รวมไม้ดอกจากนายเกษตร
ชนิดไม้เถาเปลือกต้นยังใช้ทำเป็นปอได้ดีเพราะเหนียวมาก ทางยา ใบขยี้พอกรักษาแผลเปื่อย ขับระดูมีกลิ่นเหม็น ขับปัสสาวะ ขับเมือกเสมหะได้ เปลือกต้นรสฝาดปนเปรี้ยวต้มดื่มแก้ไอฟอกโลหิต ใบแก่ต้มน้ำอาบแก้ผื่นคันตามตัวดีมาก ทางอาหาร ใบอ่อนกินเป็นผักสด ใส่ต้มปลา ต้มเนื้อ อร่อยมาก ผล กินได้รสฝาดปนเปรี้ยว
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ต้น พวงคราม จะเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง มีถิ่นกำเนิดจากหมู่เกาะเวสต์อินดีส และประเทศบราซิล ถูกนำเข้ามาปลูกประดับและขยายพันธุ์ในประเทศไทยบ้านเรานานมากแล้ว จนทำให้เข้าใจว่าเป็นไม้ไทยไปโดยปริยาย จะออกดอกชูช่อเป็นสีม่วงครามสวยงามมากในช่วงฤดูหนาว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า PETREA VOLUBILIS LINN. อยู่ในวงศ์ VERBENACEAE ชื่อสามัญ PURPLE WREATH, QUEEN'S WREATH, SANDPAPER VINE มีชื่อภาษาไทยอีกคือ ช่อม่วง
ส่วน "พวงครามต้น" มีถิ่นกำเนิดจากรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกนำเข้ามาปลูกประดับและขยายพันธุ์นานกว่า 2-3 ปีแล้ว มีข้อแตกต่าง จากพวงครามชนิดแรกคือ "พวงครามต้น" เป็นไม้ยืนต้น ไม่ใช่ไม้เถาเลื้อยอย่างชัดเจน มีความโดดเด่นหลายจุด เช่น ใบของ "พวงครามต้น" จะมีรูปทรงคล้ายใบ สะระแหน่ ที่นิยมรับประทานเป็นอาหาร แต่ไม่มีกลิ่นฉุนเป็นกลิ่นมิ้นต์เท่านั้นเอง ช่อดอกของ "พวงครามต้น" จะชูตั้งขึ้น ขนาดของช่อยาวมาก ดอกออกดกมาก จึงทำให้เวลามีดอกทั้งต้นดูงดงามน่ารักยิ่ง
พวงครามต้น อยู่ในวงศ์ VERBENACEAE เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูงเต็มที่ระหว่าง 3-4 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาหนาแน่นเป็นรูปทรงกลมกว้าง เนื้อไม้แข็ง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่ตลอดทั้งกิ่งก้าน ใบเป็นรูปทรงรี กว้างเกือบกลมคล้ายใบ สะระแหน่ แต่ใบจะมีขนาดใหญ่กว่า ผิวใบหยาบสากมือและเป็นคลื่น แข็งและกรอบ สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นช่อตั้งขึ้นตามซอกใบ และปลายยอด ช่อดอกยาวเกินครึ่งฟุต แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ลักษณะดอกเหมือนกับดอกของพวงครามชนิดเป็นไม้เถาเลื้อยทุกอย่าง เพียงแต่ขนาดของดอก "พวงครามต้น" จะใหญ่กว่า สีของกลีบดอกชั้นในจะเข้มข้นกว่าด้วย ดอกเป็นสีม่วงครามเช่นเดียวกัน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น ช่อดอกจะชูตั้งขึ้นดูงดงามมาก "ผล" รูปทรงกลม ขนาดเล็กมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ มีเมล็ด ดอกออกช่วงฤดูหนาวเหมือนกับพวงครามชนิดที่เป็นเถาเลื้อย คือ ระหว่างเดือนตุลาคมต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดไป ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่ง และตอนกิ่ง
บุหงาหยิก ไม้ต้นนี้ พบขึ้นตามป่าดิบทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย โดยจะขึ้นที่ระดับความสูงตั้งแต่ 200-800 เมตรขึ้นไป ตามรายงานแจ้งว่า "บุหงาหยิก" มีด้วยกัน 2 ชนิด และแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยคือ ใบมีขนาดเล็กหรือใหญ่ไม่เท่ากัน ซึ่งก็ยังมีรายงานอีกว่า "บุหงาหยิก" พบมีขึ้นในป่าดิบทางภาคใต้ด้วย แต่มีน้อยมาก จัดเป็นไม้หายากชนิดหนึ่งที่เพิ่งจะพบมีต้นวางขายเมื่อไม่นานมานี้ และ ผู้ขายยืนยันว่าเป็น "บุหงาหยิก"ต้นแท้และมีผู้เสาะหาไปปลูกประดับกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
