คริส สิงโต มองคัลเจอร์วายไม่ได้ให้จิ้นแค่ในจอ เพราะยังได้เห็นมิตรภาพและการเติบโตของพวกเขา!
22 พ.ค. 68 20:09 น. /
ดู 1,362 ครั้ง /
2 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
hashtag:
#คริสพีรวัส #สิงโตปราชญา

เรียกได้ว่าเป็นคู่บุกเบิกปูทางจนทำให้วงการวายทุกวันนี้แข็งแกร่งจนก้าวขึ้นมาเป็น Soft Power
ของไทยกันเลย สำหรับ คริส สิงโต ที่ล่าสุดได้ไปพูดคุยย้อนวันวานจาก SOTUS จนมาถึง เพราะแฟนเก่าเปลี่ยนแปลงบ่อย
The Ex-Morning ก็เป็นเวลา 10 ปีแล้ว ใน Once Upon A Good Time

อย่างถ้าถามทั้งคู่รู้สึกยังไงที่ซีรีส์วายได้กลายมาเป็น Soft Power
สิงโตบอกว่า รู้สึกดี เพราะตอนแรกที่มาทำ SOTUS เราโดนสายตา เควสชั่นมาร์ก พอสมควร
กว่าจะผ่านวันนั้นจนมาวันนี้ ก็ดีใจที่มันได้สร้างแรงกระเพื่อมได้พอสมควร ส่วนคริสเอง ก็ดีใจมากเหมือนกันเพราะผ่านการ เควสชั่นมาร์ก ที่รุนแรง ถ้าพูดในเรื่องงานลูกค้ายังไม่มั่นใจว่าเป็นยังไง หรือคนรอบตัวก็ยังไม่เชื่อใจว่าจะไปโดนดองรึเปล่า หรือเวลาไปงานประกาศรางวัลต่างๆ แล้วได้รางวัลที่แฟนคลับโหวตมาให้เราก็ถูกเมกฟันในโซเชียลว่าคู่นี้คู่อะไร ใคร จนเวลามันผ่านมาก็ยินดีกับอุตสาหกรรมนี้มากๆ ที่มันถูกยอมรับแล้ว

แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคู่แรกที่สร้างแรงกระเพื่อม เพราะมองว่าที่บุกเบิกจริงๆ คือ รักแห่งสยาม ซึ่งเป็นภาพยนตร์ ซึ่งมันระยะเวลาห่างกันมากจาก SOTUS ยุคเรายังอยู่ก้ำกึ่งระหว่างยอมรับไม่ยอมรับ แต่ในยุคนั้นคือไม่ยอมรับ

ส่วนจุดเริ่มต้นการมาแคสต์ SOTUS ก็คล้ายๆ ในซีรีส์ แบบเรียนม.เกษตรเหมือนกัน
คริสเล่าว่า เริ่มจากเราไม่ชอบเขา เขาไม่ชอบผม เขาเป็นรุ่นพี่เป็นพี่ว้าก เราจะเป็นรุ่นน้องที่โดนว้าก
ตอนนั้นเราไม่เข้าใจจะโดนว้ากทำไม เวลาเดินผ่านดึงหน้าทำไม แบบพี่เขาจะเรียบร้อยมาก เรียนมหาลัยไม่เคยใส่กางเกงยีนส์ แต่เราไม่เนี้ยบเลย และเขาจะถูกส่งมาให้ตักเตือนเรื่องการแต่งกาย แบบกลุ่มเราจะถูกเพ่งเล็ง มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้จักกัน และตอนมาแคสต์ก็คือแยกกันมา อย่างสิงโตเล่าว่า เขามาแคสต์จะไปเป็นสายเดินแบบถ่ายแบบมากกว่า แต่คริสนี่ มาแคสต์เป็นพี่อาทิตย์โดยตรงเลย เพราะเขาเห็นรูปเราจากการเป็นพี่ว้ากใน ม.
เขาเลยเชิญเรามาเป็นพี่อาทิตย์ แคสต์กันจาก 700 กว่าคน มีที่ต่างจังหวัดด้วย พี่สิงก็ได้มาแคสต์บทนี้ จนสุดท้ายคัดเหลือ 3 คน แล้วเขาเห็นเคมีก็เคาะเลยว่าต้องเป็นเรา 2 คน

