ความผูกพันของสโมสรกับชาวเมืองเลสเตอร์ซิตี้
16 พ.ค. 64 16:59 น. /
ดู 567 ครั้ง /
2 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
ก่อนหน้าที่เกมเอฟเอ คัพจะเริ่มต้นขึ้น ผมลองนั่งค้นหาเรื่องราวอ่านไปเรื่อยและเจอภาพชุดของทีมเลสเตอร์ที่เคยเข้าชิงเอฟเอ คัพ มาก่อนถึง 4 ครั้ง
น่าเศร้าที่พวกเขาแพ้ทั้งหมดครับ แต่ในจำนวนภาพมากมาย (ซึ่งมีภาพของตำนานสุดยอดประตูของอังกฤษถึง 2 คนทั้งกอร์ดอน แบงค์ส และปีเตอร์ ชิลตัน) มีภาพนึงที่ผมสะดุดตาเป็นพิเศษ
ภาพดังกล่าวคือภาพของขบวนรถแห่ที่ทีมจิ้งจอกได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากแฟนๆ
ตอนแรกผมยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจผิดไปหรือเปล่า หรือเลสเตอร์จะเป็นแชมป์มาก่อน? แต่ตรวจสอบแล้วก็ไม่ผิด
แฟนเลสเตอร์มาต้อนรับทีมของพวกเขาเยี่ยงวีรบุรุษแม้จะเป็นผู้แพ้ก็ตาม
ภาพนี้สะท้อนอะไรให้เห็นหลายอย่างครับ โดยเฉพาะความรักความผูกพันของสโมสรกับชาวเมือง
เลสเตอร์ไม่ได้เป็นสโมสรระดับยักษ์ใหญ่ แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิ์ฝัน
จากตอนนั้น (1969) วันเวลาผ่านมาเกือบ 1 ชั่วอายุคน เลสเตอร์ได้กลับมาชิงเอฟเอ คัพอีกครั้งเป็นคราวที่ 5
โลกฟุตบอลเปลี่ยนแปลงไปมากครับ เป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ และสโมสรฟุตบอลก็เป็น "สินทรัพย์" ของนักลงทุนที่เข้ามาจับจองเพื่อหวังจะกอบโกยผลประโยชน์มหาศาล
นักลงทุนเหล่านี้คิดถึงผลกำไรก่อนเป็นอย่างแรก
และความรู้สึกของแฟนฟุตบอลคือสิ่งที่พวกเขาสนใจน้อยที่สุด
หลายสโมสรก็เป็นเช่นนี้ และภาพเหล่านี้ยิ่งชัดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ #ESL การก่อกบฏของ 12 สโมสรที่อ้างว่าเป็นทีมระดับท็อปของยุโรปที่แฟนทั่วโลกต้องการติดตาม
มันนำไปสู่การประท้วงใหญ่ แฟนฟุตบอลเดินลงถนน และพวกเขาต้องการสิทธิ์และเสียงในการตัดสินใจอนาคตสโมสรของพวกเขา ซึ่งไม่ได้เป็นของนายทุน แต่เป็นของชุมชนที่พวกเขาอยู่กันมาแต่อ้อนแต่ออก
อย่างไรก็ดีเลสเตอร์ ซิตีกลับยังคงรักษาความผูกพันระหว่างสโมสรและแฟนบอลเอาไว้ได้
เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนไทยและจะอวยสโมสรที่มีเจ้าของชาวไทย - ในทางตรงกันข้ามผมออกจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักด้วยซ้ำกับการตั้งฉายาว่า "จิ้งจอกสยาม" และพยายามเลี่ยงคำนี้ตลอดเมื่อต้องเขียนถึง เพราะรู้สึกว่าเป็นการตีกินมากไป
