Edge of Tomorrow ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz
6 มิ.ย. 57 00:52 น. /
ดู 1,508 ครั้ง /
3 ความเห็น /
1 ชอบจัง
/
แชร์
Edge of Tomorrow ( 2014 ) Movie Review by FallsDownz
อ่านบทวิจารณ์เก่าๆ และติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆทั้งวงการเกมและภาพยนตร์ได้ที่นี้ครับผม http://fallsdownz.blogspot.com/
ภาพยนตร์ แอ็คชั่น / ไซไฟ ที่มีสไตล์การเล่าเรื่องกับฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม แต่ขาดความเป็น "มนุษย์" อย่างสิ้นเชิง
Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์แนว แอ็คชั่น / ไซไฟ ของค่าย Warner Bros. ที่มีต้นฉบับมาจากหนังสือนวนิยายของประเทศญี่ปุ่นในชื่อ " All You Need Is Kill " ซึ่งต้องขอเริ่มบทวิจารณ์จากการบอกก่อนเลยว่า ผู้เขียนไม่เคยอ่านตัวหนังสือนวนิยายมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นบทวิจารณ์ชิ้นนี้ จะไม่มีการเปรียบเทียบระหว่างตัวนิยายกับตัวภาพยนตร์แต่อย่างใด แต่จะเป็นบทวิจารณ์ที่มาจากประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนๆ
ภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow ว่าด้วยเรื่องราวของเคจ ที่ถูกส่งไปรบในสนามรบ หลังจากที่เขาลงไปในสนามรบได้เพียง 5 นาทีเขาก็ถูกฆ่า แต่แทนที่เขาจะตาย เขากลับพบว่าตัวเองจะตื่นขึ้นมาในวันก่อนหน้าที่เขาจะถูกส่งไปรบเสมอๆ วนเวียนไปเช่นนี้เรื่อยไป จึงทำให้เขากลายเป็นกุญแจหลักสำคัญในการเอาชนะสงครามที่ดูจะสิ้นหวังครั้งนี้
" เกิด ตาย วนเวียน " คำโปรยนี้ของตัวภาพยนตร์ Edge of Tomorrow ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่อธิบายตัวมันเองได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะถ้าหากมองแต่เพียงบทภาพยนตร์หลักลำพังอย่างเดียวของมันนั้น Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์ที่แทบจะไม่มีอะไรใหม่เลย แต่ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์ใส่เรื่องราวของการ "วนเวียน" ตายแล้วเกิดใหม่ ตายแล้วเกิดใหม่ เช่นนี้เข้าไป มันทำให้การเล่าเรื่องของ Edge of Tomorrow โดดเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มันทำให้เราคอยลุ้นอยู่ตลอดเวลา ว่าพระเอกอย่าง ทอม ครูซ จะฝ่าฟันอุปสรรคข้างหน้าไปได้อย่างไร
นอกจากนั้นแล้ว การที่มันนำสไตล์การเล่าเรื่องเช่นนี้เข้ามาผสมผสานกับตัวบทภาพยนตร์ มันเป็นการอุดรูรั่ว ช่องโหว่ และช่องว่างที่ไร้เหตุผลในบางจุดของภาพยนตร์แนวนี้ส่วนใหญ่ได้อย่างแนบเนียน และขยายขอบเขต ความกว้างที่ตัวภาพยนตร์จะไปได้มากขึ้นไปอีก เช่นถ้าหากเป็นภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ การที่ตัวเอกรู้ทุกอย่างว่าศัตรูจะมาจากทางไหน ก้าวต่อไปควรจะทำอย่างไร และฉลาดเหนือมนุษย์เช่นนี้ มันคงจะสร้างความไม่สมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย แต่ในภาพยนตร์ Edge of Tomorrow เราทราบดีว่า ที่พระเอกรู้เช่นนี้ ก็เพราะเขาเคยมาในเหตุการณ์นี้มาก่อนแล้วนั้นเอง เขาจึงรู้ว่าศัตรูจะมาจากทางไหน กี่ตัว และก้าวต่อไปควรจะทำอย่างไร ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็เล่นกับจุดนี้ได้เป็นอย่างดี และยอดเยี่ยม
