วันโลกแตก

19 พ.ค. 55 12:23 น. / ดู 769 ครั้ง / 8 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
เมื่ออุกกาบาตทำลายล้างโลก

ดิสคัฟเวอรี่ ไซแอน D71 ขอนำเสนอเรื่องราวสุดตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ กับภาพจริงและภาพจำลองของเหล่าดวงดาวที่โคจรอยู่ในจักรวาล และมีผลต่อความเป็นไปบนโลกของเรา พร้อมด้วยข้อมูลทางทฤษฎีอันน่าทึ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ ได้ศึกษาค้นคว้ากันมายาวนาน
คุณเชื่อหรือไม่ว่า ดาวเคราะห์หรือดาวหางสามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์ให้สูญสิ้น และสามารถทำลายโลกมนุษย์และมวลมนุษยชาติได้เช่นกัน หนึ่งในบรรดาชิ้นส่วนของน้ำแข็งหรือก้อนหิน ที่หลายคนเรียกว่า ''อุกกาบาต'' เหล่านี้ สามารถพุ่งชนโลกด้วยพลังมหาศาลเทียบเท่าได้กับระเบิดไฮโดรเจนนับล้านๆ ลูกทีเดียว
นักวิจัยเปิดเผยว่า แม้ว่าก้อนอุกกาบาตอาจจะล้างโลกยุคดึกดำบรรพ์ อย่างเช่นกวาดล้างไดโนเสาร์จนสิ้นไปจากโลก แต่มันก็จะช่วยสร้างชีวิตให้เกิดขึ้นบนโลกด้วยเหมือนกัน
คณะนักธรณีวิทยาได้ไปศึกษาวิจัยหลุมบ่อ ซึ่งเกิดจากก้อนอุกกาบาตที่มีชื่อว่า “ฮอร์ตัน” จนกลายเป็นดินแดนเขตอาร์ติกของแคนาดา สมัยเมื่อ 23 ล้านปีก่อน ได้พบว่ามันได้ก่อให้เกิดน้ำพุร้อนขึ้นตามหินที่แตกออก และสร้างสภาพแวดล้อม ซึ่งช่วยให้พวกจุลชีพรอดชีวิตสืบต่อมาได้
แรงกระแทกของอุกกาบาตเมื่อกระทบโลก อาจจะทำลายล้างไดโนเสาร์ ตามทฤษฎีความเชื่อบางเรื่องลง ด้วยก้อนลูกไฟยักษ์และกลุ่มเมฆฝุ่นละอองอันมืดฟ้ามัวดินก็ตาม “เกือบจะทุกคนลงความเห็นว่า แรงกระแทกแทบจะล้างโลกลงเกือบเกลี้ยง แต่เราอยากจะบอกให้รู้ว่า หลังจากการกระแทกแล้ว มันกลับเป็นว่าบริเวณนั้นได้กลายเป็นดินแดนอันสมบูรณ์ยิ่งกว่าแถบโดยรอบ นักธรณีวิทยาได้พบว่า มันทำให้พวกจุลชีพเข้าถึงบรรดาแร่ธาตุได้สะดวกยิ่งขึ้น”
นักธรณีวิทยากอร์ดอน โอสินสกี้ แห่งองค์การอวกาศแคนาดา เปิดเผยว่า ก้อนอุกกาบาตก้อนใหญ่ที่สุด เคยตกลงบนโลกเมื่อประมาณ 3,800,000,000 ปีมาแล้วนั้น ก็เกือบเป็นช่วงเวลาเดียวกับการเริ่มเกิดชีวิตขึ้นมาบนโลก.

