[REVIEW] "ฤดูที่ฉันเหงา" เมื่อร่มหักท่ามกลางสายฝน

9 พ.ค. 56 23:16 น. / ดู 3,121 ครั้ง / 4 ความเห็น / 0 ชอบจัง / แชร์
ฤดูที่ฉันเหงา : D
"★"

ภาพยนตร์ลำดับที่สองของผู้กำกับอย่าง แดน วรเวช ดานุวงศ์ ที่มาในโทนของภาพยนตร์หม่น เหงาๆในเรื่องราวของการตามหาความรัก ภาพยนตร์ไม่สามารถสร้างความน่าสนใจ หรือเพิ่มเติมสิ่งแปลกใหม่เข้ามาในเรื่องราวได้อย่างที่ควรจะเป็น และไม่สามารถเทียบได้กับการกำกับในผลงานไฟแรงเรื่องแรกอย่าง คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันอาทิตย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามสร้างคาแร็คเตอร์ของตัวละครต่างๆให้แตกต่างกันออกไป และโยงด้วยเส้นเรื่องราวของตัวละครบุคคลที่ผ่านเข้ามาในสองส่วนของเรื่องราวในพื้นที่เดียวกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจเหมาะสมกับผู้หญิงที่ต้องมีสภาวะของการมโนทัศน์ในเรื่องผู้ชายในฝันที่มากๆหน่อยถึงจะทำให้เธอเหล่านั้นเข้าถึงถึงความโรแมนติกแบบมากล้นได้ เพราะไม่อย่างนั้น ความโรแมนติกหลายๆฉากเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นสภาวะของการเบื่อหน่าย หรือสภาวะที่เหมาะสมแก่การนอนหลับได้ไม่ยากเย็นเท่าไรนัก
เล่าเรื่องราวของฤดูของคนเหงาๆทางความรักของคนทั้งสามคนคือ หนุ่มนักดนตรีขี้เหงา , คุุง และ ช่างตัดผมเดซี่ ผ่านเรื่องราวในฤดูที่ฝนตกลงมากับการค้นหาความหมายของคำว่ารัก ในช่วงของการเข้ามาของผู้หญิงที่พบครั้งแรกนั่นก็รู้เลยว่าคนที่ใช้ นารา หญิงสาววัยเรียนหน้าละอ่อนที่บังเอิญผ่านมาเจอกับคุงที่ร้านแห่งหนึ่ง และนั้นทำให้คุงทุ่มเทหมดทั้งหัวใจ และพยายามทุกวิถีทางในการที่จะทำให้เธอได้รู้ถึงหัวใจของเขา ในขณะที่ นารา เองก็เฝ้าคอยหาความอบอุ่นให้กับหัวใจของเธอ ซึ่งขญะนี้ตกหลุมรักกับเดซี่(โทนี่ รากแก่น) ขณะเดียวกัน แจน(แป้งโกะ) หญิงสาวที่พึ่งอหักจากความรัก ก็เข้ามาตัดผมในร้านของเดซี่ และนั้นเองทำให้เดซี่ได้รู้ว่าเธอจะเป็นรักครั้งสุดท้ายของเขา เขาเชื่อเสมอว่าเมื่อฝนตก ยังไงฝนก็ต้องหยุดตก ในอีกฝั่งหนึ่งหนุ่มนักดนตรีขี้เหงาก็เล่นดนตรีเสมอเมื่อฝนตก และเผ้าคอยหาคนที่ผ่านมาแล้วเค้าจะไม่ผ่านไป และจะสามารถเข้าใจ และเป็นทำนองเดียวกับเพลงของเขาได้ เมื่อคนหลายคนอยู่ท่ามกลางฤดูที่ฉันเหงา เขาและเธอจะต้องหาที่อบอุ่นซักที่ไว้คลายเหงา

นี่อาจยังเร็วเกินไปสำหรับภาพยนตร์เรื่องที่สองของแดนก็เป็นได้ ด้วยความสดใหม่ในหนังมันไม่สามารถสร้างออกมาได้ในแบบที่ควรจะเป็นจริงๆ บทภาพยนตรไม่ได้มีความแปลกใหม่ซักเท่าใด ยังคงวนเวียนอยู่ในเรื่องราวความรักในแบบที่เป็นปกติดังเช่นหนังเรื่องอื่นๆ แถมไลน์ในการเล่าเรื่องก็ดูจะแสนธรรมดา และไม่น่าสนใจซักเท่าไหร่ อีกทั้งเชื่อว่าหลายๆคนที่ดูแล้วจะสามารถเดาเรื่องในแทบทุกตอน และตอนจบได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว การสร้างเรื่องราวในเรื่องของลายเส้นการเล่าเรื่องยังคงดูเรียบง่ายและไม่น่าสนใจ สเต็ปการเดินของหนังขาดความน่าสนใจในเรื่องของน้ำหนักทางการเล่าเรื่องอยู่มาก อีกทั้งหนังยังพยายามใส่รายละเอียดยิบย่อย หรือฉากเล็กๆน้อยๆที่แทบไม่ได้ส่งผลต่อตัวหนังมากนัก แต่ประเด็นเหล่านี้กลับถูกถ่างออกให้กว้างมากขึ้น เลยทำให้หนังหมดความน่าสนใจไปอย่างไม่น่าให้อภัย อีกทั้งยังไปลดทอนฉากที่ควรจะสามารถพีค และเข้าถึงอารมณ์ได้ให้ลดลงไปอย่างน่าเสียดายอีก