ต้องขอชมผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน ที่กำกับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะในด้านของการเล่าเรื่อง การดำเนินเรื่องที่น่าติดตาม , การกำกับฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม สนุก ตื่นเต้น และการวางมุมกล้อง ความเคลื่อนไหวของกล้องที่ยอดเยี่ยมของเขา อีกทั้งยังแอบแฝงความเป็นตลกขบขัน และ โรแมนติกเข้าไปเพิ่มสีสันให้กับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เป็นผลทำให้ Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์ที่สนุก และบันเทิงอยู่พอสมควรในทุกๆช่วงเวลาของภาพยนตร์ จากการกำกับที่ยอดเยี่ยมของเขา
อีกส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่น่าชื่นชมไม่น้อยเลยก็คือ ทีมนักแสดงหลักของตัวภาพยนตร์เอง ซึ่งจะเห็นได้ชัดเลยว่า ทุกคนพยายามที่จะเติมแต่งและสร้างมิติต่างๆให้กับตัวละครในภาพยนตร์ จากการแสดงที่ยอดเยี่ยมในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น พี่ทอม ครูซ หรือ เอมิลี บลันต์ แต่ถ้าถามผู้เขียนแล้วล่ะก็ นักแสดงที่ถูกใจผู้เขียนมากที่สุดก็ต้องยกเต็มๆให้กับ บิล แพกซ์ตัน ที่ยังคงแสดงบทบาทตัวร้ายได้อย่างแสบสัน และถูกใจเช่นเคย
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตัวภาพยนตร์ Edge of Tomorrow เอง ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปอยู่เช่นกัน และสิ่งเหล่านี้มันก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คอยบดบัง และขัดแข้งขัดขาจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างน่าเสียดาย
อย่างแรกเลยก็คือ บทภาพยนตร์เพียวๆ ที่ถ้าหากตัดสไตล์การเล่าเรื่องชนิดวนลูปไปทั้งหมด ตัวภาพยนตร์นั้นแทบจะไม่เหลืออะไรที่น่าสนใจอีกเลย เพราะบทเพียวๆของมันนั้น เต็มไปด้วยความซ้ำซากจำเจ จากจุด A ไปจุด B กับตัวละครที่ตัดแปะมาจากแม่แบบ ไม่ต่างจากภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องอื่นๆ แม้แต่ในส่วนของการให้เหตุผลในจุดของการวนเวียน ตายแล้วเกิดใหม่ของภาพยนตร์เอง ก็ยังให้แบบผิวเผิน และไม่ลึกพอ ยังคงค้างคาคำถามเอาไว้อยู่พอตัว และที่สำคัญเหตุเกิดของมัน ก็ช่างง่ายดายและสะดวกสบายจนเกินไป
จุดต่อมาก็คือ "ตัวละคร"เพียวๆไม่นับการแสดงของนักแสดงในภาพยนตร์ ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดที่อ่อนแอและเสียหายร้ายแรงที่สุดของ Edge of Tomorrow เลยก็ว่าได้ จากการที่ตัวผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน มัวแต่วุ่นอยู่กับการเล่าเรื่องชนิดวนลูป จนทำให้เขาลืมไปว่ายังมีตัวละครที่จะต้องเล่า และปูเรื่องราวอยู่อีก เพราะเวลาในภาพยนตร์ที่ให้กับการปูเรื่องราว ความสัมพันธ์ ทัศนะคติ และบุคลิกของตัวละครเหล่านี้มันช่างน้อยเหลือเกิน จนทำให้ตัวละครเหล่านี้ไม่น่าสนใจ และน่าเห็นใจเท่าที่ควร ที่สำคัญเลยก็คือ ตัวละครเหล่านี้มันก็ช่างจะสุดแสนซ้ำซาก จำเจ Cliche สุดขีด เป็นตัวละครที่คุณจะเห็นได้ในภาพยนตร์แอ็คชั่นแทบจะทุกเรื่อง ซึ่งจุดนี้ก็ยิ่งซ้ำเติมความล้มเหลวของตัวละครในภาพยนตร์เข้าไปอีก