และตอนนั้นคริสเรียกซีรีส์แนวนี้ว่าชายรักชาย พอรู้ว่าจะต้องมาเล่น ก็มีปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ เพราะตอนนั้นเราก็เด็ก
และตอนนั้นก็ยังไม่แพร่หลายแต่กลายเป็นว่าพ่อแม่ไฟเขียว แต่ตอนนั้นก็สนิทกับอากงอาม่ามาก ก็ไม่เคยถามเหมือนกันว่าเขารู้สึกยังไงที่มาเล่นตรงนี้ ก็ห่วงความรู้สึกเขาเหมือนกัน ของสิงโตเอง ก็คล้ายๆ กัน ใจคืออยากทำงานก็แค่หันไปถามที่บ้านเฉยๆ ว่าโอเคไหมกับการทำงานตรงนี้ เพราะตอนนั้นค่อนข้าง niche market มาก เราถามแค่พ่อและเพื่อนที่เป็นว้ากมาด้วยกัน แบบพ่อโอเคเพื่อนโอเค ป้าข้างบ้านหรือใครไม่โอเคช่าง

ก่อนจะออกมาในรูปแบบซีรีส์ คริสเล่าว่า ตอนนั้นเวิร์กช็อปกันเกือบปี ตอนนั้นโปรเจ็กต์นี้ถูกสร้างมาโดยสำนักพิมพ์แจ่มใสและนาบูแล้วเขายังไม่รู้จะไปออนแอร์ที่ช่องไหน ก็ไปเสนอขายหลายๆ ที่แต่ไม่มีใครสนใจเลย มีพี่ถาคนเดียว
ที่สนใจเรา

และพอเปิดล้องจริงก็มีเจออุปสรรคแบบมีบางซีนเล่นไม่ได้ แบบสิงโตนี่ มีปัญหาเวลาจำบทยาวๆ เวลาพูดคนเดียว
ต่อหน้ากล้องแบบบทประมาณหนึ่งหน้ากระดาษ เราก็ต้องจำแบบตาม breakdown แต่พอทำงานจริงๆ เขาสลับ
breakdown และเราไม่รู้ ตอนนั้นเป็นซีนที่ประกวดดาวเดือน และเราต้องตอบอะไรยาวๆ บนเวที และทุกคนก็รอ
ถ้าเสร็จซีนนั้นทุกคนจะได้กินข้าว และเราพูดไม่ได้สักที ทุกคนก็รอ จนสุดท้ายพูดได้ปุ๊บ เข้าห้องน้ำร้องไห้เลย
ฟากของคริส จะมีปัญหาการเล่นซีนเขินหรือภาวะอารมณ์ต่างๆ ตอนนั้นเล่นไม่เป็น

ถ้าถามว่าเคมีตอนเข้าคู่กันมาได้ยังไง สำหรับคริสการ break the ice ของเขาคือ การได้ไปร้านสามวันสองคืนที่หัวหิน
กับทีมงาน ก็คือตอนแรกยังเข้าคู่กันไม่ค่อยได้ พี่ๆ เขาเลยนัดไปดริ้งก์ด้วยกันแล้วสั่งเหล้าปั่น เราไม่เคยเห็นพี่สิงคนเนี้ยเขาดื่มเลย แล้ววันนั้นเขาก็ดื่มๆ จนเขากรึ่มๆ เราก็นั่งเล่น นั่งจอยไป สักพักมาละเขามานวดคอ ผมก็พี่เขาเป็นไรวะ แต่ก็ไม่เป็นไรก็มีคนนวดก็ดี สักพักนึงงั่มกัดคอผม และกลายเป็น break the ice เลย ผมกล้ากัดคืนกล้าเล่นคืน🫦

