เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ด้วยการทำเด็กหลอดแก้วคืออะไร มีขั้นตอนอย่างไร
20 เม.ย. 64 16:27 น. /
ดู 3,536 ครั้ง /
0 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
hashtag:
#เด็กหลอดแก้ว
โดยธรรมชาติแล้ว หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงตกไข่โอกาสตั้งครรภ์มีประมาณ 20% กรณีคู่สมรสที่มีปัญหามีบุตรยาก โอกาสตั้งครรภ์ขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุ เช่น หญิงอายุน้อยมีปัญหาไข่ไม่ตก มีโอกาสตั้งครรภ์มากกว่าหญิงอายุมาก เป็นต้น ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ทาง โรงพยาบาลนำมาใช้รักษาคู่สมรสที่มีบุตรยาก หรือคู่รักที่กำลังประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก ก็คือ การทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องการทำเด็กหลอดแก้วมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังลังเลว่าเทคโนโลยีการทำเด็กหลอดแก้วที่ว่านี้มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วเราลองไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกันเลยค่ะ
เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (การทำเด็กหลอดแก้ว) คือการฉีดยาเพื่อกระตุ้นรังไข่ แล้วเจาะดูดไข่ออกมาผสมกับอสุจิในงานทดลอง แล้วเลี้ยงจนเป็นตัวอ่อน (embryo culture) อายุ 3-5 วัน (ตัวอ่อนอายุ 5 วัน เรียก blastocyst) แล้วจึงย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก
1.กระตุ้นรังไข่ให้ฟองไข่โตพร้อมกันหลาย ๆ ใบ โดยปกติจะเริ่มกระตุ้นรังไข่ในวันที่ 2-3 ของรอบเดือน ด้วยการฉีดยาติดต่อกันเฉลี่ยแล้วจะฉีดประมาณ 8-12 วัน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วยเอง โดยปกติจะต้องการไข่จำนวน 8-15 ใบ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้หญิงแต่ละคน)
2.ตรวจติดตามการเจริญเติบโตของฟองไข่ แพทย์จะทำการใช้เครื่องอัลตราซาวด์ ร่วมกับการประเมินระดับฮอร์โมน โดยการตรวจเลือดเป็นระยะ แพทย์จะให้ฉีดยาฮอร์โมน ซึ่งจะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการสมบูรณ์ของฟองไข่ หลังจากนั้นจะทำการเจาะเก็บไข่ภายใน 34-36 ชั่วโมง เพื่อดูดเอาเซลล์ไข่ออกมาเตรียมปฏิสนธิภายนอกร่างกาย
3.เจาะเก็บไข่ การเจาะเก็บไข่ผ่านทางช่องคลอด (ไม่มีแผลหน้าท้อง) ทำโดยใช้เครื่องอัลตราซาวด์บอกตำแหน่ง แล้วใช้เข็มเล็ก ๆ เจาะไข่ออกมาจากรังไข่ แพทย์จะให้ยานอนหลับขณะเก็บไข่ เพื่อลดความเจ็บปวดขณะเจาะเก็บไข่ แล้วนำเซลล์ไข่จะถูกนำออกมาทำความสะอาดในน้ำยาสำหรับเพาะเลี้ยง และเก็บไว้ในห้องปฏิบัติการ เพื่อนำไปปฏิสนธิกับอสุจิ
4.เก็บน้ำเชื้อของฝ่ายชาย ในวันที่ฝ่ายหญิงเจาะเก็บฟองไข่ ฝ่ายชายต้องมาเพื่อเก็บเชื้ออสุจิสำหรับปฏิสนธิ โดยหลั่งอสุจิภายในภาชนะที่จัดไว้ ซึ่งเป็นภาชนะปราศจากเชื้อ จากนั้นมาทำความสะอาดและคัดเลือกตัวที่แข็งแรง ก่อนจะนำมาปฏิสนธิกับไข่ในห้องปฏิบัติการที่มีการควบคุมอุณหภูมิ ความดัน ความชื้น และแสง โดยใช้เวลาเลี้ยงตัวอ่อนภายนอกร่างกายทั้งหมด 3-5 วัน
5.เลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ โดยทั่วไปจะทำการเพาะเลี้ยงเป็นระยะเวลา 3-5 วัน ในห้องปฏิบัติการที่ควบคุมปัจจัยที่เหมาะสมกับตัวอ่อนในบางรายที่มีข้อบ่งชี้อาจมีการตรวจโครโมโซมเพื่อหาความผิดปกติของตัวอ่อน และแพทย์จะเลือกตัวอ่อนที่มีความสมบูรณ์ในการนำย้ายกลับสู่โพรงมดลูกต่อไป
6.ย้ายตัวอ่อนกลับสู่โพรงมดลูก ทำโดยการใช้หลอดพลาสติกเล็ก ๆ สอดผ่านทางช่องคลอดเข้าไปในโพรงมดลูก แล้ววางตัวอ่อนลงไปภายใต้การอัลตราซาวด์ดูตำแหน่งที่เหมาะสม ทั้งนี้ขณะใส่ตัวอ่อน คนไข้จะรู้สึกตัวตลอดเวลา และไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ เมื่อใส่ตัวอ่อนเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะให้นอนพักอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนกลับบ้าน และเมื่อถึงบ้านให้นอนพัก ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือการออกกำลังกายช่วงท้องน้อยหรือหน้าขา และงดการมีเพศสัมพันธ์ ที่สำคัญคือ การใช้ยาสำหรับสอดช่องคลอดและยาฮอร์โมนรับประทานตามคำสั่งของแพทย์ทุกวันจนถึงวันนัด และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
7.ตรวจการตั้งครรภ์ หลังจากใส่ตัวอ่อนไปแล้ว 9-11 วัน แพทย์จะนัดเจาะเลือดตรวจหาระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยตรวจการตั้งครรภ์เอง เนื่องจากอาจมีความผิดพลาดได้
อย่างไรก็ตามการรักษาการมีบุตรยากไม่ได้มีแค่ การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF เท่านั้น แต่ยังมีวิธีการอื่น ๆ ซึ่งเหมาะกับอาการป่วยของแต่ละคู่ ในมุมที่แตกต่างกันไป โดยเปรียบเทียบ ข้อดี ข้อเสีย ก่อนที่จะทำให้รอบครอบเพื่อหาทางออกและวิธีที่จะนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ให้เหมาะสมกับคู่ของตนเองให้ได้มากที่สุดค่ะ
#เด็กหลอดแก้ว
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google