ในเมื่อตัวละคร ในภาพยนตร์ของคุณทำออกมาได้อย่างไม่น่าประทับใจ และไม่น่าสนใจเท่าไรนัก ผลที่ตามมาอีกส่วนเหมือนกรรมตามสนองก็คือ อารมณ์ร่วมในหลายๆส่วนของภาพยนตร์ที่ขาดหายไป ในบางฉากของภาพยนตร์ที่เราควรจะเห็นใจ เอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้ ผู้เขียนกลับไม่ได้รู้สึกอยากที่จะเอาใจช่วยหรือเห็นใจตัวละครเหล่านี้อย่างที่ตัวภาพยนตร์หรือผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน อยากที่จะให้เป็นเลย ซึ่งเป็นผลมาจากการปูเรื่องตัวละครที่แย่และล้มเหลวของภาพยนตร์
เมื่อนำทุกๆส่วนมารวมกันก็เป็นผลซึ่งนำไปสู่บทสรุปในท้ายที่สุดว่า ภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow ก็เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่น / ไซไฟ ที่บันเทิงและตื่นเต้นอยู่พอตัว จากการกำกับที่ยอดเยี่ยมของ ดั๊ก ไลแมน และทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่ว่าหลังจากที่ภาพยนตร์จบลงแล้ว ทุกๆอย่างมันก็ดูเหมือนจะจบลงไปพร้อมๆกับความสนุกนั้นเช่นเดียวกัน ไม่เหลืออะไรที่น่าจดจำและความทรงจำกับมันอีก มันน่าเห็นใจไม่น้อยที่ตัวภาพยนตร์พยายามที่จะทำตัวให้ดูเหมือนฉลาด แต่เมื่อเราเอามันมาจับชำแหละและวิเคราะห์เข้าจริงๆแล้ว มันกลับไม่ได้ "ฉลาด" อย่างที่ตัวมันคิดว่ามันเป็นซักเท่าไรนัก
Final Score : [ B ]
อ่านบทวิจารณ์เก่าๆ และติดตามบทวิจารณ์ใหม่ๆทั้งวงการเกมและภาพยนตร์ได้ที่นี้ครับผม http://fallsdownz.blogspot.com/
ภาพยนตร์ แอ็คชั่น / ไซไฟ ที่มีสไตล์การเล่าเรื่องกับฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม แต่ขาดความเป็น "มนุษย์" อย่างสิ้นเชิง
Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์แนว แอ็คชั่น / ไซไฟ ของค่าย Warner Bros. ที่มีต้นฉบับมาจากหนังสือนวนิยายของประเทศญี่ปุ่นในชื่อ " All You Need Is Kill " ซึ่งต้องขอเริ่มบทวิจารณ์จากการบอกก่อนเลยว่า ผู้เขียนไม่เคยอ่านตัวหนังสือนวนิยายมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นบทวิจารณ์ชิ้นนี้ จะไม่มีการเปรียบเทียบระหว่างตัวนิยายกับตัวภาพยนตร์แต่อย่างใด แต่จะเป็นบทวิจารณ์ที่มาจากประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนๆ
ภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow ว่าด้วยเรื่องราวของเคจ ที่ถูกส่งไปรบในสนามรบ หลังจากที่เขาลงไปในสนามรบได้เพียง 5 นาทีเขาก็ถูกฆ่า แต่แทนที่เขาจะตาย เขากลับพบว่าตัวเองจะตื่นขึ้นมาในวันก่อนหน้าที่เขาจะถูกส่งไปรบเสมอๆ วนเวียนไปเช่นนี้เรื่อยไป จึงทำให้เขากลายเป็นกุญแจหลักสำคัญในการเอาชนะสงครามที่ดูจะสิ้นหวังครั้งนี้