ว่าด้วยเรื่อง วันโลกแตก
      ที่เค้าบอกว่า วันที่ 22 ธ.ค.52 แกนโลกจะเอียง พร้อมกับแกนดวงอาทิตย์ทำให้น้ำท่วมโลกฉับพลัน แล้วก็มีดาวฤกษ์ชื่อดาวนิบิรุ ซึ่งขนาดใหญ่กว่า
ดาวพฤหัสบดีถึง 3 เท่า โคจรมาชนโลกเราวันนั้นพอดี คือยังไงก็ต้องตาย
ลูกเดียว ถึงไม่ตายจากน้ำท่วม ก็ต้องตายเพราะดาวฤกษ์ชนโลก  ดิฉันอ่านแล้ว รู้สึกกลัวเหมือนกัน และรู้สึกว่าเวลาของมนุษย์บนโลกเราเหลือสั้นจังเลยแค่3 ปีเอง ท่านใด มีข้อมูลเรื่องแบบนี้จากที่อื่นบ้างหรือเปล่าคะ และรู้สึกยังไงกันบ้าง มันจะเกิดขึ้นจริงมั้ย และมีวิธีจัดการกับชีวิตที่เหลือยังไง ถ้าเป็นเรื่องจริง  สำหรับดิฉันถ้าเกิดต้องตายกันทั้งโลกจริง ๆ ก็ไม่กลัวแล้ว และคงต้องทำความดี ทำบุญไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงวันนั้น เผื่อมีชาติหน้า คงอีกหลายพันปี จะได้เกิดมามีชีวิตที่ดีค่ะ
เมื่อประมาณ 15 ปีก่อนหน้ามนุษย์เริ่มวางแผนที่จะไปสำรวจดาวอังคาร แล้วก็เริ่มส่งยานอวกาศ ออกไปสำรวจจนได้ข้อมูลเพียงพอ เพราะที่นั่น มันมีบรรยากาศใกล้เคียงกันกับโลก คือ มีอากาศเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาในทางร้ายกับร่างกายของมนุษย์ แล้วถ้ามีคาร์บอนไดออกไซด์ มีน้ำ มีแสงแดด ต้นไม้ก็จะโต เพราะต้นไม้จะเป็นตัวดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป เพื่อคายออกซิเจนออกมา ทำให้มีบรรยากาศใกล้เคียงกับโลก



      ดูจากหลักฐานที่เราได้มา จากก้อนหิน หรือจากการสำรวจ ทำให้เราพบว่า ครั้งหนึ่งในอดีต ดาวอังคารเคยถูกน้ำท่วม ถูกน้ำซัดผ่านบริเวณผิวขอบของดาว ก็แสดงว่า ที่นั่นต้องมีน้ำเยอะ แม้ว่าแสงแดดจะน้อยกว่าโลก จนทำให้อุณหภูมิลดลงถึง -35 องศาเซลเซียส แต่ก็ถือว่า มันมีบรรยากาศใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด.......แต่การที่มนุษย์ จะขึ้นไปอยู่บนดาวอังคารได้จริงๆ ก่อนอื่น คือ เราจะต้องสร้างเรือนกระจกครอบขึ้นมา เพื่อเข้าไปอยู่ในนั้น แล้วก็ต้องปลูกต้นไม้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดออกซิเจนหนาแน่นขึ้น มนุษย์ถึงจะอยู่ได้ เดินไปเดินมาได้ โดยไม่ต้องแบกถังออกซิเจน หรือสวมชุดมนุษย์อวกาศ ซึ่งต่างจากดาวดวงอื่น อย่างดวงจันทร์ ดาวเสาร์ หรือดาวพฤหัส เพราะบนนั้น ถึงจะมีน้ำอยู่บ้าง แต่ก็มีอุณหภูมิต่ำ จนอากาศหนาวมาก จนกลายเป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะอพยพไปอยู่บนนั้นได้
.....แล้วความจริง แผนการสำรวจดาวอังคารของนาซาก็เริ่มต้นโครงการนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว เพราะเขาคิดว่า ต่อไปประชากรบนโลกเราก็คงเพิ่มขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับโลกของเรา เพราะเมื่อจำนวนมนุษย์มากเกินไป อาหารการกินก็อาจจะไม่พอ น้ำก็ไม่พอ พลังงานก็ไม่พอ อะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง ก็จะไม่พอต่อความต้องการของมนุษย์ เพราะฉะนั้น การอพยพเอาพลเมืองโลกออกไปบ้าง มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ควรทำ และสามารถทำได้ ซึ่งการอพยพออกไปในครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ? หรือคนกลุ่มไหนโดยเฉพาะ ?
.....แต่แน่นอนว่า นอกจากการแสดงตัวในฐานะที่เป็นผู้นำแล้ว การขึ้นไปบนดาวอังคาร ยังหมายถึง การขยับขยายในเรื่องอุตสาหกรรมบนดาวอังคาร ซึ่งในหลายประเทศ ต่างก็มีความคิดวางแผนเกี่ยวกับตรงนี้เอาไว้แล้ว และก็อาจจะมีการตกลงแบ่งอาณาเขตกันเอาไว้ สำหรับประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า และมีศักยภาพเพียงพอ อย่าง อเมริกา หรือญี่ปุ่น เพราะว่าต่างฝ่ายก็คิดกันไว้ว่า ถ้าตัวเองไปถึงตรงนั้นได้ก่อน ก็จะมีสิทธิในการครอบครองได้ก่อน





