มุมมองผลกระทบจากโควิดกลายพันธ์ โอมิครอน และการคาดหวังที่มากเกินไป
3 ม.ค. 65 11:59 น. /
ดู 1,992 ครั้ง /
2 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
เป็นคำเตือนให้ ชนชั้นกลาง ในไทย ได้เตรียมรับมือ จากการฉายภาพให้เห็นของ "ผศ.ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข" ศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มองว่า หากโควิดสายพันธุ์ โอมิครอน ระบาดในไทยจะเกิดผลกระทบแน่นอนต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการคาดหวังกับการท่องเที่ยวมากเกินไป ซึ่งต่อให้ไม่มีประเด็นโควิดสายพันธุ์นี้ ยังมองไม่เห็นจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมากอย่างที่คาดหวังเดือนละ 1 แสนกว่าคน หรือ 10 เดือน มีนักท่องเที่ยว 1.5 ล้านคน เพราะคนที่เดินทางเข้ามาไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่เป็นตัวเลขของคนเดินทางเข้ามาเท่านั้น
จาก : ข่าวไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2254586
ผศ.ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข
"โอมิครอน ยิ่งทำให้เกิดการระแวงในการเดินทาง ถามว่ามีอิมแพ็กหรือไม่ ก็มี เพราะยิ่งสร้างความกังวล และถามว่าจะระบาดรุนแรงหรือไม่ ก็อาจจะไม่ใช่ หรือหากระบาดจริงๆ จะใช้มาตรการแบบเดิมไม่ได้แล้ว และฟังจากรัฐมนตรีคลัง การที่เศรษฐกิจโตก็เกิดจากเงินของรัฐเข้ามาในระบบเป็นล้านๆ มีแนวโน้มต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น ส่วนการขยายเพดานหนี้จาก 30% เป็น 35% ในงบประมาณรายปี ไปจ่ายประกันรายได้ชาวนา ก็เป็นการประกันราคาไม่ต่างจากจำนำข้าว เป็นการผลาญเงินเหมือนกัน แม้ตอนนี้สถานะภาพเงินในระบบยังเพียงพออยู่ แต่ไม่ทราบว่าจะนานแค่ไหน"
ในกรณีเลวร้ายหากโอมิครอน เข้ามาในไทย จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าไปอีก และช้ากว่าคนอื่น อย่างขณะนี้เวียดนามไปไกลกว่าไทย และการฟื้นตัวช้าของไทยมีนัยมาก นั่นหมายถึงจะมีคนจนเพิ่มมากขึ้น จากเดิม 4 ล้านคน ขยับมาเป็น 9.6 ล้านคน ตามตัวเลขของธนาคารโลก หากคุมโอมิครอนไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะไทย จะทำให้เปิดประเทศไม่ได้ 100% และคนไม่อยู่ในอารมณ์ในการท่องเที่ยว
เมื่อคนกังวลไม่เดินทางยิ่งทำให้ไทยรับผลกระทบ เพราะรอแต่ให้คนเดินทางเข้ามา เมื่อคนไม่เข้ามาจะทำให้คนจนเพิ่มมากขึ้น และรัฐจะทนไหวหรือไม่ ในการแจกเงินต่อไป ทั้งโครงการคนละครึ่ง หรือเราเที่ยวด้วยกัน ต้องใช้เงินเพิ่มเติมลงไปอีก และจากที่กู้ไป 5 แสนล้าน ไม่ได้รวมอยู่ในนี้ เพราะต้องไปช่วยเอสเอ็มอี แต่หากเจอปัญหาไปต่อไม่ไหว กลายเป็นว่าเติมเงินเท่าไรก็ไม่พอ
ที่ผ่านมาเป็นปัญหาในเชิงนโยบายที่ไทยไม่เคยทำอย่างจริงจัง ไม่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อสร้างงาน โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งๆ ที่มีการเติบโต 2 หลักในหลายประเทศ ยกตัวอย่างจีน เศรษฐกิจฟื้นได้เพราะรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเวียดนาม แต่ไทยขายแต่รถยนต์สันดาป และไปเพิ่มภาษีรถยนต์ไฮบริด ในขณะที่น้ำมันราคาแพงมากขึ้น แทนที่จะส่งเสริมและแก้กฎหมายเอื้อให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
เพราะฉะนั้นแล้วการคาดการณ์จีดีพีปีหน้า จะโต 4% จะไม่มีทางเกิดขึ้น หรืออย่างแบงก์ชาติประเมินไว้ที่ 3% และหากไทยไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ก็จะเห็นจีดีพีโต 3% เท่านี้ตลอดไป 20 ปี ทั้งๆ ที่โควิดเป็นตัวผลักดันให้ต้องทำอะไร แต่ไทยไม่ขยับในทิศทางที่จะพัฒนาขึ้น รอแต่การท่องเที่ยว ซึ่งต่อให้การท่องเที่ยวกลับมา ก็จะไม่เหมือนเดิมมีตัวเลขนักท่องเที่ยวปีละ 38-40 ล้านคน
