"ฉีดวัคซีน" เท่านี้ การท่องเที่ยวฟื้นตัวแค่ไหน ?

7 ส.ค. 64 18:47 น. / ดู 456 ครั้ง / 1 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์

ช่วงนี้ทุกประเทศก็ต้องเร่ง "ฉีดวัคซีน" กันให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งการฉีดวัคซีคไม่ได้สำคัญแต่กับชีวิต แต่ยังสำคัญกับเศรษฐกิจอย่างมากด้วย โดยเฉพาะการทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง
จากข้อมูลของ statista.com พบว่า ในปี 2562 รายได้จากการท่องเที่ยวคิดเป็น 3.3% ของ GDP โลก ซึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่มีโควิด-19 ระบาด และถ้านับทั้งรายได้ทางตรงและทางอ้อม การท่องเที่ยวมีส่วนสร้างรายได้ให้ GDP โลกถึง 10.4% ทีเดียว


พี่ทุยพากลับมาดูที่ประเทศไทยกันบ้าง ภาคส่วนที่ขับเคลื่อน GDP ของประเทศ หลัก ๆ มาจาก 2 ภาค คือ การท่องเที่ยวและการส่งออก โดยข้อมูลจากธนาคารโลก พบว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าและบริการ คิดเป็น 59.77% ของ GDP ขณะที่การท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 21.9%

รายได้จากการท่องเที่ยวขาดหายไปกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563-2564

จากข้อมูลขององค์กรการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) และการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) บอกว่าเศรษฐกิจโลกอาจต้องสูญเสียรายได้มากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการท่องเที่ยวที่เป็นอัมพาตในช่วงปี 2563-2564
แบ่งเป็นความเสียหายในปี 2563 อยู่ที่ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และปี 2564 ที่คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 1.7-2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเทศกำลังพัฒนาอาจได้รับความเสียหายมากกว่า เพราะการฉีควัคซีนให้กับประชากรในประเทศมีตั้งแต่ 1% ไปจนถึงมากกว่า 60%
ประเทศที่กระจายวัคซีนสูง การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว

ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูง เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
ข้อมูลจาก UNWTO (วันที่ 1 มิ.ย. 64) บอกว่า 29% ของประเทศท่องเที่ยวทั่วโลกยังปิดประเทศ และมากกว่าครึ่งนึงนั้นไม่รับนักท่องเที่ยวตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563
และตัวเลขด้านล่างนี้ พี่ทุยพามาดูว่าในแต่ละภูมิภาค มีประเทศที่ปิดประเทศมากน้อยแค่ไหน
70% เอเชีย
13% ยุโรป
20% อเมริกา
19% แอฟริกา
31% ตะวันออกกลาง
ทั่วโลกฉีดวัคซีนกันอยู่ที่ 25.6% ส่วนไทย 13.75% จากประชากรทั้งหมด

พี่ทุยพาทุกคนไปดูข้อมูลจากเว็บไซต์ Ourworldindata ที่เกี่ยวกับอัตราการฉีดวัคซีนในแต่ละประเทศกันบ้าง
ข้อมูลวันนี้ (15 ก.ค. 64) พบว่า มีประชากรทั้งโลกที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส อยู่ที่ 25.6% แต่ถ้าดูในประเทศที่มีรายได้น้อย มีเพียงแค่ 1% เท่านั้น
แต่ถ้าลองคำนวณเป็นจำนวนโดส พบว่าทั่วโลกกระจายวัคซีนไปแล้ว 3,510 ล้านโดส หรือคิดเป็นอัตราการฉีดเฉลี่ยที่ 29.67 ล้านโดสต่อวัน
ตัวอย่างประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนเกิน 60% ของประชากร ได้แก่ สหราชอาณาจักร แคนาดา อิสราเอล และสิงคโปร์ ส่วนจีน ซึ่งเป็นพื้นที่แรกที่มีการแพร่ระบาด (มีข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 10 มิ.ย. 64) ฉีดวัคซีนให้ประชากรไปแล้ว 43.21%
สหรัฐอเมริกา ที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงที่สุดในโลก ฉีดวัคซีนไปแล้ว 55.18% ซึ่งประเทศเหล่านี้ก็เริ่มผ่อนคลาย เปิดให้คนในประเทศเดินทางท่องเที่ยวกันได้มากขึ้นแล้ว
พี่ทุยพากลับมาดูเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนกันบ้าง แต่ละประเทศอาจจะอัปเดตข้อมูลรวดเร็วไม่เท่ากัน พบว่า

สิงคโปร์ = 68.76% (สูงที่สุด)
กัมพูชา = 30.53%
มาเลเซีย = 25.84%
บรูไน = 20.83%
ลาว = 13.15%
อินโดนีเซีย = 13.31%
ไทย = 13.75%
ฟิลิปปินส์ = 8.92%
เวียดนาม = 3.90%
เมียนมาร์ = 3.38% (ต่ำที่สุด)
พูดง่าย ๆ ว่าในย่านอาเซียนนี้ มีแค่สิงคโปร์เท่านั้น ที่ฉีดวัคซีนให้ประชากรในสัดส่วนที่สูงมาก ส่วนประเทศอื่น ๆ ยังค่อนข้างห่างไกล และน่าจะเป็นความท้าทายมากที่กว่าที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้
เมื่อการฉีดวัคซีนแต่ละประเทศทั่วโลกมีอัตราที่แตกต่างกันมาก องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงเรียกร้องให้ผู้ผลิตวัคซีน รวมถึงประเทศที่ร่ำรวยบริจาควัคซีนให้กับประเทศที่รายได้น้อยถึงปานกลาง เพื่อให้เข้าถึงวัคซีนมากขึ้น ผ่านโครงการที่ชื่อว่า COVAX โดยตั้งเป้าหมายว่า โครงการนี้จะสนับสนุนให้มีประชากรทั่วโลกได้รับวัคซีนประมาณ 30% ภายในสิ้นปี 2564 นี้
Travel Bubble แนวคิดฉีดวัคซีนแล้วมาเที่ยวไม่ต้องกักตัว