" เกิด ตาย วนเวียน " คำโปรยนี้ของตัวภาพยนตร์ Edge of Tomorrow ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่อธิบายตัวมันเองได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะถ้าหากมองแต่เพียงบทภาพยนตร์หลักลำพังอย่างเดียวของมันนั้น Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์ที่แทบจะไม่มีอะไรใหม่เลย แต่ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์ใส่เรื่องราวของการ "วนเวียน" ตายแล้วเกิดใหม่ ตายแล้วเกิดใหม่ เช่นนี้เข้าไป มันทำให้การเล่าเรื่องของ Edge of Tomorrow โดดเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มันทำให้เราคอยลุ้นอยู่ตลอดเวลา ว่าพระเอกอย่าง ทอม ครูซ จะฝ่าฟันอุปสรรคข้างหน้าไปได้อย่างไร
นอกจากนั้นแล้ว การที่มันนำสไตล์การเล่าเรื่องเช่นนี้เข้ามาผสมผสานกับตัวบทภาพยนตร์ มันเป็นการอุดรูรั่ว ช่องโหว่ และช่องว่างที่ไร้เหตุผลในบางจุดของภาพยนตร์แนวนี้ส่วนใหญ่ได้อย่างแนบเนียน และขยายขอบเขต ความกว้างที่ตัวภาพยนตร์จะไปได้มากขึ้นไปอีก เช่นถ้าหากเป็นภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ การที่ตัวเอกรู้ทุกอย่างว่าศัตรูจะมาจากทางไหน ก้าวต่อไปควรจะทำอย่างไร และฉลาดเหนือมนุษย์เช่นนี้ มันคงจะสร้างความไม่สมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย แต่ในภาพยนตร์ Edge of Tomorrow เราทราบดีว่า ที่พระเอกรู้เช่นนี้ ก็เพราะเขาเคยมาในเหตุการณ์นี้มาก่อนแล้วนั้นเอง เขาจึงรู้ว่าศัตรูจะมาจากทางไหน กี่ตัว และก้าวต่อไปควรจะทำอย่างไร ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็เล่นกับจุดนี้ได้เป็นอย่างดี และยอดเยี่ยม
ต้องขอชมผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน ที่กำกับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะในด้านของการเล่าเรื่อง การดำเนินเรื่องที่น่าติดตาม , การกำกับฉากแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม สนุก ตื่นเต้น และการวางมุมกล้อง ความเคลื่อนไหวของกล้องที่ยอดเยี่ยมของเขา อีกทั้งยังแอบแฝงความเป็นตลกขบขัน และ โรแมนติกเข้าไปเพิ่มสีสันให้กับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เป็นผลทำให้ Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์ที่สนุก และบันเทิงอยู่พอสมควรในทุกๆช่วงเวลาของภาพยนตร์ จากการกำกับที่ยอดเยี่ยมของเขา
อีกส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่น่าชื่นชมไม่น้อยเลยก็คือ ทีมนักแสดงหลักของตัวภาพยนตร์เอง ซึ่งจะเห็นได้ชัดเลยว่า ทุกคนพยายามที่จะเติมแต่งและสร้างมิติต่างๆให้กับตัวละครในภาพยนตร์ จากการแสดงที่ยอดเยี่ยมในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น พี่ทอม ครูซ หรือ เอมิลี บลันต์ แต่ถ้าถามผู้เขียนแล้วล่ะก็ นักแสดงที่ถูกใจผู้เขียนมากที่สุดก็ต้องยกเต็มๆให้กับ บิล แพกซ์ตัน ที่ยังคงแสดงบทบาทตัวร้ายได้อย่างแสบสัน และถูกใจเช่นเคย
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตัวภาพยนตร์ Edge of Tomorrow เอง ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปอยู่เช่นกัน และสิ่งเหล่านี้มันก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่คอยบดบัง และขัดแข้งขัดขาจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างน่าเสียดาย