บุหงา หยิก หรือ GONIOTHALAMUS SAWTEHII C.E.C. FISHER อยู่ในวงศ์ ANNONA-CEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์คือ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 4-6 เมตร เปลือกต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลแดงเกือบดำ แตกกิ่งก้านน้อย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ มักมีใบเฉพาะที่บริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ปลายแหลม โคนเป็นรูปลิ่ม ใบอ่อนจะมีขนทั้ง 2 ด้าน เนื้อใบหนาสีเขียวสด
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามกิ่งก้านที่เป็นกิ่งแก่ มีกลีบดอก 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบชั้นนอกจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบชั้นใน เนื้อกลีบชั้นนอกหนาและดอกห้อยลง เมื่อดอกยังอ่อนเป็นสีเขียว และกลีบดอกจะบิดหรือหยิกมาก จึงเรียกว่า "บุหงาหยิก" เวลาดอกแก่หรือสุก สีของกลีบดอกจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง หรือ สีเหลืองอมสีเขียวเล็กน้อย ดอกจะมีกลิ่นหอมแรงในช่วงใกล้โรย จึงทำให้เวลา "บุหงาหยิก" มีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมชื่นใจ ตอนกลีบดอกใกล้จะร่วงเป็นที่แปลกประหลาดมาก
ดอก ออกช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี "ผล" เป็นรูปกลม ติดผลเป็นพวง 6-10 ผล ผิวผลเรียบ ภายในมีเมล็ด เมื่อผลแก่ เป็นสีเขียวอมเหลือง ขยายพันธุ์ ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง การปลูก นิยมปลูกประดับทั่วไป เป็นไม้ชอบที่รำไรและชอบความชื้นสูง ดังนั้น หลังปลูกจึงต้องรดน้ำอย่างสม่ำเสมอเช้าเย็น พร้อมบำรุงปุ๋ยที่เป็นปุ๋ยธรรมชาติ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยขี้วัวขี้ควายแห้งโรยรอบโคนต้นอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ว่ากันว่า ถ้าใครเคยเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศออสเตรเลียในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกันยายนของทุกปี จะพบต้น "ยูคาลิปตัสออสเตรเลีย" ที่ชาวออสเตรเลียนิยมปลูกประดับตามบ้าน สำนักงาน และตามริมทางเดินทั่วไป กำลังมีดอกบานสะพรั่งสวยงามตื่นตาตื่นใจมาก ซึ่งในประเทศไทยบ้านเราเพิ่งพบว่ามีผู้นำต้นกำลังติดดอกวางขายเมื่อไม่นานมา นี้ จึงรีบแนะนำให้รู้จักอีกตามระเบียบ
ผู้ขายบอกว่า "ยูคาลิปตัสออสเตรเลีย" มีชื่อเฉพาะภาษาอังกฤษว่า EUCALYPTUS FICIFOLIA มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน 5 เมตร เป็นไม้พื้นเมืองดั้งเดิมของประเทศออสเตรเลีย ถูกนำเข้ามาปลูกประดับและขยายพันธุ์ขายนานกว่า 4-5 ปีแล้ว