หากแต่เสียงชื่นชมนั้นมาจากเหล่านักเขียนลูกหนังระดับชั้นนำของอังกฤษ ที่แม้พวกเขาเองก็เคย "เอ๊ะ" กับหลายเรื่องมาก่อนกับวิธีแบบไทยๆ แต่วันเวลาผ่านมาพวกเขาเชื่อแล้วว่าเลสเตอร์ ซิตีไม่ได้เป็นแค่ทีมที่ดี
เพราะเลสเตอร์ ซิตี คือนิยามของสโมสรฟุตบอลในแบบอุดมคติไปเรียบร้อยแล้ว
สโมสรฟุตบอลที่บริหารอย่างชาญฉลาด มีการวางแผนที่ดี มีระบบ recruit ที่ยอดเยี่ยม กำหนดทิศทางของสโมสรไว้อย่างชัดเจน ทุกปีคือการก้าวไปข้างหน้า ลงทุนเพื่ออนาคตไม่ใช่ปัจจุบัน (สนามซ้อม facilities ต่างๆ) เลือกผู้จัดการทีมที่เข้ากับแนวทางที่สำคัญคือบริหารด้วยหัวใจ
ก่อนนัดของเอฟเอ คัพ แฟนบอลเลสเตอร์จะได้จดหมายฉบับหนึ่งซึ่งส่งมาจาก "ต๊อบ-อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา"ในจดหมายมีเนื้อความเป็นการขอบคุณการสนับสนุนจากแฟนๆทุกคนเป็นหลัก มีการพูดถึงกองเชียร์ผู้โชคดีที่จะได้ไปเอฟเอ คัพ และหวังว่าปีหน้าจะได้กลับมาพบกันเหมือนเดิม
พร้อมกับแนบ "ของขวัญ" เล็กๆน้อยๆให้แทนคำขอบคุณด้วย
ถ้าเป็นหลักการตลาดญี่ปุ่น ผมคงจะเรียกว่าเป็น Makotk Marketing ไปแล้วครับ แต่พอดีนี่เป็นวิธีแบบไทยๆ ที่ยังคิดชื่อให้ไม่ออก
และความจริงมันไม่ใช่หลักการตลาดด้วยซ้ำ มันคือการเอาใจมาแลกใจเสียมากกว่า
ไม่แปลกที่แฟนๆจะรักเจ้าของสโมสรของพวกเขา
ที่น่าแปลกคือในทีมเองก็รักเจ้าของสโมสรไปด้วย ชนิดที่เราอาจจะพูดได้ว่ารักล้นใจ จากคำพูด จากท่าทาง จากสิ่งทึ่ได้เห็นในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ
ผมว่ามันเป็นอะไรที่พิเศษ ไม่ใช่เจ้าของสโมสรทุกคนจะถูกเชิญให้ลงมาชูถ้วยกับทีมในสนามด้วย - ย้ำว่าเชิญนะ ไม่ใช่เดินมาชูถ้วยเอง
แคสเปอร์ ชไมเคิล กัปตันทีมเป็นคนเดินดันหลังมา เบร็นแดน ร็อดเจอร์สสวมกอดและน่าจะมีการกล่าวขอบคุณกัน ขณะที่ยูรี ตีเลอมองส์โผเข้ามากอดทั้งน้ำตา
ก่อนที่ทายาทชไมเคิลจะส่งมอบถ้วยให้ทายาทของเจ้าของที่พวกเขารักได้ชูถ้วยแชมป์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
เป็นอีกหนึ่ง Legacy ที่พวกเขาสร้างร่วมกันมา และเป็นความสำเร็จที่ได้มาอย่างคู่ควร
เลสเตอร์เป็นทีมที่ดีกว่าในเกมนี้ พวกเขาเริ่มจากการหยุดเชลซีด้วยวินัยในเกมรับ และการเล่นตามแท็คติกส์อย่างเคร่งครัด ปิดไม่ให้ทีมของโธมัส ทูเคิล ซึ่งปกติเล่นเกมรุกเร็วและอันตรายทำอะไรได้ถนัด
ทั้งสองทีมจึงดูคู่คี่ แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยที่แยกระหว่างทั้งคู่คือเสียงของแฟนบอลบนอัฒจันทร์
เกมนี้ Foxed Never Quit ของแท้ พวกเขาไม่ยอมแพ้เด็ดขาด และพลังนั้นได้ถูกส่งมาถึงนักเตะของพวกเขาในสนาม มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ
