อาร์ต มีความสุขที่ได้รับเสียงกรี๊ดสมัยประกวดไอดอล เป็นที่มาทำให้อยากเข้าวงการจนได้มีเหล่า เบบี้ฮาร์ต มาจนถึงทุกวันนี้!

7 ธ.ค. 64 03:23 น. / ดู 4,398 ครั้ง / 1 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
เรียกได้ว่าเป็นรายการทอล์กที่ทำให้รู้จักและเข้าใจหนุ่มคนนี้ขึ้นไปอีกขั้นกับ อาร์ต ภาคภูมิ ที่ได้มาร่วมพูดคุย
แชร์เรื่องราวในอดีตที่ได้ประสบพบเจอเและเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาลใน COMMETIVE PODCASTS EP. 8
ที่ดำเนินรายการโดย อาม อนุสรณ์
ช่วงแรกที่ให้คุณเขาแนะนำตัว ก็บอกว่าเป็นนักแสดงและกำลังจะมีผลงานซีรีส์เรื่อง Till The World Ends 
แต่อาร์มยังได้แนะนำว่าอาร์ตก็เป็นนักร้องที่ร้องเพลงประกอบซีรีส์ Call It What You Want จะรักก็รักเหอะ 2
ด้วย ก่อนจะให้เจ้าตัวเล่าว่าเคยผ่านการร้องเพลงเวทีไหนมาบ้าง อาร์ต บอกว่า มีหลายเวทีมากทั้ง To be number one idol, Cuteboy Thailand และการผ่านเวทีระกวดจนมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนจะโยงมาเข้าท็อปปิก 3 เรื่องราว
ที่เปลี่ยนชีวิตของอาร์ต




เรื่องแรกอาร์ตเล่าว่า ตอนนี้เขามีแม่แตงมาคอยดูแลที่เรานับถือเป็นแม่แท้ๆ แต่ผู้เป็นแม่จริงๆ เสียตอน
อายุ 15 หลังจากนั้นทุกอย่างเปลี่ยนและดิ่งลง และทำให้ต้องอยู่กับพ่อซึ่งพ่อเป็นคนไม่ค่อยพูด ถ้าเกิดไม่บอก
เขาก็จะไม่ถาม แต่เขาก็เป็นห่วงเรา ช่วงนั้นเราเกเรมาก ต่อต้านทุกอย่าง โดดเรียน ประมาณ 1 เทอมได้
มีความคิดว่าเรียนไปทำไม ก่อนจะเล่าย้อนช่วงที่แม่เสีย คือแม่ป่วยเป็นมะเร็ง แล้ววันนั้นไม่อยากไปโรงเรียน
ขอพ่อนอนอยู่บ้าน เรากับพี่ชายก็นอนฟุบจับมือแม่ พอตื่นมาแม่ไปทั้งที่เราจับมืออยู่ ตอนนั้นใจสลายมาก
นับแต่นั้นทำให้ไม่อยากทำไรเลย อาจเป็นจุดที่ทำให้เราเกเร ความรู้สึกหลังแม่เสียคือช็อกจนไม่มีความรู้สึก
แต่พอตั้งสติได้ก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด และถ้าตอนนี้ให้บอกอะไรแม่ได้ ก็จะบอกว่า อยากจะให้แม่เห็น
ว่าเราเข้มแข็งมาก อยากทำให้แม่ภูมิใจ และไม่ต้องเป็นห่วงนะ สู้มาโดยตลอด





ถ้าถามถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้ฮีลตัวเองขึ้นมาได้จากการสูญเสียคุณแม่
ก็คงเป็น การที่ตอนนั้นอยู่ ม.3 แล้วสอบเข้า ม.4 จากเป็นเด็กห้อง 3 มาอยู่ห้อง 8 ซึ่งเป็นห้องเกือบท้าย
ตอนนั้นเราก็ไม่ค่อยโอเคถ้าในอนาคตจะเป็นแบบนี้ เราเลยปรับ Mindset ใหม่ว่าเสียใจได้ แต่มึ-งห้ามทำร้ายตัวเอง
ก็พยายามทำเกรดตัวเองให้ดีขึ้น ก็เป็นพาร์ทที่ได้ก้าวข้ามเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในชีวิต






