Review : 500 days of summer คุณเชื่อในโชคชะตาบ้างไหม

นี่เป็นภาพยนตร์ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเปิดตัวในงานเทศกาล Sundance ที่เป็นฮือฮาของเหล่าคนที่รักหนังเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจทั้งๆที่ดูหน้าหนังแล้วมันก็คือหนังเรื่องหนึ่งที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับความรัก แต่เมื่อได้ชมเป็นที่เรียบร้อยต้องขอบอกเลยว่า "จงลืมหนังเรื่องอื่นไปวะ เพราะคุณจะหลงรักหนังเรื่องนี้แบบไม่ทันตั้งตัว"

เนื้อเรื่องย่อ ในภาพยนตร์โรแมนติกเบาสมองที่มาพร้อมความน่ารักไม่เหมือนใครกับเรื่องราวของ ความรักและโชคชะตาเรื่องนี้ หนุ่มนักเขียนคำในการ์ดอวยพร (โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์) เฝ้าตามหาหญิงสาวในฝัน? ของเขาอย่างแทบหมดหวัง และบางทีเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของเขาอย่าง ซัมเมอร์ ฟินน์ (โซอี้ เดสชาเนล) อาจเป็นเธอที่ใช่? ทว่า 500 วันของความสัมพันธ์ที่แหวกแนวกว่าใครๆ ก็ได้เผยถึงความจริงที่ว่า เส้นทางสู่ความสุขนั้นอาจเต็มไปด้วยสิ่งที่ยากจะคาดเดา ยากจะควบคุม และสนุกอย่างเหลือเชื่อซะจริงๆ



สิ่งที่น่าแปลกใจกับหนังเรื่องนี้คือหนังนำเสนอผ่านตัวละครหลักๆอยู่2คนแต่ตัวหนังกลับมีความน่าสนใจอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากที่การทำหนังเรื่องนึงจะเน้นไปจุดใดจุดหนึ่งอย่างตัวละครที่ทำให้ตัวหนังกลายเป็นจุดเด่นขึ้นมาทันที สิ่งที่ชอบคือ สไตล์การตัดต่อภาพที่เล่าเรื่องลำดับไป-มาแบบ 3-4-2-1 (ไม่ลำดับเวลา) ก็ทำให้ตัวหนังดูน่าสนใจมากขึ้น อีกอย่างก็คือมุมมองของภาพที่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงกับภาพที่เป็นการจำลองจินตนาการ ซึ่งถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างมาก นี่แหละเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ต่างจากหนังเรื่องอื่น/color]



อีกอย่างสิ่งที่อย่ามองข้ามไป คือ ตัวละครที่นำเสนอผ่านนักแสดงชาย/หญิงที่รับส่งกันได้อย่างน่าเชื่อถือและเป็นธรรมชาติมากๆ ซึ่งหากใครได้ดูแล้วคงจะรัก 2 คนนี้ได้ไม่ยาก แต่ใช่ว่าตัวบทหนังจะให้ความสำคัญแต่ตัวละครหลัก ตัวละครสมทบก็ใช่เล่น แม้จะมาน้อยแต่จิกกัดได้อย่างมีสีสันไม่แพ้ตัวละครหลักเลย



สิ่งที่ไม่ได้คาดหวังเลยก็คือ เพลงประกอบหนัง ที่บอกว่าทำได้อย่างมีคลาส อย่าง Here come your man,Sugar town ,You are make my dream come true เป็นต้น ที่แต่ละเพลงพอได้ฟังแล้วต้องขอบอกว่า สะดุดรักไปกับเพลงได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่หนังเน้นที่สุดคือเพลง  Sweet Deposition ที่เล่าเรื่องความรักที่อยู่ในจุดสูงสุด ที่แม้เพลงจะมาแบบผ่านๆแต่ก็ทำให้ติดอกติดใจอย่างแรง



เหมือนหนังจะเต็มไปด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่างที่ดี แต่บางช่วงอาจดูเนือยไปบ้างสำหรับตัวหนังรวมทั้งการจบในแบบฉบับหนังนั้นก็ทำให้หนังเาียศูนย์ไปเล็กน้อย เพราะผมคิดว่าน่าจะจบอีกแบบ แต่สิ่งที่ปรากฏออกมาก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่านี่มันเป็นแค่หนังรักธรรมดาเรื่องหนึ่ง



นี่เป็นหนังที่ทำออกมาได้อย่างถึงกึ๋นและมีรสนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้เข้าฉายในประเทศไทย แต่ก็มีดีวีดีมาให้เชยชม แม้จะเป็นไปตามสูตรสำเร็จเหมือนหนัง hollywood ทั่วๆไป แต่สิ่งที่หนังนำเสนอก็ช่วยยกระดับของหนังให้มีมาตรฐานมากขึ้น แม้พลอตจะเชย แต่การเล่าเรื่องไม่เคยเชยไปครับท่านผู้อ่านที่รัก

คะแนน บทภาพยนตร์        4.5 /5
        ตัวละคร/การแสดง    4.5 /5
        การดำเนินเรื่อง        4.25/5
        ความแปลกใหม่        4 /5
        ความน่าดู        4.5 /5
        รวม        21.75        A-