....แต่การที่เขาไปสำรวจดาวอังคาร หรือการที่เตรียมจะอพยพคนออกไปจากโลก- นั่นก็ไม่ใช่หมายความว่า โลกกำลังจะแตกจริงอย่างที่เขาทำนายกัน เพียงแต่ว่า ขณะนี้โลกของเรา อาจกำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นผลมาจากมนุษย์ด้วยกัน เพราะว่าเราทำลายป่าไม้ เผาผลาญพลังงานมากเกินไป มันทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ แล้วก็เกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น จนน้ำแข็งขั้วโลกเริ่มละลาย ทำให้เกิดพายุใต้ฝุ่น พายุเฮอริเคน ซึ่งเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม



.....ผมดูจากสถานการณ์ จากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น จากภาวะเรือนกระจก ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น วิกฤตอันนี้ มันเกิดจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะเปลือกโลกมันลอยอยู่กับของเหลวข้างใน ซึ่งของเหลวข้างใน มันมีความร้อนสูง เปลือกของโลก มันก็เริ่มเคลื่อนไหวเพราะขาดสมดุล แล้วตัวน้ำทะเลที่มันสูงขึ้น ก็จะทำให้โลกข้างที่อยู่ทางมหาสมุทรแปซิฟิกมีน้ำหนักมากขึ้น จนโลกเริ่มจะแกว่ง





.......และแน่นอนว่า ถ้าระดับน้ำทะเลมันสูงขึ้น มันก็จะเกิดน้ำท่วมในหลายๆจุด แล้วถ้าลองคิดว่า น้ำทะเลมันขึ้นแค่ 2 เมตร กรุงเทพฯของเราก็คงไม่มีแล้ว เพราะกรุงเทพฯเราอยู่เหนือน้ำทะเลไม่ถึง 1 เมตร แล้วถ้าน้ำมันสูงระดับนั้นจริงๆ มันต้องท่วมเข้ามาในภาคกลางของประเทศไทย และบางประเทศ ก็อาจต้องสูญหายไป อย่างน้อยก็ประมาณเศษหนึ่งส่วนสามของหมู่เกาะแถบอันดามัน ก็อาจจะหายไปเลย





.......ผมคาดว่า อีก 12 ปี โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีการทำสงครามกัน เพราะส่วนหนึ่ง คือ ธรรมชาติ เริ่มรู้ในความไม่รู้จักพอของมนุษย์.....ซึ่งแต่ละศาสนา ก็เคยมีการทำนายเอาไว้แล้วว่า โลกของเรา จะต้องเกิดวิกฤต แต่การที่จะไปถึงจุดนั้นได้ มนุษย์เรา คงต้องโดนกระตุ้นจากธรรมชาติเสียก่อน อย่างกรณีของการเกิดคลื่นนามิขึ้น คนทั่วโลกก็เริ่มที่จะเข้าใจกัน ช่วยเหลือกัน เหมือนเป็นการอาศัยวิกฤต เพื่อเปลี่ยนแปลง แต่ผมคิดว่า มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่มนุษย์ จะต้องขอให้เกิดวิกฤตเสียก่อน ถึงจะเลิกทะเลาะกัน เลิกทำสงครามกัน.....เพราะตอนนี้ ผมคิดว่า เรามีเวลาอยู่บนโลกแค่เพียง 12 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงนักวิจัยเปิดเผยว่า แม้ว่าก้อนอุกกาบาตอาจจะล้างโลกยุคดึกดำบรรพ์ อย่างเช่นกวาดล้างไดโนเสาร์จนสิ้นไปจากโลก แต่มันก็จะช่วยสร้างชีวิตให้เกิดขึ้นบนโลกด้วยเหมือนกัน
คณะนักธรณีวิทยาได้ไปศึกษาวิจัยหลุมบ่อ ซึ่งเกิดจากก้อนอุกกาบาตที่มีชื่อว่า “ฮอร์ตัน” จนกลายเป็นดินแดนเขตอาร์ติกของแคนาดา สมัยเมื่อ 23 ล้านปีก่อน ได้พบว่ามันได้ก่อให้เกิดน้ำพุร้อนขึ้นตามหินที่แตกออก และสร้างสภาพแวดล้อม ซึ่งช่วยให้พวกจุลชีพรอดชีวิตสืบต่อมาได้
แรงกระแทกของอุกกาบาตเมื่อกระทบโลก อาจจะทำลายล้างไดโนเสาร์ ตามทฤษฎีความเชื่อบางเรื่องลง ด้วยก้อนลูกไฟยักษ์และกลุ่มเมฆฝุ่นละอองอันมืดฟ้ามัวดินก็ตาม “เกือบจะทุกคนลงความเห็นว่า แรงกระแทกแทบจะล้างโลกลงเกือบเกลี้ยง แต่เราอยากจะบอกให้รู้ว่า หลังจากการกระแทกแล้ว มันกลับเป็นว่าบริเวณนั้นได้กลายเป็นดินแดนอันสมบูรณ์ยิ่งกว่าแถบโดยรอบ นักธรณีวิทยาได้พบว่า มันทำให้พวกจุลชีพเข้าถึงบรรดาแร่ธาตุได้สะดวกยิ่งขึ้น”
10อันดับหายนะทำลายล้างโลก