จาก การสังเกตต้นที่วางขายพอจะบรรยายลักษณะได้คือ "ยูคาลิปตัสออสเตรเลีย" แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มหนาแน่นมาก กิ่งอ่อนมักโน้มลง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรีแกมขอบขนาน หรือรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนเรียบ ก้านใบค่อนข้างยาว เป็นสีน้ำตาลแดง ผิวใบเรียบเป็นมัน เนื้อใบหนา ที่สำคัญใบจะมีความเป็นพิเศษคือ เมื่อไปโดนหรือขยี้จะมีกลิ่นหอมเป็นกลิ่นยูคาลิปตัส จึงถูกตั้งชื่อว่า "ยูคาลิปตัสออสเตรเลีย" ดังกล่าว
ดอก ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงช่อขนาดใหญ่ที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดใหญ่จำนวนมาก ลักษณะดอก โคนเชื่อมกันเป็นหลอดยาว ปลายดอกตอนยังตูมจะเป็นทรงกลมดูคล้ายดอกชมพู่มะเหมี่ยว เมื่อดอกบานจะไม่มีกลีบดอก แต่จะมีเกสรเป็นฝอยๆสีชมพูเข้มจำนวนมากเหมือนกับดอกของชมพู่ทั่วๆไป จึงทำให้เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นดูสวยงามมาก "ผล" รูปทรงกลม ภายในมีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง
คำมอกหลวงพม่า อยู่ในวงศ์เดียวกับคำมอกหลวงของไทย คือ RUBIACEAE มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม เป็นรูปรี ปลายแหลม โคนสอบป้านลึก ใบมีขนาดใหญ่ หน้าใบเป็นสีเขียวสด หลังใบเป็นสีเขียวหม่น และเส้นแขนงใบนูนเห็นชัดเจน
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบ ลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดสั้นกว่าโคนกลีบดอกของพุดนา ซึ่งจะยาวกว่ามาก ปลายแยกเป็นกลีบดอกจำนวน 7 กลีบ แยกเป็นอิสระกัน บางดอกผู้ขายแจ้งว่า สามารถ มีกลีบดอกได้ถึง 12 กลีบ รูปทรงของกลีบดอก โคนเรียวป้าน ปลายกลีบรูปกลมรีคล้ายรูปช้อน เนื้อกลีบดอกค่อนข้างหนาและแข็ง เมื่อแรกบานจะเป็นสีขาวนวลแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด ใจกลางดอกมีเกสรตัวผู้ 6 อัน เป็นสีน้ำตาลแดง
ดอกมีกลิ่นหอมแรง ดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดใหญ่กว่าดอกพุดนา หรือคำมอกหลวงของไทยเยอะ ทำให้เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น แต่ละดอกมีกลีบดอกมากน้อยไม่ เท่ากันดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ประทับใจมาก "ผล" เป็นรูปกระสวย มีเมล็ด ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด
ส้านดอกขาว อยู่ในวงศ์ DILLENIACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูงระหว่าง 7-10 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มหนาแน่นทรงกลมกว้าง เปลือกต้น เป็นสีเกือบดำ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรีจนถึงรูปไข่ ใบกว้างประมาณ 8-15 ซม. ยาว 15-30 ซม. ปลายใบมีทั้งเกือบมนและแหลมเล็กน้อย โคนมน มีครีบและยกตั้งขึ้น ขอบใบหยักชัดเจน ผิวใบสากมือเล็กน้อย ใบเป็นสีเขียวสด เวลาใบดกจะเป็นพุ่มหนาแน่นน่าชมมาก
ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อสามารถมีดอกย่อยได้ตั้งแต่ 4-5 ดอก หรือบางครั้งมีได้ถึง 18 ดอก ลักษณะดอกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เป็นรูปไข่กลับ กลีบดอกมี 5 กลีบ เป็นรูปช้อน แต่ละกลีบแยกเป็นอิสระกัน เนื้อกลีบดอกค่อนข้างหนา เป็นสีขาวสดใส ใจกลางดอกมีเกสรจำนวนมาก เกสรดังกล่าวเป็นสีม่วงแดงตัดกับสีขาวของกลีบดอกอย่างชัดเจน ดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9-10 ซม. มีขนาดใหญ่กว่าดอกของ ส้านใหญ่ และ ส้านชวา มาก เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะทำให้ดูสวยงามสดใสมาก
