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว กลับทำให้ล่าช้า
เราเชื่อเลยว่า หากมีการนำเข้าโดยโรงพยาบาลเอกชน จะมีคนจำนวนมากยอมควักเงินเข้าไปฉีดอย่างแน่นอน
และตอนนี้ก็เห็นกันแล้วว่าเชื้อแพร่กระจายไปทั่ว เพราะเป็นช่วงสงกรานต์หยุดยาว ใครก็อยากกลับบ้านไปเที่ยว เรื่องนี้จะไม่โทษรัฐบาล ไม่ได้เลย เพราะเห็นได้ชัดว่าเกิดจากการกั๊กของรัฐบาลเองโดยตรง เราเองเคยอ่านในกระทู้ เค้าบอกว่ารัฐฯ คำนวนและเอาวัคซีน เข้ามาฉีดช้ามาก กว่าจะฉีดครบก็คงใช้เวลาอีก 20 ปี เราก็คิดว่าถ้าเป็นไปตามนั้นจริง ก็ช้าจัดๆ ซึ่งพอมีการแพร่เชื้อกันทั่วประเทศ ก็เห็นได้ชัดเลยว่าการกั๊กของรัฐบาลที่ไม่ให้โรงพยาบาลเอกชนนำเข้านั้นมีผลกระทบขนาดไหน
เมื่อเป็นแบบนี้เราก็เลยมีความคิดว่า ถ้าอย่างนั้นก็เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจก่อนเหอะ จะเปิดหรือปิดยังไง ก็ยังติดเชื้อกันอยู่ดี
ส่วนตัวแล้วโอเคมาก ทีมีแผนเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัว แต่ในรายละเอียดก็มีอยู่นะ เค้าจะให้แบ่งออกเป็น 4 ระยะ
1. ระยะแรกเริ่มวันที่ 1 เมษายนนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางไปจังหวัดนำร่อง คือ ภูเก็ต กระบี่ พังงา เชียงใหม่และพัทยา จังหวัดชลบุรี ต้องได้รับการฉีดวัคซีนและมีใบรับรองการฉีดวัคซีน สามารถกักตัว 7 วันภายในโรงแรม
2.ระยะที่สอง ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป เฉพาะที่จังหวัดภูเก็ต นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีน 2 โดส ไม่จำเป็นต้องกักตัว แต่สำหรับพื้นที่อื่นยังต้องกักตัว 7 วัน
3.ระยะที่สาม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป เฉพาะพื้นที่นำร่อง 5 แห่ง นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต้องกักตัว หากรับการฉีดวัคซีนและมีใบรับรองการฉีดวัคซีน
4.ระยะที่สี่ เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ไม่ต้องกักตัว หากมีใบรับรองการฉีดวัคซีนจากประเทศต้นทาง
ถึงแม้ว่าจะโอเคกับแผนเปิดประเทศ 4 ระยะ แต่ด้วยความที่ต้องเซฟตัวเองจะให้ใจกล้าบ้าบิ่นไม่ดูเรื่องของการป้องกัน การฉีดวัคซีนเลยก็ยังไม่ได้ เมื่อเห็นอัตราความก้าวหน้าในการฉีดวัคซีนในประเทศไทยก็แทบจะเป็นลม
ประเทศไทยได้รับวัคซีนตั้งแต่ 25 ก.พ. 64 ที่ผ่านมา และเริ่มฉีดตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 64 จนถึงปัจจุบันที่มีการเก็บข้อมูลอยู่ ณ วันที่ 31 มี.ค. 64
านไป 1 เดือน ฉีดไปได้ 180,447 โดส จากแผนการกระจายวัคซีน ในเดือน มี.ค. มีวัคซีน 300,000 โดส ก็เท่ากับว่าเป็นไปตามแผนการกระจายในเดือน มี.ค.อยู่ที่ 60%
โดยที่มีผู้ที่ได้รับการฉีดไปแล้ว 180,477 ราย และจากระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 31 มี.ค. คิดเป็น 32 วัน
เท่ากับว่าเฉลี่ยแล้วในระยะเวลาที่ผ่านมามีคนที่ได้รับการฉีดอยู่ที่ 5,640 ต่อวัน
เมื่อต้องฉีด 60% ของจำนวนประชากร ก็เท่ากับว่าต้องฉีดให้กับคนไทย 40,200,000 คน
ถ้าการทำงานยังคงประสิทธิภาพอยู่เท่านี้ ไม่มีการเปลี่ยนแผนหรือทำอะไร......ก็เท่ากับว่าต้องใช้ระยะเวลาถึง 19.6 ปี ถึงจะฉีดวัคซีนให้ครบ 60% ของจำนวนประชากร
ในขณะเดียวกันตัดภาพมาที่เรื่องของเศรษฐกิจที่จะต้องเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในเดือน เม.ย. 64 นี้ ดังนั้นหนทางเดียวคือ รัฐจะต้องเร่งฉีดวัคซีน ให้มากที่สุดและด่วนที่สุด ซึ่งในตอนนี้ก็ได้มีข่าวว่าจะมีการปรับแผนแล้ว ประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในแผนการกระจายวัคซีนในช่วงแรกก็ขอภาวนาให้การทำงานราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใดๆ เพื่อจะให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยมีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง เข้มแข็งทั้งร่างกาย และเข้มแข็งทั้งเศรษฐกิจ ด้วยเถิด สาธุ
ขอบคุณข้อมูลจากพันทิพ: https://pantip.com/topic/40618925/
ขอแชร์เนื้อหาอีกรอบ ว่าการคำนวนที่เหมือนจะดูตลก แต่เป็นการประชดประชันชัดๆ ว่าฉีดตามแผนของรัฐบาลนั้น 20 ปี กว่าจะครบนั้นเป็นเรื่องแท้จริง เพราะตอนนี้เองมันกลัช้าไปแล้ว
แก้ไขล่าสุด 11 เม.ย. 64 22:16 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google