ในทศวรรษที่ผ่านมามี เหตุการณ์ร้ายๆ มากมายที่เกิดขึ้นกับโลกทั้ง ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ อย่างเช่น
แผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ คร่าชีวิตมนุษย์หลายแสนคนในเอเชีย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ด้วยฝีมือของมนุษย์อย่างการก่อการร้ายด้วยการจี้เครื่องบินโดยสารพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดในนิวยอร์ก
ส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์หลายพันคนเสียชีวิต

วันสิ้นโลก
โลกจะอวสานอย่างไร บ้างเชื่อว่าโลกจะถึงกาลอวสานแบบไม่ทันตั้งตัว บ้างทำนายว่าชีวิตบนโลกจะ
ตายอย่างช้าๆ ขณะที่พวกมองโลกแง่ดีหน่อยเชื่อว่า ถึงอย่างไรก็คงหาทางเอาชนะปัญหาได้โดย
วิวัฒนาการไปสู่สายพันธุ์อื่นๆ
ถ้าเป็นเช่นนั้น ภัยร้ายแรงที่สุดที่คุกคามมนุษยชาติคืออะไร แล้วเราจะรับมือได้หรือไม่ ต่อไปนี้เป็นการ
สอบถามความคิดเห็นของ 10 นักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอันตรายที่น่ากลัวที่สุดเขาคิดว่าจะเกิดขึ้นกับโลก
และสังคมจะได้รับผลกระทบอย่างไร ต่อมาจะเป็นการประเมินภัยคุกคามเป็นสองแนวทาง

อันดับแรกเป็นโอกาสที่จะเกิดภัยคุกคามในช่วงอายุขัยของเรา (ในช่วง 70 ปีข้างหน้า) และประการที่สอง
เป็นระดับอันตรายที่จะมีผลต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์หากเกิดหายนะภัยขึ้นมา (คะแนนเต็ม 10 หมายถึงระดับที่
ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ ลงมาจนถึงระดับ 1 หมายถึงแทบจะไม่มีผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์เลย


10. โลกจะถูกหลุมดำดูด

ริชาร์ด วิลสัน ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์จากศูนย์วิจัยมัลลินก์ครอดต์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า ประมาณ 7 ปีก่อน ห้องปฏิบัติการแห่งชาติ
บรูคเฮฟเวนในนิวยอร์กได้สร้างเครื่องชนไอออนหนักที่เรียกว่า Relativistic Heavy Ion Collider ขึ้นมาเนื่องจากมีความกังวลว่า สสารที่มี
ความหนาแน่นอาจก่อรูปขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในสมัยนั้นจัดว่าเป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างขึ้นมา