ก่อนจะเล่าถึงวันที่โด่งดังเป็นพลุแตก ก็ผ่านวิธีการลองผิดลองถูกในการวางตัวและทรีตแฟนคลับ
มาหลากหลายรูปแบบ เพราะตอนนั้นยังไม่มีแบบอย่างให้ได้ลองศึกษา หรือการเป็นคู่แรกที่ได้ไปมีงานแฟนมีตที่จีน
ในเมืองกวางโจว ตอนนั้นพี่ถาไปด้วย แบบสนามบินแตก เกาะรถตู้ แถมตอนไปที่พักก็มีรถตู้ขนาบข้างด้วย พอเกิดแบบนั้นได้ 2-3 ครั้งก็ต้องออกกฎเลย


แต่ด้วยความที่โด่งดังในคอมมูนิตี้วายมากๆ ก็มีโดนคำพูดบั่นทอนจากสายศิลปินเหมือนกัน
ซึ่งคริสก็แชร์ตรงนี้ว่า เคยมีศิลปินมาบอกกับเราเหมือนกันว่า สิ่งที่เราได้รับมามันไม่ได้สมกับความสามารถของเรา
อันนี้ก็แอบกระทบจิตใจประมาณนึง แบบชื่อเสียงฐานแฟนไม่ได้สมกับความสามารถ เราแค่ niche market
ถามว่ามีมุมที่มันจริงไหม ตอนนั้นเราก็เด็กมาก เราฟังแล้วก็รู้สึกมันจริง แต่ก็ตรงจัง ส่วนสิงโตเองก็แชร์ในมุม
เป็นเชิงตั้งคำถามกลับว่า ด้วยความที่ชอบการแสดง ก็ลองผิดลองถูกหลายซีรีส์มาก แต่ทำงานไปเรื่อยๆ การเป็นนักแสดง
ซีรีส์วายมาก่อน มันแอบมีมุมที่ว่า ทำไมถึงต้องพิสูจน์ตัวเองขนาดนี้ แบบพอไปเล่นเรื่องอื่นก็จะโดนมอง จะเล่นถึงเหรอ

ท็อปปิกนี้จะไม่มีไม่ได้เลย กับตอนที่ประกาศแยกทางการเป็นคู่จิ้นกลางคอนเสิร์ต LOL
เหตุผลสำคัญตอนนั้นคือ สิงโตบอกว่าเขาอยากไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และการไปเรียนมันใช้เวลาถึง 2 ปี
ตอนนั้นก็ไม่รู้จะได้ไปไหม แต่การทำงานเป็นคู่มันจะชะงัก และถ้าเราไม่ทำให้ชัดเจนมันจะเหมือนทำให้เขาเคว้ง
เหมือนผูกเขาให้อยู่กับเราตลอดเวลา ก็เลยคุยกัน

แต่จากวันนี้จนวงการวายเติบโตจนแทรกซึมอยู่ในไลฟ์สไตล์ต่างๆ ของผู้คน
คริสมองว่า ทุกวันนี้วัฒนธรรมวายมันไม่ได้อยู่แค่ในจอ แต่ออกมานอกจอเยอะมาก และมันสร้างมิตรภาพใหม่ๆ เยอะมาก
ไม่ได้แสดงจบแล้วแยกจากกัน เพราะมันเหมือนจะเริ่มต้นที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน เพราะทุกวันนี้เราจะเห็นเยอะมากว่าเขาสนิทกันจริงๆ ใช้ชีวิตเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง และไม่ว่าวายหรือยูริ จะประสบความสำเร็จมากหรือน้อย คุณก็ต้องเดินทางไปเจอแฟนๆ จากที่เราอยากเป็นแค่นักแสดง ก็ต้องไปเรียนร้องเพลง เรียนเต้น มีแฟนมีต มีคอนเสิร์ตของตัวเอง เหมือนแฟนคลับจะไม่ได้เห็นแค่บทบาทที่เขาสวมแต่จะได้เห็นการเติบโตของเขาไปด้วย 💫