ในช่วงที่ผ่านมา มีหลายประเทศเริ่มให้ความสนใจจัดโครงการ Travel Bubble หรือการเปิดให้นักท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่ทำข้อตกลง Travel Bubble ร่วมกัน สามารถเดินทางไปเที่ยวข้ามพรมแดนระหว่างกันได้โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน
ข้อแม้สำคัญของโครงการนี้ คือ นักท่องเที่ยวที่จะร่วมโครงการได้ ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 โดส หรือตามจำนวนโดสที่วัคซีนตัวนั้นกำหนดแล้ว เช่น สิงคโปร์-ฮ่องกง วางแผนทำ Travel Bubble ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แต่ก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก เพราะเมื่อใกล้ช่วงกำหนดเริ่มโครงการ ประเทศที่จะทำข้อตกลงด้วยก็มีการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ ทำให้มีการประกาศเลื่อนออกไปก่อน
ส่วนประเทศไทย ล่าสุดก็เพิ่งเริ่มทำ "ภูเก็ต แซนบ็อกซ์ (Phuket Sandbox)" เป็นโครงการที่ให้นักท่องที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาได้โดยไม่ต้องกักตัว ก่อนที่จะเริ่มต้นทำโครงการนี้ ภูเก็ตก็มีการเร่งฉีดวัคซีนให้คนในพื้นที่ ซึ่งตอนนี้คนในภูเก็ตฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ไปแล้ว 84% และฉีดครบ 2 เข็มไปแล้ว 67% (ข้อมูล วันที่ 4 ก.ค. 64)
แต่หลังจากที่เปิดโครงการไป 9 วัน มียอดจองห้องพักตั้งแต่เดือน ก.ค. – ก.ย. 64 รวม 155,736 คืน (เป็นของเดือน ก.ค. 89%) และมีนักท่องเที่ยวสะสม 9 วัน อยู่ที่ 3,287 คน
พี่ทุยว่าเราก็น่าจะต้องมาลุ้นกันอีกว่าโครงการนี้จะสำเร็จตามที่หวังไว้หรือเปล่า
เป้าหมายของไทย คือ ฉีดวัคซีนให้ได้เกิน 70% ของประชากรใน 10 จังหวัดนำร่อง

ไทยเรามีการประกาศเปิดประเทศ ใน 120 วัน (เดือนตุลาคม 2564) จะเปิดได้จริงมั้ย ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะฉีดวัคซีนได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าฉีดได้เกิน 70% ใน 10 จังหวัดก็น่าจะเปิดได้ พี่ทุยว่าเราคงต้องมารอลุ้นกันอีกเฮือกใหญ่ ๆ เลย
ถ้าเปิดประเทศได้แล้ว นักท่องเที่ยวหลักก็จะเป็นนักท่องเที่ยวจีนที่น่าจะเข้ามาประมาณ 3 ล้านคน และสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 212,000 ล้านบาทในปี 2564 นี้
"ฉีดวัคซีน" เท่านี้ การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้มากแค่ไหน ?

หลังจากที่แบงก์ชาติมีการประชุมกัน เค้าก็มีการคาดการณ์การฟื้นตัวเอาไว้อยู่ 3 แบบ พี่ทุยสรุปมาให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ กัน



กรณีที่ 1
จัดหาและกระจายวัคซีนได้ 100 ล้านโดสในปี 2564
เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในไตรมาสแรกปี 2565
มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทย 1.2 ล้านคนในปีนี้ และ 15 ล้านคนในปีหน้า
กรณีที่ 2
จัดหาและกระจายวัคซีนได้ตามแผนเดิม คือ 64.6 ล้านโดส ภายในปี 2564
เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ได้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565
มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทยใสปีนี้ได้ 1 ล้านคน และ 12 ล้านคนในปีหน้า
ทำให้ประเทศต้องสูญเสียรายได้ไปถึง 4.6 แสนล้านบาท (3% ของ GDP)
กรณีที่ 3
จัดหาและกระจายวัคซีนได้ช้ากว่าแผนเดิม คือ น้อยกว่า 64.6 ล้านโดส ภายในปี 2564
เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565
มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพียง 8 แสนคน ในปีนี้ และปีหน้า 8 ล้านคน
ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ 8.9 แสนล้านบาท (5.7% ของ GDP)
สรุป

จะเห็นได้ว่าการฉีดวัคซีนมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวมาก ถ้าประเทศไหนมีภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) จากการฉีดวัคซีนแล้ว ก็ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมั่นใจอยากเดินทางมาเที่ยวมากขึ้น ในทางกลับกันคนในประเทศก็ต้องการมีงานทำ มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา
สุดท้ายแล้ว ก็เป็นตัวเราเองนี่แหละ ที่จะต้องดูแลตัวเอง ไม่ประมาท ส่วนที่เหลือก็ได้แต่หวังพึ่งพาการบริหารงานของรัฐบาลที่จะต้องจริงจังกับการทำเพื่อชีวิตและเศรษฐกิจของประเทศชาติ
เลขไอพี : ไม่แสดง | ตั้งกระทู้โดย MacOS

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | sz463447 | 4 พ.ค. 65 01:02 น.

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆคับ

g2g168p

แก้ไขล่าสุด 4 พ.ค. 65 01:02 | ไอพี: ไม่แสดง | โดย Windows 10

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google