ผล รูปกลมแป้น เมื่อผลสุกเป็นสีส้มหรือสีแดง แตกเป็น 6 แฉก ภายในมีเมล็ด ดอกออกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนกิ่ง
พุดปาปัว อยู่ในวงศ์ RUBIACEAE เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สามารถสูงได้ถึง 3 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเยอะ เป็นพุ่มทรงกลมแน่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามก้านใบสั้น ใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบแหลม ผิวใบเรียบ สีเขียวเป็นมันเวลามีดอกจะเป็นพุ่มกว้างน่าชมมาก
ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย 1-3 ดอก มีกลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน ลักษณะโคนเชื่อมกันเป็นหลอดสั้น ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดแคบยาว ปลายแยกเป็นกลีบดอก 6 กลีบ รูปกลีบดอกโคนเรียว ปลายกลีบมนกว้าง เนื้อกลีบดอกค่อนข้างหนา ใจกลางดอกมีเกสรตัวผู้และเส้าเกสรเห็นชัดเจน ดอกเมื่อแรกบานจะเป็นสีขาว หรือ ขาวปนเขียวอ่อน จากนั้นจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนและสีเหลืองเข้ม หรือ เหลืองทองในขั้นตอนสุดท้าย
ดอก เมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดใหญ่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-5 นิ้วฟุต ซึ่ง พุดปาปัว เป็นสายพันธุ์ที่ติดดอกง่ายและดอกดกตลอดทั้งปี ตามที่กล่าวข้างต้น จึงทำให้เวลามีดอกบานพร้อมกันทั้งต้น ดูสวยงามตั้งแต่ดอกเป็นสีขาวจนกระทั่งเป็นสีเหลืองทอง พร้อมส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่นใจมาก ผล รูปกลมรี มีสันตามยาว ภายในมีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วย เมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด ปลูกได้ในดินทั่วไป สามารถปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งประดับในที่แจ้ง ทำทางระบายน้ำก้นกระถางให้ดี อย่าให้มีน้ำท่วมขังเด็ดขาด หรือปลูกประดับลงดินกลางแจ้ง รดน้ำพอชุ่มเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยขี้วัวขี้ควายแห้งโรยรอบโคนต้นเดือนละครั้ง สลับกับปุ๋ย 16-16-16 ครึ่งเดือนครั้ง
การขยายพันธุ์ชวนชมในปัจจุบันนิยมใช้วิธีเขี่ยเกสรมากกว่าวิธีอื่น เนื่องจากเมื่อได้ลูกไม้ใหม่ ออกมาสีของดอกจะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกับสายพันธุ์เดิมๆที่พบเห็นจนชิน ตา ที่สำคัญกลีบของ ดอกจะต้องซ้อนกันอย่างน้อย 2 ชั้นขึ้นไป ซึ่ง "ชวนชมเหลืองสยาม" เป็นตัวใหม่ที่เกิดจากการเขี่ยเกสรโดย ฝีมือเจ้าของ "สวนชวนชมหัสดี" ตั้งอยู่คลอง 10 อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี แต่เจ้าของไม่ได้ระบุว่า "ชวนชมเหลืองสยาม" เกิดจากการเขี่ยเกสรผสมกันระหว่างพันธุ์ไหน