#คริสพีรวัส #สิงโตปราชญา
ของไทยกันเลย สำหรับ คริส สิงโต ที่ล่าสุดได้ไปพูดคุยย้อนวันวานจาก SOTUS จนมาถึง เพราะแฟนเก่าเปลี่ยนแปลงบ่อย
The Ex-Morning ก็เป็นเวลา 10 ปีแล้ว ใน Once Upon A Good Time

อย่างถ้าถามทั้งคู่รู้สึกยังไงที่ซีรีส์วายได้กลายมาเป็น Soft Power
สิงโตบอกว่า รู้สึกดี เพราะตอนแรกที่มาทำ SOTUS เราโดนสายตา เควสชั่นมาร์ก พอสมควร
กว่าจะผ่านวันนั้นจนมาวันนี้ ก็ดีใจที่มันได้สร้างแรงกระเพื่อมได้พอสมควร ส่วนคริสเอง ก็ดีใจมากเหมือนกันเพราะผ่านการ เควสชั่นมาร์ก ที่รุนแรง ถ้าพูดในเรื่องงานลูกค้ายังไม่มั่นใจว่าเป็นยังไง หรือคนรอบตัวก็ยังไม่เชื่อใจว่าจะไปโดนดองรึเปล่า หรือเวลาไปงานประกาศรางวัลต่างๆ แล้วได้รางวัลที่แฟนคลับโหวตมาให้เราก็ถูกเมกฟันในโซเชียลว่าคู่นี้คู่อะไร ใคร จนเวลามันผ่านมาก็ยินดีกับอุตสาหกรรมนี้มากๆ ที่มันถูกยอมรับแล้ว

แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคู่แรกที่สร้างแรงกระเพื่อม เพราะมองว่าที่บุกเบิกจริงๆ คือ รักแห่งสยาม ซึ่งเป็นภาพยนตร์ ซึ่งมันระยะเวลาห่างกันมากจาก SOTUS ยุคเรายังอยู่ก้ำกึ่งระหว่างยอมรับไม่ยอมรับ แต่ในยุคนั้นคือไม่ยอมรับ

ส่วนจุดเริ่มต้นการมาแคสต์ SOTUS ก็คล้ายๆ ในซีรีส์ แบบเรียนม.เกษตรเหมือนกัน
คริสเล่าว่า เริ่มจากเราไม่ชอบเขา เขาไม่ชอบผม เขาเป็นรุ่นพี่เป็นพี่ว้าก เราจะเป็นรุ่นน้องที่โดนว้าก
ตอนนั้นเราไม่เข้าใจจะโดนว้ากทำไม เวลาเดินผ่านดึงหน้าทำไม แบบพี่เขาจะเรียบร้อยมาก เรียนมหาลัยไม่เคยใส่กางเกงยีนส์ แต่เราไม่เนี้ยบเลย และเขาจะถูกส่งมาให้ตักเตือนเรื่องการแต่งกาย แบบกลุ่มเราจะถูกเพ่งเล็ง มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้จักกัน และตอนมาแคสต์ก็คือแยกกันมา อย่างสิงโตเล่าว่า เขามาแคสต์จะไปเป็นสายเดินแบบถ่ายแบบมากกว่า แต่คริสนี่ มาแคสต์เป็นพี่อาทิตย์โดยตรงเลย เพราะเขาเห็นรูปเราจากการเป็นพี่ว้ากใน ม.
เขาเลยเชิญเรามาเป็นพี่อาทิตย์ แคสต์กันจาก 700 กว่าคน มีที่ต่างจังหวัดด้วย พี่สิงก็ได้มาแคสต์บทนี้ จนสุดท้ายคัดเหลือ 3 คน แล้วเขาเห็นเคมีก็เคาะเลยว่าต้องเป็นเรา 2 คน