เหตุการณ์ที่เริ่มเปลี่ยนชีวิตอีกหนึ่งอย่างคือ การประกวด To be number one idol เพราะมันคือรายได้อีกหนึ่งทาง
ตลอดหนึ่งปีที่เราได้ตังค์ มันคือการประกวดแล้วเราก็ร้องเต้นได้ที่ 4 ได้ทำงานกับทูลกระหม่อมฯ ได้งานละ 3,500 เดือนนึงก็ได้ 5 ถึง 10 งาน เลยรู้สึกไม่ขอตังค์พ่อก็ได้ เราโคตรมีความสุขที่ได้เพอร์ฟอร์มและมีคนมากรี๊ดให้
ความสำคัญกับเรามันเป็นเอเนอร์จี้บวกมาก ทำให้เปลี่ยนความคิดของเราอีกหนึ่งอย่าง เริ่มหาแคสต์โฆษณา
หรืออะไรเกี่ยวกับวงการบันเทิง และถ้าพูดถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการสูญเสีย ถ้าเราจมกับอดีตอนาคตก็ไม่เกิด
ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันให้เราเรียนรู้และพัฒนาตัวเองมากกว่า ส่วนการได้เข้ามาสู่ To be number one idol เกิดจากอาจารย์คนนึงที่เราเรียกเขาว่าแม่เขาชวนลงก็ลงไปงั้นๆ  และเราไม่ได้มีเบสิกเรื่องการร้องเต้น
และที่มีคนมากรี๊ดเวลาไปแสดงมันฮีลใจได้มาก แต่ว่าไม่ได้เป็นแบบแฟนคลับถาวร เป็นฟีลเด็กมัธยมกรี๊ดผู้ชาย
หล่อๆ น่ารักๆ พอวันรุ่งขึ้นจบ แต่การที่เราแต่ละครั้งความรู้สึกเรา Proudมากคนมากรี๊ดเรา แต่เราไม่อยากให้มัน
จบแค่นั้น เลยหาลู่ทางแคสต์โฆษณา ที่ได้เล่นตัวแรกคือ กฟผ. ตอนนั้นเป็นเงินที่เยอะมากสำหรับเรา หนึ่งงาน
ได้ 60,000 - 80,000 ตอนนั้นเด็กปี 1 ถ่ายไม่กี่วันได้เงินเยอะมากมันภูมิใจ





เหตุการณ์ที่ 3 ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคือ เราได้มาเล่นซีรีส์และรู้จักแม่แตงคนที่เรารับเป็นแม่ เราก็ขี้โกงนิดนึงมันเป็นการแคสต์ซีรีส์ แต่แม่แตงเขารู้จักผู้กำกับเขาก็ฝากเรา ตอนนั้นเรา ก็ได้เล่นแต่ไม่ได้เป็นตัวหลัก อยู่ดีดีจะให้เราไปเล่นทั้งที่เราไม่เคยทำไรมาเลยก็ไม่ได้ และเราได้ไปเวิร์กช็อปก็ได้มาเป็นคู่ 2 จาก catering มาเป็น สจ๊วต เราก็ขอบคุณแม่ที่ได้ฝากให้เรา  และมันก็อยู่ที่เราด้วย ถ้าเราไม่เปิดใจเล่นก็คงไม่ได้เป็นคู่ 2 ที่ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น มันก็ทำให้เรา
เริ่มมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนมันมีปัญหาหลายๆ อย่างทำให้เราต้องแยกกับคู่เรา ณ ตอนนั้น แต่เราจบกันด้วยดี สามารถคุยกันได้ปกติ เพราะเราเคลียร์กันหมดแล้วทุกอย่าง แต่เราเข้าใจว่า แฟนคลับเขารักศิลปินเขามาก ทุกอย่างที่เราทำเราโดนด่าหมดเลย ต่อให้เราไปออกงานแคสต์เรื่องไหน ก็ตาม ต้องมีคำพูด ทำไมต้องเอาคนนี้ ไม่รู้เหรอเด็กคนนี้เป็นไง เคยหนักสุดไปออกงานแล้วตะโกนด่า จากที่เราเก่งมาก ตัวเราเหลือนิดเดียว เราทำได้แค่ยิ้มและพูดว่าขอโทษครับ ตอนนั้นเราเฟล เราเก็บคำพูดทุกคนมาใส่หัว จนเรานอนร้องไห้ จนเราไม่ค่อยเล่นโซเชียล