หนังค่อนข้างมีปัญหากับเรื่องของเวลา และจังหวะค่อนข้างมาก จะเห็นได้ว่าในหลายๆช่วงของตัวหนัง หนังกลับเลือกใส่คำพูด หรือ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจ เช่น ประโยคเด็ดๆ หรือคำตลก ต่างๆไม่ถูกจังหวะถูกเวลาทำให้สิ่งที่ใส่เข้ามาตรงนั้นดูเหมือนจะเป็นส่วนเกินของหนังอย่างจงใจ ทำให้ดูเหมือนเป็นเพียงเสียงน๊อยซ์ที่เข้ามากวนในฉากนั้นเท่านั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ส่งผลลัพธ์ของมันออกมาได้เต็มที่ แถมยังไปดึงความสนใจจากไลน์หลักของเรื่องให้ลดลงไปอีก ซึ่งคนดูต้องเพิ่มการแบ่งสมาธิมายังส่วนนี้มากขึ้นนั่นเอง และสิ่งที่สังเกตุได้ชัดเจนในเรื่องราวของเวลาคือ หนังพยายามขยายบางช่วงเวลาที่มากจนเกินไป เลยทำให้หนังดูยืดยานออก ทั้งส่วนที่เป็นในเรื่องราวของฉากโรแมนติก รวมไปถึงเมโลดราม่าต่างๆ รวมไปถึงฉากที่เล่นขนานไปกับสกอร์ และเพลงของหนังด้วยเช่นกัน ด้วยฉากนี้ที่มากจนเกินความพอดี ทำให้ความน่าเบื่อเกิดขึ้นกับตัวหนัง และละลายความน่าสนใจออกไปอย่างไม่น่าให้อภัย และมีบางฉากที่สามารถทิ้งอารมณ์ให้กินใจได้มากกว่านี้กลับตัดเร็วจนเกินไป ทำให้ทั้งการตัดสั้นไปและเร็วไปนี้ไปลดทอนอารมณ์ที่น่าจะเข้าถึงได้มากกว่านี้ลงไปอย่างน่าเสียดาย

ด้วยจังหวะ และเสต็ปที่เดินแบบผิดพลาด และเส้นเรื่องที่ดูเรียบง่ายไม่น่าจดจำ แต่หนังกลับพยายามเหลือเกินที่จะทำให้มันดูมีอะไรขึ้นมา ด้วยการใส่ความเยอะเข้ามาในภาพยนตร์อย่างจงใจ หนังพยายาม ดีไซน์มุขตลก หรือคำพูดเด็ดๆ อย่างที่บอกว่าผิดเวลา และจังหวะในตอนแรก หนังพยายามใส่สิ่งเหล่านี้มามากเกินไป และเรื่องราวปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆที่ไม่ได้สำคัญกับตัวเรื่องมากมายนัก หนังก็พยายามใส่เข้ามา ดูเหมือนหนังจะไม่ได้ถูกปรับให้เหมาะสมกับการเป็นภาพยนตร์เสียเท่าไหร่ แต่หนังกลับกลายเป็นที่กองเทรวมอารมณ์ติสท์ๆที่อยากใส่เข้ามาของผู้กำกับอย่างแดนซะงั้น ทำให้หนังเต็มไปด้วยอะไรมากมายจากแนวความคิดของแดน แต่มันกลับไม่ถูกลับอย่างคม หรือบาลานซ์ได้อย่างเหมาะสมเสียเท่าไหร่ หนังจึงดูลุ่มๆดอนๆ ขึ้นๆลงๆเป็นช่วงๆ และไม่มีแรงดึงดูดให้น่าสนใจได้ตลอดทั้งเรื่อง เรียกได้ว่าอาศัยการกระทำของตัวละครเด็ดๆเข้ามาเพื่อดึงคนดูเข้าหาได้เท่านั้นเองจริงๆ