และตอนนั้นคริสเรียกซีรีส์แนวนี้ว่าชายรักชาย พอรู้ว่าจะต้องมาเล่น ก็มีปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ เพราะตอนนั้นเราก็เด็ก
และตอนนั้นก็ยังไม่แพร่หลายแต่กลายเป็นว่าพ่อแม่ไฟเขียว แต่ตอนนั้นก็สนิทกับอากงอาม่ามาก ก็ไม่เคยถามเหมือนกันว่าเขารู้สึกยังไงที่มาเล่นตรงนี้ ก็ห่วงความรู้สึกเขาเหมือนกัน ของสิงโตเอง ก็คล้ายๆ กัน ใจคืออยากทำงานก็แค่หันไปถามที่บ้านเฉยๆ ว่าโอเคไหมกับการทำงานตรงนี้ เพราะตอนนั้นค่อนข้าง niche market มาก เราถามแค่พ่อและเพื่อนที่เป็นว้ากมาด้วยกัน แบบพ่อโอเคเพื่อนโอเค ป้าข้างบ้านหรือใครไม่โอเคช่าง

ก่อนจะออกมาในรูปแบบซีรีส์ คริสเล่าว่า ตอนนั้นเวิร์กช็อปกันเกือบปี ตอนนั้นโปรเจ็กต์นี้ถูกสร้างมาโดยสำนักพิมพ์แจ่มใสและนาบูแล้วเขายังไม่รู้จะไปออนแอร์ที่ช่องไหน ก็ไปเสนอขายหลายๆ ที่แต่ไม่มีใครสนใจเลย มีพี่ถาคนเดียว
ที่สนใจเรา

และพอเปิดล้องจริงก็มีเจออุปสรรคแบบมีบางซีนเล่นไม่ได้ แบบสิงโตนี่ มีปัญหาเวลาจำบทยาวๆ เวลาพูดคนเดียว
ต่อหน้ากล้องแบบบทประมาณหนึ่งหน้ากระดาษ เราก็ต้องจำแบบตาม breakdown แต่พอทำงานจริงๆ เขาสลับ
breakdown และเราไม่รู้ ตอนนั้นเป็นซีนที่ประกวดดาวเดือน และเราต้องตอบอะไรยาวๆ บนเวที และทุกคนก็รอ
ถ้าเสร็จซีนนั้นทุกคนจะได้กินข้าว และเราพูดไม่ได้สักที ทุกคนก็รอ จนสุดท้ายพูดได้ปุ๊บ เข้าห้องน้ำร้องไห้เลย
ฟากของคริส จะมีปัญหาการเล่นซีนเขินหรือภาวะอารมณ์ต่างๆ ตอนนั้นเล่นไม่เป็น

ถ้าถามว่าเคมีตอนเข้าคู่กันมาได้ยังไง สำหรับคริสการ break the ice ของเขาคือ การได้ไปร้านสามวันสองคืนที่หัวหิน
กับทีมงาน ก็คือตอนแรกยังเข้าคู่กันไม่ค่อยได้ พี่ๆ เขาเลยนัดไปดริ้งก์ด้วยกันแล้วสั่งเหล้าปั่น เราไม่เคยเห็นพี่สิงคนเนี้ยเขาดื่มเลย แล้ววันนั้นเขาก็ดื่มๆ จนเขากรึ่มๆ เราก็นั่งเล่น นั่งจอยไป สักพักมาละเขามานวดคอ ผมก็พี่เขาเป็นไรวะ แต่ก็ไม่เป็นไรก็มีคนนวดก็ดี สักพักนึงงั่มกัดคอผม และกลายเป็น break the ice เลย ผมกล้ากัดคืนกล้าเล่นคืน🫦