แต่อาร์ตบอกว่า มีกลุ่มคนนึงที่เราเรียกว่า เบบี้ฮาร์ต เขาไม่เคยหายไปไหนจากเราเลย ต่อให้เราไม่ลงรูป
ไม่รับงานเขาก็ยังอยู่ เลยรู้สึกว่าการมีคนอยู่ข้างๆ มันโคตรดี คนพวกนี้เป็นพาวเวอร์แบงค์สำหรับเรา
เหนื่อยให้ตายยังไง เจอคำพูดของพวกเขาหรือเวลามีงานแล้วเขาพยายามดันแท็กจนเรารู้สึกในใจว่า
guท้อทำไม guจะเลิกทำไม มันเป็นอีกความรู้สึกนึง ถ้าเราใส่ใจกับคนที่รักเราจริงๆ เราแม่-งโคตรมีความสุขเลย
เราเลยได้นิยามคำว่า ช่างแม่-ง เวลาเราเจอคำพูดอะไรก็ตาม และถ้าถาม ณ ตอนนี้มองอนาคตของตัวเอง
ยังไง เราคุยกับแม่ว่า ตอนนี้อาร์ตยังมีแรงอยู่ อาร์ตยังอยากทำตรงนี้อยู่ ถ้าหมดแรงเมื่อไรเดี๋ยวไป
หาอย่างอื่นทำเอง อนาคตเราไม่รู้ว่าเราจะดังไหม ก็อยากทำตรงนี้ให้มันดีที่สุด





ทิ้งท้ายให้อาร์ตเลือกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ 1 ใน 3 หัวข้อที่มี ซีรีส์วาย / สาววาย / นักแสดงซีรีส์วาย
อาร์ตเลือกหัวข้อสาววาย โดยแสดงความคิดเห็นว่า การที่เราเป็นสาววาย การที่คุณรักเมนของคุณมันถูกต้อง
แต่มันมีอยู่คำนึงที่เราเจอในทวิต ใจดีกับเมนคนอื่นให้เหมือนกับเมนตัวเองหน่อย ซึ่งมันจริง คุณจะรักเมนตัวเอง
และทำลายเมนคนอื่นก็แปลกๆ ถูกไหม จะรักใครไม่ว่าแต่ช่วยเป็นมนุษย์นิดนึง ต่างคนต่างอยู่ เราอยู่กับกลุ่มแฟน
คลับน้อยๆ ของเราก็ได้เรามีความสุขแล้ว




#อาร์ตภาคภูมิ

ขอบคุณภาพและคลิปจาก
YT: คอมเมทีฟ
@BeeBee_tsnl @ASangsura @yimprimmm
แก้ไขล่าสุด 7 ธ.ค. 64 15:29 | เลขไอพี : ไม่แสดง | ตั้งกระทู้โดย Windows 10

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | sz457646 | 8 ธ.ค. 64 05:18 น.

Art is so strong. As a young child he went through so much losing his mother. As a young adult he also had to go through a lot and received unfair hate from so many people. I pray you find happiness and success in everything you do. You deserve to be happy. Babyhearts love you and will always be here for you ❤️

ไอพี: ไม่แสดง | โดย iPhone

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google