จนพลังนั้นมากพอที่จะทำให้เลสเตอร์กลับมาเป็นฝ่ายที่ทำได้เหนือกว่า และได้ประตูขึ้นนำที่ต้องการจากการยิงที่ยอดเยี่ยมมากๆของตีเลอมองส์ อดีตวันเดอร์คิดของยุโรปที่พิสูจน์แล้วว่าอยู่กับเลสเตอร์ก็ก้าวไปสู่จุดหมายได้
เชลซีก็พยายามแล้ว เพียงแต่พวกเขายังทำได้ไม่ดีพอ และเทพีแห่งโชคก็ยังไม่ยอมหันมายิ้มให้
อาจเป็นเพราะไม่ชอบใจเบน ชิลเวลล์ที่ไม่สงวนท่าทีเมื่อยิงทีมเก่าที่อยู่มาตั้งแต่อายุ 13 ปี (แฟนเลสเตอร์สาปส่งเขา แต่ปรบมือให้เอ็นโกโล ก็องเต) กระมัง
แคสเปอร์เองก็สู้ยิบตา เซฟเหมือนพ่อ
วาร์ดีทำอะไรมากไม่ได้ แต่จังหวะที่ดีที่สุดของเกมคือการที่เขาปั๊มแย่งบอลจากติอาโก ซิลวา โคตรบอลคนหนึ่งของยุคแบบไม่ยอม(เว้ย) ก่อนจะขอเสียงเชียร์จากแฟนๆให้ปลุกเร้าเพื่อนอีกแรง
ชัยชนะจึงเป็นของเลสเตอร์ ทีมที่เต็มที่กว่า มีวินัยกว่า และสู้ด้วยหัวใจที่วันนี้ดวงโตกว่า
มันเป็นหัวใจของทีมฟุตบอลที่ถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยความรัก ความรักระหว่างแฟนบอล ทีม เจ้าของสโมสร ที่นำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
และเป็นความสำเร็จที่ของเกมฟุตบอลที่น่ายินดีด้วย
ผมนึกย้อนกลับไปถึงภาพขบวนแห่รองแชมป์เมื่อปี 1969 อีกครั้ง
วันพรุ่งนี้เมืองเลสเตอร์จะแตกเหมือนเมื่อ 5 ปีที่แล้วไหมนะ?
'ลูกแม่กิ่ง' Football writer
#Sockr #doyoulovethegame #lcfc #FACupFinal
น่าเศร้าที่พวกเขาแพ้ทั้งหมดครับ แต่ในจำนวนภาพมากมาย (ซึ่งมีภาพของตำนานสุดยอดประตูของอังกฤษถึง 2 คนทั้งกอร์ดอน แบงค์ส และปีเตอร์ ชิลตัน) มีภาพนึงที่ผมสะดุดตาเป็นพิเศษ
ภาพดังกล่าวคือภาพของขบวนรถแห่ที่ทีมจิ้งจอกได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากแฟนๆ
ตอนแรกผมยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจผิดไปหรือเปล่า หรือเลสเตอร์จะเป็นแชมป์มาก่อน? แต่ตรวจสอบแล้วก็ไม่ผิด
แฟนเลสเตอร์มาต้อนรับทีมของพวกเขาเยี่ยงวีรบุรุษแม้จะเป็นผู้แพ้ก็ตาม
ภาพนี้สะท้อนอะไรให้เห็นหลายอย่างครับ โดยเฉพาะความรักความผูกพันของสโมสรกับชาวเมือง
เลสเตอร์ไม่ได้เป็นสโมสรระดับยักษ์ใหญ่ แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิ์ฝัน
จากตอนนั้น (1969) วันเวลาผ่านมาเกือบ 1 ชั่วอายุคน เลสเตอร์ได้กลับมาชิงเอฟเอ คัพอีกครั้งเป็นคราวที่ 5
โลกฟุตบอลเปลี่ยนแปลงไปมากครับ เป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ และสโมสรฟุตบอลก็เป็น "สินทรัพย์" ของนักลงทุนที่เข้ามาจับจองเพื่อหวังจะกอบโกยผลประโยชน์มหาศาล
นักลงทุนเหล่านี้คิดถึงผลกำไรก่อนเป็นอย่างแรก