ก่อนจะเล่าถึงวันที่โด่งดังเป็นพลุแตก ก็ผ่านวิธีการลองผิดลองถูกในการวางตัวและทรีตแฟนคลับ
มาหลากหลายรูปแบบ เพราะตอนนั้นยังไม่มีแบบอย่างให้ได้ลองศึกษา หรือการเป็นคู่แรกที่ได้ไปมีงานแฟนมีตที่จีน
ในเมืองกวางโจว ตอนนั้นพี่ถาไปด้วย แบบสนามบินแตก เกาะรถตู้ แถมตอนไปที่พักก็มีรถตู้ขนาบข้างด้วย พอเกิดแบบนั้นได้ 2-3 ครั้งก็ต้องออกกฎเลย


แต่ด้วยความที่โด่งดังในคอมมูนิตี้วายมากๆ ก็มีโดนคำพูดบั่นทอนจากสายศิลปินเหมือนกัน
ซึ่งคริสก็แชร์ตรงนี้ว่า เคยมีศิลปินมาบอกกับเราเหมือนกันว่า สิ่งที่เราได้รับมามันไม่ได้สมกับความสามารถของเรา
อันนี้ก็แอบกระทบจิตใจประมาณนึง แบบชื่อเสียงฐานแฟนไม่ได้สมกับความสามารถ เราแค่ niche market
ถามว่ามีมุมที่มันจริงไหม ตอนนั้นเราก็เด็กมาก เราฟังแล้วก็รู้สึกมันจริง แต่ก็ตรงจัง ส่วนสิงโตเองก็แชร์ในมุม
เป็นเชิงตั้งคำถามกลับว่า ด้วยความที่ชอบการแสดง ก็ลองผิดลองถูกหลายซีรีส์มาก แต่ทำงานไปเรื่อยๆ การเป็นนักแสดง
ซีรีส์วายมาก่อน มันแอบมีมุมที่ว่า ทำไมถึงต้องพิสูจน์ตัวเองขนาดนี้ แบบพอไปเล่นเรื่องอื่นก็จะโดนมอง จะเล่นถึงเหรอ

ท็อปปิกนี้จะไม่มีไม่ได้เลย กับตอนที่ประกาศแยกทางการเป็นคู่จิ้นกลางคอนเสิร์ต LOL
เหตุผลสำคัญตอนนั้นคือ สิงโตบอกว่าเขาอยากไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และการไปเรียนมันใช้เวลาถึง 2 ปี
ตอนนั้นก็ไม่รู้จะได้ไปไหม แต่การทำงานเป็นคู่มันจะชะงัก และถ้าเราไม่ทำให้ชัดเจนมันจะเหมือนทำให้เขาเคว้ง
เหมือนผูกเขาให้อยู่กับเราตลอดเวลา ก็เลยคุยกัน

แต่จากวันนี้จนวงการวายเติบโตจนแทรกซึมอยู่ในไลฟ์สไตล์ต่างๆ ของผู้คน
คริสมองว่า ทุกวันนี้วัฒนธรรมวายมันไม่ได้อยู่แค่ในจอ แต่ออกมานอกจอเยอะมาก และมันสร้างมิตรภาพใหม่ๆ เยอะมาก
ไม่ได้แสดงจบแล้วแยกจากกัน เพราะมันเหมือนจะเริ่มต้นที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน เพราะทุกวันนี้เราจะเห็นเยอะมากว่าเขาสนิทกันจริงๆ ใช้ชีวิตเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง และไม่ว่าวายหรือยูริ จะประสบความสำเร็จมากหรือน้อย คุณก็ต้องเดินทางไปเจอแฟนๆ จากที่เราอยากเป็นแค่นักแสดง ก็ต้องไปเรียนร้องเพลง เรียนเต้น มีแฟนมีต มีคอนเสิร์ตของตัวเอง เหมือนแฟนคลับจะไม่ได้เห็นแค่บทบาทที่เขาสวมแต่จะได้เห็นการเติบโตของเขาไปด้วย 💫

#คริสพีรวัส #สิงโตปราชญา
ขอบคุณภาพและคลิปจาก
@GoodDayPodcast
แก้ไขล่าสุด 30 พ.ค. 68 02:47 |
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 10
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google