เมื่อ ได้ลูกไม้ใหม่ออกมาและปลูกเลี้ยงจนมีดอก ปรากฏว่ากลีบดอกซ้อนกันถึง 3 ชั้น ดอกมีขนาดใหญ่ สีของกลีบดอกแปลกตาเป็นสีเหลืองปนเขียวอ่อน และที่จัดว่าเด่นที่สุดได้แก่ ร่องกลางกลีบดอกจะมีแต้มสีแดงอมชมพูแทงขึ้นจากโคนกลีบลากยาวไปจดปลายกลีบดอก ดูสวยงามมาก เจ้าของ จึงตั้งชื่อชวนชมชนิดนี้ว่า "ชวนชมเหลืองสยาม" พร้อมขยายพันธุ์นำออกจำหน่ายให้ผู้สนใจซื้อไปปลูกประดับช่วงระหว่างต้นเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ชวนชมเหลืองสยาม มีชื่อวิทยาศาสตร์ เหมือนกับชวนชมทั่วไปคือ ADENIUM OBESUM (FORSK) ROEM-SCHULT. อยู่ในวงศ์ APOCYNACEAE ชื่อสามัญ PINK BIGNONIA, MOCK AZALEA, DESERT ROSE, LMPALA LILY ลักษณะเป็นไม้พุ่มสูง 1-1.5 เมตร ลำต้นกลม ผิวต้นเกลี้ยง เป็นมัน สีเขียวปนเทา ทุกส่วนของต้นมียางขาว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่บริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปช้อน ปลายมนกว้าง โคนเรียว ก้านใบสั้น แผ่นใบค่อนข้างหนา สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยหลายดอก ดอกจะทยอยบานครั้งละ 3-4 ดอก ลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกเรียงซ้อนกัน 3 ชั้น โดยกลีบดอกด้านนอกสุดจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบที่อยู่ถัดเข้าไปตามลำดับ กลีบดอกเป็นรูปกลมมน เป็นสีเหลืองปนสีเขียวอ่อน และที่โดดเด่นคือร่องกลางกลีบดอก จะมีแต้มสีแดงอมชมพูลากขึ้นจากโคนกลีบดอกไปจนจดปลายกลีบ ตามที่กล่าวข้างต้น ทำให้เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันดูสวยงามมาก "ผล" เป็นฝัก มีเมล็ดจำนวนมาก ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ปักชำกิ่ง ตอนกิ่ง และเสียบยอด
ไม้ต้นนี้ จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ ปาหนันหอม โดยพบขึ้นทั่วไปตามป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 100-400 เมตร ขึ้นไป ส่วน "ปาหนันอ่างฤาไน" พบขึ้นจากแหล่งเดียวกัน และมีขึ้นตามป่าในภาคอื่นบ้างประปราย ซึ่งไม้ในตระกูลนี้จะมีดอกในช่วงระหว่างเดือนเมษายน ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกรกฎาคมของทุกปี มีลักษณะเด่นคือ เวลามีดอกจะส่งกลิ่นหอมในตอนกลางคืนเป็นที่ชื่นใจมาก เป็นไม้ที่สามารถปลูกประดับในพื้นที่รำไรได้ โดยเฉพาะปลูกในบริเวณบ้านด้านเหนือลม หรือปลูกใกล้ๆกับหน้าต่างห้องนอน เมื่อถึงฤดูกาลมีดอกตอนกลางคืนจะส่งกลิ่นหอมให้ลมพัดโชยเข้าสู่ห้องนอนทำให้รู้สึกเป็นธรรมชาติดียิ่งนัก
ปาหนัน อ่างฤาไน เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูงระหว่าง 2-5 เมตร แตกกิ่งก้านน้อย เป็นพุ่มโปร่ง เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลคล้ำ เรือนยอดเป็นรูปกรวยคว่ำ เนื้อไม้เหนียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับเป็นรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบแหลม สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบ หรือออกเหนือรอยแผลใบ มีกลีบดอก 3 กลีบ ดอกห้อยลง ก้านดอกใหญ่และยาว มีกลีบเลี้ยงรูปไข่ปลายแหลมสีเขียวสด เนื้อกลีบดอกหนา เมื่อแรกบานจะเป็นสีเหลือง จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีขาวอมเหลือง กลีบดอกเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือรูปหอก ดอกมีกลิ่นหอมแรงตั้งแต่ พลบค่ำต่อเนื่องไปจนถึงเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จากนั้นกลิ่นจะจางหายไป