"เพราะธุรกิจท่องเที่ยวไม่ปรับเปลี่ยน เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวไปเมืองหลักเลย แล้วเมืองรองจะไปอย่างไร และกิจการที่ป้องกันความสุ่มเสี่ยง แทบไม่มี จากนโยบายแบบผิวๆ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน หากโอมิครอนระบาด คิดว่าจีดีพีปีหน้า โตไม่ถึง 1.5% โดยเฉพาะครึ่งปีหลังน่ากลัวมาก เพราะไตรมาส 1-2 ยังพอมีโมเมนตัม"
https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2254586
#ผลกระทบจากโควิดกลายพันธ์
#ชนชั้นกลาง
#โอไมครอน
#เที่ยวเมืองรอง
#เที่ยวเมืองหลัก
#ธุรกิจท่องเที่ยว
ผศ.ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข
"โอมิครอน ยิ่งทำให้เกิดการระแวงในการเดินทาง ถามว่ามีอิมแพ็กหรือไม่ ก็มี เพราะยิ่งสร้างความกังวล และถามว่าจะระบาดรุนแรงหรือไม่ ก็อาจจะไม่ใช่ หรือหากระบาดจริงๆ จะใช้มาตรการแบบเดิมไม่ได้แล้ว และฟังจากรัฐมนตรีคลัง การที่เศรษฐกิจโตก็เกิดจากเงินของรัฐเข้ามาในระบบเป็นล้านๆ มีแนวโน้มต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น ส่วนการขยายเพดานหนี้จาก 30% เป็น 35% ในงบประมาณรายปี ไปจ่ายประกันรายได้ชาวนา ก็เป็นการประกันราคาไม่ต่างจากจำนำข้าว เป็นการผลาญเงินเหมือนกัน แม้ตอนนี้สถานะภาพเงินในระบบยังเพียงพออยู่ แต่ไม่ทราบว่าจะนานแค่ไหน"
ในกรณีเลวร้ายหากโอมิครอน เข้ามาในไทย จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าไปอีก และช้ากว่าคนอื่น อย่างขณะนี้เวียดนามไปไกลกว่าไทย และการฟื้นตัวช้าของไทยมีนัยมาก นั่นหมายถึงจะมีคนจนเพิ่มมากขึ้น จากเดิม 4 ล้านคน ขยับมาเป็น 9.6 ล้านคน ตามตัวเลขของธนาคารโลก หากคุมโอมิครอนไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะไทย จะทำให้เปิดประเทศไม่ได้ 100% และคนไม่อยู่ในอารมณ์ในการท่องเที่ยว
เมื่อคนกังวลไม่เดินทางยิ่งทำให้ไทยรับผลกระทบ เพราะรอแต่ให้คนเดินทางเข้ามา เมื่อคนไม่เข้ามาจะทำให้คนจนเพิ่มมากขึ้น และรัฐจะทนไหวหรือไม่ ในการแจกเงินต่อไป ทั้งโครงการคนละครึ่ง หรือเราเที่ยวด้วยกัน ต้องใช้เงินเพิ่มเติมลงไปอีก และจากที่กู้ไป 5 แสนล้าน ไม่ได้รวมอยู่ในนี้ เพราะต้องไปช่วยเอสเอ็มอี แต่หากเจอปัญหาไปต่อไม่ไหว กลายเป็นว่าเติมเงินเท่าไรก็ไม่พอ
ที่ผ่านมาเป็นปัญหาในเชิงนโยบายที่ไทยไม่เคยทำอย่างจริงจัง ไม่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อสร้างงาน โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งๆ ที่มีการเติบโต 2 หลักในหลายประเทศ ยกตัวอย่างจีน เศรษฐกิจฟื้นได้เพราะรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเวียดนาม แต่ไทยขายแต่รถยนต์สันดาป และไปเพิ่มภาษีรถยนต์ไฮบริด ในขณะที่น้ำมันราคาแพงมากขึ้น แทนที่จะส่งเสริมและแก้กฎหมายเอื้อให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
เพราะฉะนั้นแล้วการคาดการณ์จีดีพีปีหน้า จะโต 4% จะไม่มีทางเกิดขึ้น หรืออย่างแบงก์ชาติประเมินไว้ที่ 3% และหากไทยไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ก็จะเห็นจีดีพีโต 3% เท่านี้ตลอดไป 20 ปี ทั้งๆ ที่โควิดเป็นตัวผลักดันให้ต้องทำอะไร แต่ไทยไม่ขยับในทิศทางที่จะพัฒนาขึ้น รอแต่การท่องเที่ยว ซึ่งต่อให้การท่องเที่ยวกลับมา ก็จะไม่เหมือนเดิมมีตัวเลขนักท่องเที่ยวปีละ 38-40 ล้านคน
"เพราะธุรกิจท่องเที่ยวไม่ปรับเปลี่ยน เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวไปเมืองหลักเลย แล้วเมืองรองจะไปอย่างไร และกิจการที่ป้องกันความสุ่มเสี่ยง แทบไม่มี จากนโยบายแบบผิวๆ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน หากโอมิครอนระบาด คิดว่าจีดีพีปีหน้า โตไม่ถึง 1.5% โดยเฉพาะครึ่งปีหลังน่ากลัวมาก เพราะไตรมาส 1-2 ยังพอมีโมเมนตัม"
https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2254586
#ผลกระทบจากโควิดกลายพันธ์
#ชนชั้นกลาง
#โอไมครอน
#เที่ยวเมืองรอง
#เที่ยวเมืองหลัก
#ธุรกิจท่องเที่ยว
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google