และความรู้สึกของแฟนฟุตบอลคือสิ่งที่พวกเขาสนใจน้อยที่สุด
หลายสโมสรก็เป็นเช่นนี้ และภาพเหล่านี้ยิ่งชัดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ #ESL การก่อกบฏของ 12 สโมสรที่อ้างว่าเป็นทีมระดับท็อปของยุโรปที่แฟนทั่วโลกต้องการติดตาม
มันนำไปสู่การประท้วงใหญ่ แฟนฟุตบอลเดินลงถนน และพวกเขาต้องการสิทธิ์และเสียงในการตัดสินใจอนาคตสโมสรของพวกเขา ซึ่งไม่ได้เป็นของนายทุน แต่เป็นของชุมชนที่พวกเขาอยู่กันมาแต่อ้อนแต่ออก
อย่างไรก็ดีเลสเตอร์ ซิตีกลับยังคงรักษาความผูกพันระหว่างสโมสรและแฟนบอลเอาไว้ได้
เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนไทยและจะอวยสโมสรที่มีเจ้าของชาวไทย - ในทางตรงกันข้ามผมออกจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักด้วยซ้ำกับการตั้งฉายาว่า "จิ้งจอกสยาม" และพยายามเลี่ยงคำนี้ตลอดเมื่อต้องเขียนถึง เพราะรู้สึกว่าเป็นการตีกินมากไป
หากแต่เสียงชื่นชมนั้นมาจากเหล่านักเขียนลูกหนังระดับชั้นนำของอังกฤษ ที่แม้พวกเขาเองก็เคย "เอ๊ะ" กับหลายเรื่องมาก่อนกับวิธีแบบไทยๆ แต่วันเวลาผ่านมาพวกเขาเชื่อแล้วว่าเลสเตอร์ ซิตีไม่ได้เป็นแค่ทีมที่ดี
เพราะเลสเตอร์ ซิตี คือนิยามของสโมสรฟุตบอลในแบบอุดมคติไปเรียบร้อยแล้ว
สโมสรฟุตบอลที่บริหารอย่างชาญฉลาด มีการวางแผนที่ดี มีระบบ recruit ที่ยอดเยี่ยม กำหนดทิศทางของสโมสรไว้อย่างชัดเจน ทุกปีคือการก้าวไปข้างหน้า ลงทุนเพื่ออนาคตไม่ใช่ปัจจุบัน (สนามซ้อม facilities ต่างๆ) เลือกผู้จัดการทีมที่เข้ากับแนวทางที่สำคัญคือบริหารด้วยหัวใจ
ก่อนนัดของเอฟเอ คัพ แฟนบอลเลสเตอร์จะได้จดหมายฉบับหนึ่งซึ่งส่งมาจาก "ต๊อบ-อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา"ในจดหมายมีเนื้อความเป็นการขอบคุณการสนับสนุนจากแฟนๆทุกคนเป็นหลัก มีการพูดถึงกองเชียร์ผู้โชคดีที่จะได้ไปเอฟเอ คัพ และหวังว่าปีหน้าจะได้กลับมาพบกันเหมือนเดิม
พร้อมกับแนบ "ของขวัญ" เล็กๆน้อยๆให้แทนคำขอบคุณด้วย
ถ้าเป็นหลักการตลาดญี่ปุ่น ผมคงจะเรียกว่าเป็น Makotk Marketing ไปแล้วครับ แต่พอดีนี่เป็นวิธีแบบไทยๆ ที่ยังคิดชื่อให้ไม่ออก
และความจริงมันไม่ใช่หลักการตลาดด้วยซ้ำ มันคือการเอาใจมาแลกใจเสียมากกว่า
ไม่แปลกที่แฟนๆจะรักเจ้าของสโมสรของพวกเขา
ที่น่าแปลกคือในทีมเองก็รักเจ้าของสโมสรไปด้วย ชนิดที่เราอาจจะพูดได้ว่ารักล้นใจ จากคำพูด จากท่าทาง จากสิ่งทึ่ได้เห็นในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ
ผมว่ามันเป็นอะไรที่พิเศษ ไม่ใช่เจ้าของสโมสรทุกคนจะถูกเชิญให้ลงมาชูถ้วยกับทีมในสนามด้วย - ย้ำว่าเชิญนะ ไม่ใช่เดินมาชูถ้วยเอง