การสร้างคาแร็คเตอร์ของตัวละครดูเหมือนจะพยายามสร้างความแตกต่างที่หลากหลายของรูปแบบความเหงาของตัวละคร แต่กลายเป็นว่าตัวละครแต่ล่ะตัวกลับดูเป็นตัวละครที่ไม่ออกมาสมบูรณ์แบบนัก แถมการเชื่อมเรื่องด้วยตัวละครแต่ล่ะตัวดูมีรอยโหว่ค่อนข้างมากทีเดียว ตัวละครที่เอาไว้ชูโรงของเรื่องอย่าง "คุง" นั้น ดูเหมือนหนังจะพยายามสื่อในคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนในสภาวะอารมณ์ที่ค่อนข้างปัญญาอ่อนของตัวละครออกมาแบบชัดเจน ซึ่งกำลังสะท้อนถึงความตั้งใจของตัวละครที่ถึงแม้คนจะมองว่าโง่ มองว่าปัญญาอ่อน แต่การที่ทำเพื่อความรักมันไม่มีคำว่าปัญญาอ่อนหรือโง่ แม้แต่คนที่ดูไม่มีอะไร แต่กลับทำให้ตัวเองดูมีแะไรมากขึ้นเมื่อต้องการทำอะไรเพื่อหัวใจของใครคนหนึ่ง แต่หนสุดท้ายหนังก็ประสบกับความล้มเหลวของการสร้างตัวละครแทบทั้งหมด หนังไม่สามารถเข้าไปสำรวจจิตใจเบื้องลึกของตัวละครได้เสียเลย หนังเพียงแต่โชว์แอคชั่นเหงาๆ และโง่ๆของตัวละครได้เพียงเท่านั้นจริงๆ

สิ่งที่น่าชื่นชมคือ ความเข้ากันทางเคมีของตัวละครแต่ล่ะคนที่สามารถผสมออกมาได้น่าสนใจ ถึงแม้ว่าการแสดงของตัวละครแต่ล่ะตัวนั้นจะไม่สามารถสร้างความยอดเยี่ยมได้นัก แต่การเข้ากันทางเคมีค่อนข้างสูงจริงๆ นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจคือ เรื่องราวของการสร้างสกอร์ การเลือกใช้ทั้งสกอร์และเพลง สามารถส่งอารมณ์และเข้ากับหนังได้ค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าจะดูมากจนดูล้นจนเกินพอดีไปก็ตาม แต่การเลือกใช้ถือว่าดี แต่น่าจะเป็นปัญหาของเรื่องจังหวะ และเวลา บางครั้งการใส่เข้ามา บวกก็บภาพในลักษณะที่เราเห็นได้บ่อยๆทางมิวสิควิดีโอ ก็ทำให้หนังดูหลุดโลกออกไปมากขึ้นทุกๆที

หนังใช้คำว่าฤดูที่ฉันเหงา และแน่นอนว่ามันจะต้องมาคู่กับสายฝน แต่เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้ใช้ประโยชน์จากสายฝนได้ค่อนข้างต่ำมาก ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างมาก แต่มีฉากที่น่าชื่นชมอยู่บ้างคือฉากที่ใช้ร่มสีชมพูหักๆในการสร้างเรื่องราวความไม่สมประกอบของความรักออกมาผ่านทางสัญลักษณ์ และสายฝนได้อย่างน่าพอใจ แต่เมื่อสรุปโดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าผิดหวังและไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก แต่ถ้าใครเป็นแฟนนักแสดง ก็อาจจะชอบหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้

PAGE คับ : https://www.facebook.com/SMBawards
เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | คุริกิโกะกู้ว | 10 พ.ค. 56 00:13 น.

พึ่งไปดูมา บอกเลยว่า "ไม่ผ่าน"
ไปดูรอบค่ำมา นั่งไปจะหลับไป รู้สึกไม่คุ้มกับค่าตั๋วหนังอย่างแรง
ไอบทซึ้งเราดูก็ยังจะเฉยๆ ไอบทเศร้าก็ไม่เห็นจะเศร้าเลย
ทั้งๆที่เราเป็นคนอินกับหนังง่ายมาก แต่เรื่องนี้ไม่ผ่านเลย พูดจากใจ 

#ดิทแก้คำ

แก้ไขล่าสุด 10 พ.ค. 56 00:17 | ไอพี: ไม่แสดง

#2 | `;$-แม่สิบเอ็ดโมง.* | 10 พ.ค. 56 02:14 น.

เหมือนความคิดเห็น 1 อ่ะ  เราดูแค่ตัวอย่างก็ไม่อยากดูละอ่ะจริง 

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | Quckkkk. | 11 พ.ค. 56 00:13 น.

ตาม คห.1 เหมือนกัน   
เราไปดูมาเมื่อวานนี้ ขอบอกว่าเนื้อเรื่องเอื่อยเฉื่อย งง อารมณ์ไม่ได้  ตอนแรกเราไปดูเพราะเพื่อนเลี้ยง  แต่พอดูไปดูมาเกือบหลับคาเบาะ  ตอนจบก็ยังงงๆอีก เอ่อ....
อันนี้ต้องไปดูเอง เรื่องนี้อาจจะสนุกสำหรับใครหลายคนนะแต่สำหรับเรา " ไม่เลย "

ไอพี: ไม่แสดง

#4 | โดรา-จัง | 14 พ.ค. 56 00:52 น.

จขกท. ฝากแก้จาก คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันอาทิตย์ เป็น คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ นะ

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google