เพื่อให้ไอออนทองคำชนกันด้วยแรงมหาศาล ซึ่งอาจทำให้เกิดความหนาแน่นพอที่จะทำให้เกิดหลุมดำขึ้นมาได้จากพลังที่ดูดสสารข้างนอก
ห้องแล็บบรูคทำให้เกิดความหวั่นเกรงว่า เครื่องเร่งปฏิกิริยาตัวใหม่นี้จะทำให้เกิดหลุมดำขึ้นและทำให้โลกอวสานได้หรือไม่

"เมื่อดูจากข้อมูลที่เราได้ศึกษาจากหลุมดำที่อยู่นอกอวกาศ เราได้ทำการคำนวณเพื่อศึกษาว่าเครื่องเร่งอนุภาคของบรูคเฮฟเวนจะสามารถทำให้เกิด
หลุมดำได้หรือไม่ ซึ่งเราค่อนข้างแน่ใจว่า การทดลองในห้องแล็บจะไม่ทำให้เกิดหลุมดำ และโลกจะไม่ถูกกลืนหายไปจากการชนของอนุภาคเหล่านี้

- โอกาสที่โลกจะถูกหลุมดำกลืนใน 70 ปีข้างหน้า : เป็นไปได้น้อยอย่างยิ่ง

- ระดับอันตราย : 10


9. ภูเขาไฟระเบิด

ศาสตราจารย์ บิล แมคกุยรี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติเบนฟิลด์จากมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน และยังเป็นสมาชิกคณะทำงาน
ศึก
ษาภัยธรรมชาติของโทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ พูดถึงเรื่องนี้ว่า "โดยเฉลี่ยแล้วทุก 50,000 ปี โลกจะเกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง
ซึ่งจะส่งเถ้าถ่านภูเขาไฟที่ถูกพ่นออกมาจะปกคลุมพื้นที่ราว 1,000 ตารางกิโลเมตร ทวีปที่อยู่ใกล้เคียง จะเต็มไปด้วยเถ้าถ่าน และก๊าซซัลเฟอร์จะ
ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นม่านกรดซัลฟูริกคลุมรอบโลก ทำให้แสง
แดดไม่สามารถส่องลงมายังพื้นโลกได้ กลางวันจะดูไม่ต่างไปจากกลางคืนวันเพ็ญ

ทว่าความเสียหายครั้งสำคัญจากภูเขาไฟระเบิดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ คือภูเขาไฟ โทบา บนเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย เมื่อ 74,000 ปีก่อน
เนื่องจากเกิดระเบิดใกล้กับเส้นศูนย์สูตรทำให้ก๊าซกระจายไปยังซีกโลกเหนือและใต้อย่างรวดเร็ว เมื่อศึกษาแกนน้ำแข็งทำให้รู้ว่า เหตุการณ์
ครั้งนั้นส่งผลให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว 5-6 ปีหลังจากนั้น โดยพื้นที่แถบเส้นทรอปิคมีสภาพเย็นเป็นน้ำแข็ง
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | /-มารูโกะหหหห.*#) | 19 พ.ค. 55 12:42 น.

ยาวได้อีก 

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | SP_ | 19 พ.ค. 55 12:46 น.

คุณก็รู้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วคนไทยอ่านหนังสือแปดบรรทัด

มันยาวไปนะ 555555555

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | บารม์ | 19 พ.ค. 55 12:56 น.

ไม่อ่านจ้ะ /กดกากบาทด้านขวาบน

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | ;K99xxx | 19 พ.ค. 55 13:04 น.

ยาวจัง 








ข้อความสั้นเกินไป (ช่อง ความคิดเห็น)

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | .mngx | 19 พ.ค. 55 15:59 น.

เลื่อนลงมาอ่านคอมเม้นท์แล้วกดปิดไป

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | .yui_ | 19 พ.ค. 55 16:22 น.

ยาวไปไม่อ่าน  /กำ #โดนจขกม.ตบ 

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | น.ส.เอนามสมมติ | 19 พ.ค. 55 19:08 น.

หลุมดำ คืออะไร ??

ไอพี: ไม่แสดง

#8 | หนูรัก`ดวงจันทร์ | 20 พ.ค. 55 16:01 น.

อ่านนะ..แต่ว่าอะไรก็ไม่แน่นอนหรอก
ทำนายกัยหลายคน ถ้าจะให้เชื่อทุกคน
ก็ประสาทกินพอดี 555555555

อ่านพอรู้ แต่ว่ายาวมากเลย ฮ่าๆ 

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google