แคสเปอร์ ชไมเคิล กัปตันทีมเป็นคนเดินดันหลังมา เบร็นแดน ร็อดเจอร์สสวมกอดและน่าจะมีการกล่าวขอบคุณกัน ขณะที่ยูรี ตีเลอมองส์โผเข้ามากอดทั้งน้ำตา
ก่อนที่ทายาทชไมเคิลจะส่งมอบถ้วยให้ทายาทของเจ้าของที่พวกเขารักได้ชูถ้วยแชมป์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
เป็นอีกหนึ่ง Legacy ที่พวกเขาสร้างร่วมกันมา และเป็นความสำเร็จที่ได้มาอย่างคู่ควร
เลสเตอร์เป็นทีมที่ดีกว่าในเกมนี้ พวกเขาเริ่มจากการหยุดเชลซีด้วยวินัยในเกมรับ และการเล่นตามแท็คติกส์อย่างเคร่งครัด ปิดไม่ให้ทีมของโธมัส ทูเคิล ซึ่งปกติเล่นเกมรุกเร็วและอันตรายทำอะไรได้ถนัด
ทั้งสองทีมจึงดูคู่คี่ แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยที่แยกระหว่างทั้งคู่คือเสียงของแฟนบอลบนอัฒจันทร์
เกมนี้ Foxed Never Quit ของแท้ พวกเขาไม่ยอมแพ้เด็ดขาด และพลังนั้นได้ถูกส่งมาถึงนักเตะของพวกเขาในสนาม มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ
จนพลังนั้นมากพอที่จะทำให้เลสเตอร์กลับมาเป็นฝ่ายที่ทำได้เหนือกว่า และได้ประตูขึ้นนำที่ต้องการจากการยิงที่ยอดเยี่ยมมากๆของตีเลอมองส์ อดีตวันเดอร์คิดของยุโรปที่พิสูจน์แล้วว่าอยู่กับเลสเตอร์ก็ก้าวไปสู่จุดหมายได้
เชลซีก็พยายามแล้ว เพียงแต่พวกเขายังทำได้ไม่ดีพอ และเทพีแห่งโชคก็ยังไม่ยอมหันมายิ้มให้
อาจเป็นเพราะไม่ชอบใจเบน ชิลเวลล์ที่ไม่สงวนท่าทีเมื่อยิงทีมเก่าที่อยู่มาตั้งแต่อายุ 13 ปี (แฟนเลสเตอร์สาปส่งเขา แต่ปรบมือให้เอ็นโกโล ก็องเต) กระมัง
แคสเปอร์เองก็สู้ยิบตา เซฟเหมือนพ่อ
วาร์ดีทำอะไรมากไม่ได้ แต่จังหวะที่ดีที่สุดของเกมคือการที่เขาปั๊มแย่งบอลจากติอาโก ซิลวา โคตรบอลคนหนึ่งของยุคแบบไม่ยอม(เว้ย) ก่อนจะขอเสียงเชียร์จากแฟนๆให้ปลุกเร้าเพื่อนอีกแรง
ชัยชนะจึงเป็นของเลสเตอร์ ทีมที่เต็มที่กว่า มีวินัยกว่า และสู้ด้วยหัวใจที่วันนี้ดวงโตกว่า
มันเป็นหัวใจของทีมฟุตบอลที่ถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยความรัก ความรักระหว่างแฟนบอล ทีม เจ้าของสโมสร ที่นำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
และเป็นความสำเร็จที่ของเกมฟุตบอลที่น่ายินดีด้วย
ผมนึกย้อนกลับไปถึงภาพขบวนแห่รองแชมป์เมื่อปี 1969 อีกครั้ง
วันพรุ่งนี้เมืองเลสเตอร์จะแตกเหมือนเมื่อ 5 ปีที่แล้วไหมนะ?
'ลูกแม่กิ่ง' Football writer
#Sockr #doyoulovethegame #lcfc #FACupFinal
แก้ไขล่าสุด 16 พ.ค. 64 17:03 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google