ดอก เมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 ซม. ดอกออกช่วงฤดูร้อนตั้ง แต่เดือนเมษายน ไปจนถึงเดือนกรกฎาคมทุกปี "ผล" เป็นกลุ่ม มีผลย่อย 4-8 ผล เปลือกผลเรียบ เมื่อแก่จะเป็นสีเหลืองอมเขียว มีเมล็ด 1 เมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง ปลูกได้ในดินทั่วไป ซึ่งนอกจากสามารถปลูกในพื้นที่รำไรได้ ปลูกลงกระถางมีดอกได้ รดน้ำเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยคอกสลับกับปุ๋ยสูตร 16-16-16 เดือนละครั้ง จะทำให้มีดอกสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่นใจ เมื่อถึงฤดูกาลมีดอก
หมายเหตุชื่อ "ปาหนันอ่างฤาไน" ค้นในบันทึกพันธุ์ไม้ไทยไม่พบ แต่จากลักษณะดอกต้นและใบเหมือนกับปาหนันหอมทุกอย่าง จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นปาหนันหอมชนิดหนึ่ง
คนส่วนใหญ่จะรู้จักและเคยพบเห็นต้นตะเบ เฉพาะชนิดที่มีต้นสูงใหญ่ มีดอกบานเฉพาะช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนเมษายนของทุกปี เวลามีดอกแต่ละทีสีของดอกเป็นสีชมพูอ่อนๆ บานสะพรั่งทั้งต้นจะสวยงามมาก ซึ่งตะเบที่กล่าวนี้มี
ถิ่นกำเนิดจากอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ประเทศไทยนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ขายนานกว่า 50-60 ปีแล้ว โดยเรียกชื่อเป็นภาษาไทยว่า "ชมพูพันธุ์ทิพย์" หรือ "ชมพูอินเดีย" และ "ธรรมบูชา" ได้รับความ นิยมปลูกกันแพร่หลาย เพราะตะเบสายพันธุ์นี้เป็นไม้ชอบดูดอากาศเสียจำพวกคาร์บอนไดออกไซด์ดีกว่า ไม้ยืนต้นชนิดอื่น สามารถฟอกอากาศให้ บริเวณใกล้เคียงบริสุทธิ์ขึ้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า TABEBUIA ROSEA (BERTOL.) DC. อยู่ในวงศ์ BIGNONIACEAE ชื่อสามัญได้แก่ PINK TRUMPET TREE ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
ส่วน ต้น "ตะเบเตี้ย" เป็นไม้ใหม่นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย มีลักษณะแตกต่างจากตะเบที่กล่าวข้างต้น หรือ "ชมพูพันธุ์ทิพย์" คือ ต้นของ "ตะเบเตี้ย" สูงเต็มที่ไม่เกิน 3 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลเทา หรือน้ำตาลแดง ใบเป็นใบประกอบมีใบย่อย 3-5 ใบ เป็นรูปรีแกมขอบขนาน ปลายและโคนใบแหลม ก้านใบเป็นสีน้ำตาลแดง เนื้อใบค่อนข้างหนา ผิวใบเรียบเป็นสีเขียวสด เวลาแตกกิ่งก้านเยอะๆและมีใบดกจะเป็นพุ่มน่าชมยิ่ง
ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนหลายดอก ลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีม่วงเข้ม ดอก เมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 ซม. มีเกสรตัวผู้ 4 อัน ดอกมักร่วงง่ายตามสายพันธุ์ ของไม้ชนิดนี้ แต่ดอกของ "ตะเบเตี้ย" จะมีได้เรื่อยๆ เกือบทั้งปี ต่างจากดอกของตะเบชื่อ "ชมพูพันธุ์ทิพย์" ที่มีดอกเฉพาะช่วง ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ปลูกได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ชอบแดดจัด ทนแล้งได้ดี เหมาะจะปลูกเป็นไม้ ประดับทรงพุ่มในบริเวณบ้าน สำนักงาน สวนสาธารณะทั่วไป หลังปลูกดูแลรดน้ำบำรุงปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอในตอนแรก เมื่อต้น "ตะเบเตี้ย" ตั้งตัวได้ สามารถปล่อยให้เทวดาเลี้ยงเองได้
ขอบคุณค่ะ ที่บ้านมีส้านชวาดอกเหลือง
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google