อย่างแรกเลยก็คือ บทภาพยนตร์เพียวๆ ที่ถ้าหากตัดสไตล์การเล่าเรื่องชนิดวนลูปไปทั้งหมด ตัวภาพยนตร์นั้นแทบจะไม่เหลืออะไรที่น่าสนใจอีกเลย เพราะบทเพียวๆของมันนั้น เต็มไปด้วยความซ้ำซากจำเจ จากจุด A ไปจุด B กับตัวละครที่ตัดแปะมาจากแม่แบบ ไม่ต่างจากภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องอื่นๆ แม้แต่ในส่วนของการให้เหตุผลในจุดของการวนเวียน ตายแล้วเกิดใหม่ของภาพยนตร์เอง ก็ยังให้แบบผิวเผิน และไม่ลึกพอ ยังคงค้างคาคำถามเอาไว้อยู่พอตัว และที่สำคัญเหตุเกิดของมัน ก็ช่างง่ายดายและสะดวกสบายจนเกินไป
จุดต่อมาก็คือ "ตัวละคร"เพียวๆไม่นับการแสดงของนักแสดงในภาพยนตร์ ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดที่อ่อนแอและเสียหายร้ายแรงที่สุดของ Edge of Tomorrow เลยก็ว่าได้ จากการที่ตัวผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน มัวแต่วุ่นอยู่กับการเล่าเรื่องชนิดวนลูป จนทำให้เขาลืมไปว่ายังมีตัวละครที่จะต้องเล่า และปูเรื่องราวอยู่อีก เพราะเวลาในภาพยนตร์ที่ให้กับการปูเรื่องราว ความสัมพันธ์ ทัศนะคติ และบุคลิกของตัวละครเหล่านี้มันช่างน้อยเหลือเกิน จนทำให้ตัวละครเหล่านี้ไม่น่าสนใจ และน่าเห็นใจเท่าที่ควร ที่สำคัญเลยก็คือ ตัวละครเหล่านี้มันก็ช่างจะสุดแสนซ้ำซาก จำเจ Cliche สุดขีด เป็นตัวละครที่คุณจะเห็นได้ในภาพยนตร์แอ็คชั่นแทบจะทุกเรื่อง ซึ่งจุดนี้ก็ยิ่งซ้ำเติมความล้มเหลวของตัวละครในภาพยนตร์เข้าไปอีก
ในเมื่อตัวละคร ในภาพยนตร์ของคุณทำออกมาได้อย่างไม่น่าประทับใจ และไม่น่าสนใจเท่าไรนัก ผลที่ตามมาอีกส่วนเหมือนกรรมตามสนองก็คือ อารมณ์ร่วมในหลายๆส่วนของภาพยนตร์ที่ขาดหายไป ในบางฉากของภาพยนตร์ที่เราควรจะเห็นใจ เอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้ ผู้เขียนกลับไม่ได้รู้สึกอยากที่จะเอาใจช่วยหรือเห็นใจตัวละครเหล่านี้อย่างที่ตัวภาพยนตร์หรือผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน อยากที่จะให้เป็นเลย ซึ่งเป็นผลมาจากการปูเรื่องตัวละครที่แย่และล้มเหลวของภาพยนตร์
เมื่อนำทุกๆส่วนมารวมกันก็เป็นผลซึ่งนำไปสู่บทสรุปในท้ายที่สุดว่า ภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow ก็เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่น / ไซไฟ ที่บันเทิงและตื่นเต้นอยู่พอตัว จากการกำกับที่ยอดเยี่ยมของ ดั๊ก ไลแมน และทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่ว่าหลังจากที่ภาพยนตร์จบลงแล้ว ทุกๆอย่างมันก็ดูเหมือนจะจบลงไปพร้อมๆกับความสนุกนั้นเช่นเดียวกัน ไม่เหลืออะไรที่น่าจดจำและความทรงจำกับมันอีก มันน่าเห็นใจไม่น้อยที่ตัวภาพยนตร์พยายามที่จะทำตัวให้ดูเหมือนฉลาด แต่เมื่อเราเอามันมาจับชำแหละและวิเคราะห์เข้าจริงๆแล้ว มันกลับไม่ได้ "ฉลาด" อย่างที่ตัวมันคิดว่ามันเป็นซักเท่าไรนัก
Final Score : [ B ]
เลขไอพี : ไม่แสดง
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google